
การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบภายใต้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไทย

ในระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทย การใช้อำนาจรัฐในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดี ถูกควบคุมด้วยหลักนิติธรรม (Rule of Law) อย่างเข้มงวด เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอำนาจของรัฐในการบังคับใช้กฎหมายกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
"หมาย" ในความหมายทางกฎหมาย จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนถึงกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมายที่ออกโดยศาล ซึ่งแสดงถึงการเข้ามาตรวจสอบของฝ่ายตุลาการต่อการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารก่อนที่จะมีการกระทำใดๆ ที่อาจกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
การจำแนกประเภทของหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้จำแนก "หมาย" ออกเป็นสองประเภทหลักที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่ "หมายเรียก" และ "หมายอาญา"
การจำแนกนี้มิใช่เป็นเพียงเรื่องทางเทคนิคทางกฎหมาย แต่สะท้อนถึงการออกแบบโครงสร้างทางกฎหมายที่มีเจตนาสร้างลำดับชั้นของการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นระบบ
หมายเรียก เป็นการใช้อำนาจในระดับเบื้องต้นเพื่อเรียกบุคคลมาให้ข้อมูลในขั้นตอนปกติของการสืบสวนสอบสวน ซึ่งกระทบต่อสิทธิของบุคคลในระดับต่ำ
ในขณะที่หมายอาญา เป็นการขออนุญาตใช้อำนาจในระดับที่สูงขึ้นเพื่อริดรอนสิทธิเสรีภาพหรือบุกรุกความเป็นส่วนตัวของบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องผ่านการพิจารณาและอนุมัติจากองค์กรตุลาการที่เป็นกลาง เพื่อรับประกันว่าการใช้อำนาจดังกล่าวมีเหตุผลและมีพยานหลักฐานรองรับอย่างเพียงพอตามหลักนิติธรรม
(บทความที่เกี่ยวข้อง) ทำอย่างไรเมื่อถูกตำรวจ ออกหมายเรียก ?
หมายเรียก ประตูแรกสู่กระบวนการสอบสวน

หมายเรียก (Summons) ตามมาตรา 52 แห่ง ป.วิ.อ. เป็นเอกสารทางราชการที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเรียกให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องหาหรือพยาน มายังที่ทำการของพนักงานสอบสวนหรือศาล เพื่อดำเนินการสอบสวน การไต่สวนมูลฟ้อง หรือการพิจารณาคดี หมายเรียกจึงเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในชั้นสอบสวนเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
ผู้มีอำนาจออกหมายเรียก
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของหมายเรียกคือ พนักงานสอบสวน พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ สามารถออกหมายได้ด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากศาล ซึ่งแตกต่างจากหมายอาญาประเภทอื่นที่ต้องขอจากศาลเท่านั้น อำนาจนี้เกิดจากความจำเป็นในการให้เจ้าหน้าที่มีความคล่องตัวในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนในขั้นต้น
องค์ประกอบและรูปแบบของหมายเรียก
ตามมาตรา 53 แห่ง ป.วิ.อ. กฎหมายได้กำหนดแบบและเนื้อหาของหมายเรียกที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ได้แก่
- ต้องทำเป็นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร
- ระบุสถานที่และวันเดือนปีที่ออกหมาย
- ระบุชื่อและที่อยู่ของผู้ถูกเรียกให้ชัดเจน
- ระบุเหตุผลในการเรียก
- ระบุสถานที่และเวลานัดหมายที่ชัดเจน
- มีลายมือชื่อและตำแหน่งของผู้ออกหมาย
การกำหนดองค์ประกอบเหล่านี้ มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ถูกเรียกทราบข้อมูลอย่างเพียงพอและสามารถเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเพื่อป้องกันการออกหมายโดยมิชอบหรือไม่มีหลักฐาน
ผลทางกฎหมายของการไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก
แม้หมายเรียกจะมิได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการควบคุมตัวบุคคลโดยตรง แต่การเพิกเฉยต่อหมายเรียกโดยไม่มี "เหตุอันควร" จะส่งผลทางกฎหมายที่สำคัญ
โดยทั่วไปพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกครั้งแรก หากผู้ถูกเรียกไม่มาพบจะมีการออกหมายเรียกครั้งที่สอง และหากยังคงเพิกเฉยอีก การกระทำดังกล่าวจะถูกสันนิษฐานตามกฎหมายว่าบุคคลนั้นมีเจตนาหลบหนี ตามมาตรา 66 แห่ง ป.วิ.อ. ระบุว่า "ถ้าบุคคลนั้น...ไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี"
(บทความที่เกี่ยวข้อง) ได้รับหมายเรียก ควรอ่านบทความนี้ให้จบ!
การสันนิษฐานนี้จะกลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พนักงานสอบสวนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออก "หมายจับ" ต่อไปได้ ซึ่งจะส่งผลให้มีการยกระดับการใช้อำนาจรัฐจากการเรียกตัวไปสู่การจับกุมและควบคุมตัว
📩 หากได้รับหมายเรียกและไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อดี ปรึกษาทนายได้เลยที่ Legardy
หมายจับ การอนุญาตให้ริดรอนเสรีภาพของบุคคล

หมายจับ (Arrest Warrant) เป็นเอกสารคำสั่งที่ออกโดย "ศาล" เท่านั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานในการจับกุมและควบคุมตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย
การออกหมายจับ จึงเป็นการยกระดับการใช้อำนาจรัฐที่กระทบต่อเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคลโดยตรง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
เงื่อนไขและหลักเกณฑ์ในการออกหมายจับ
เนื่องจากหมายจับมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพอย่างรุนแรง กฎหมายจึงกำหนดเงื่อนไขในการขอออกหมายจับไว้อย่างรัดกุม ตามมาตรา 66 แห่ง ป.วิ.อ. เจ้าพนักงานผู้ขอออกหมายจับต้องแสดง "พยานหลักฐานตามสมควร" ต่อศาล เพื่อให้ศาลมี "เหตุอันควรเชื่อ" (Probable Cause) ได้ว่าบุคคลนั้น "น่าจะได้กระทำความผิดอาญา"
มาตรา 66 ระบุเหตุในการออกหมายจับ ไว้สองกรณีหลัก คือ
กรณีที่ 1 เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลนั้นน่าจะได้กระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เหตุอื่นเพิ่มเติม
กรณีที่ 2 เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลนั้นน่าจะได้กระทำความผิดอาญา (แม้จะเป็นความผิดที่มีอัตราโทษต่ำกว่า) และมีเหตุอันควรเชื่อว่าบุคคลนั้นจะ - หลบหนี หรือ - ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือ - ก่อเหตุอันตรายประการอื่น
การเชื่อมโยงระหว่างการไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกกับการขอออกหมายจับปรากฏชัดเจนในมาตรานี้ เมื่อกฎหมายระบุว่าหากบุคคลนั้นไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่ศาลสามารถออกหมายจับได้
ระยะเวลาและการเพิกถอนหมายจับ
ตามมาตรา 68 แห่ง ป.วิ.อ. หมายจับจะมีผลบังคับใช้ไปจนกว่าจะจับกุมตัวผู้ถูกออกหมายได้ เว้นแต่คดีจะขาดอายุความหรือศาลมีคำสั่งเพิกถอน
นั่นหมายความว่าหมายจับไม่มีกำหนดระยะเวลาหมดอายุในตัวเอง แต่จะสิ้นสุดลงเมื่อมีการจับกุมตัวได้แล้วหรือเมื่อคดีขาดอายุความตามกฎหมายอาญา
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15591/2557 ได้วางหลักการสำคัญเกี่ยวกับมาตรฐานในการขอออกหมายจับ โดยศาลวินิจฉัยว่า การขอออกหมายจับจะต้องกระทำด้วยความรอบคอบรัดกุม พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้เพียงพอจนแน่ใจว่าบุคคลที่ขอออกหมายจับเป็นผู้ต้องหาที่แท้จริง
ในคดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนละเลยไม่ตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎรและไม่ให้พยานชี้ภาพถ่ายผู้ต้องสงสัยก่อนขอหมายจับ ส่งผลให้มีการออกหมายจับผิดตัว ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้รัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ถูกจับกุมผิดตัว
คำพิพากษานี้ชี้ให้เห็นว่ามาตรฐาน "เหตุอันควรเชื่อ" ไม่ใช่เพียงกระบวนการที่เป็นพิธีรีตอง แต่เป็นมาตรฐานที่เรียกร้องความรับผิดชอบและความละเอียดรอบคอบจากเจ้าหน้าที่อย่างแท้จริง
หมายค้น การอนุญาตให้ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว
หมายค้น (Search Warrant) เป็นคำสั่งของ "ศาล" ที่ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานในการเข้าไปตรวจค้นใน "ที่รโหฐาน"
ซึ่งหมายถึงสถานที่ส่วนบุคคล เช่น บ้านพักอาศัย สำนักงาน หรือสถานที่ที่บุคคลมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานหรือจับกุมบุคคล
การเข้าค้นที่รโหฐานเป็นการล่วงล้ำสิทธิในความเป็นส่วนตัวและสิทธิในที่อยู่อาศัยอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายจึงวางหลักเกณฑ์การออกหมายและการเข้าค้นไว้อย่างเข้มงวด
เหตุแห่งการออกหมายค้น
ตามมาตรา 69 แห่ง ป.วิ.อ. ศาลสามารถออกหมายค้นได้ในกรณีดังต่อไปนี้
- เพื่อพบและยึดสิ่งของซึ่งจะเป็นพยานหลักฐานในคดีอาญา
- เพื่อพบและยึดสิ่งของซึ่งมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิด
- เพื่อพบและช่วยเหลือบุคคลที่ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
- เพื่อพบบุคคลซึ่งมีหมายจับออกไว้แล้ว
หลักเกณฑ์และข้อจำกัดในการเข้าค้น
กฎหมายได้กำหนดข้อกำหนดเชิงกระบวนการที่สำคัญเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้อยู่อาศัย ดังนี้
1. ข้อจำกัดด้านเวลา
โดยหลักแล้ว การตรวจค้นต้องกระทำในเวลากลางวัน (ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก) เว้นแต่ หมายจะอนุญาตให้กระทำในเวลากลางคืนได้โดยเฉพาะ การจำกัดเวลานี้มีเจตนารมณ์เพื่อลดการรบกวนความเป็นส่วนตัวและสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัย
2. การแสดงหมายค้น
เจ้าพนักงานต้องแสดงหมายค้นให้ผู้ครอบครองสถานที่เห็นก่อนเข้าทำการตรวจค้น เพื่อให้ผู้ครอบครองทราบถึงอำนาจและขอบเขตของการค้น
3. การกระทำการต่อหน้าพยาน
การตรวจค้นต้องกระทำต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่หรือบุคคลในครอบครัว หรือหากไม่มีต้องมีพยานอย่างน้อยสองคนที่เป็นบุคคลภายนอกมาเป็นสักขีพยาน เพื่อความโปร่งใสและป้องกันการกระทำมิชอบของเจ้าหน้าที่
4. การจัดทำบันทึกการค้น
เจ้าพนักงานต้องจัดทำบันทึกการตรวจค้นและบัญชีทรัพย์สินที่ยึดไว้ พร้อมให้สำเนาแก่ผู้ครอบครองสถานที่
ความสัมพันธ์ระหว่างหมายค้นกับหมายจับ
ตามมาตรา 70 แห่ง ป.วิ.อ. หากการค้นมีวัตถุประสงค์เพื่อจับกุมบุคคลด้วย เจ้าพนักงานจะต้องมีทั้งหมายค้นและหมายจับของบุคคลนั้นควบคู่กันไป กฎหมายไม่อนุญาตให้ใช้หมายค้นเพียงอย่างเดียวในการจับกุมบุคคล แม้จะพบบุคคลนั้นอยู่ในสถานที่ที่ทำการค้นก็ตาม เว้นแต่ จะเป็นกรณีจับโดยไม่มีหมายตามมาตรา 78 (จับในความผิดซึ่งหน้า)
หมายศาลและหมายอาญาประเภทอื่น
คำว่า "หมายศาล" เป็นคำที่มีความหมายกว้าง ครอบคลุมคำสั่งหรือเอกสารทุกประเภทที่ศาลออกทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา หมายจับและหมายค้นจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ "หมายอาญา" ซึ่งเป็นหมวดหมู่ย่อยของหมายศาลที่ใช้ในคดีอาญาโดยเฉพาะ หมายอาญาประเภทอื่นที่สำคัญ
นอกจากหมายจับและหมายค้นแล้ว ยังมีหมายอาญาที่สำคัญอื่นๆ ซึ่งทำหน้าที่ในแต่ละช่วงของกระบวนการยุติธรรมแตกต่างกันไป ประกอบด้วย
1. หมายขัง (Detention Warrant)
เป็นหมายที่ศาลออกเพื่ออนุญาตให้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ระหว่างการสอบสวนหรือพิจารณาคดี ตามมาตรา 71 แห่ง ป.วิ.อ. หลังจากพนักงานสอบสวนควบคุมตัวผู้ต้องหาได้แล้วโดยการจับตามหมายจับหรือจับโดยไม่มีหมาย พนักงานสอบสวนมีอำนาจควบคุมตัวได้เพียง 48 ชั่วโมง
หากต้องการควบคุมตัวต่อไปจะต้องนำตัวผู้ต้องหาไปขอหมายขังจากศาล โดยศาลจะพิจารณาว่ามีความจำเป็นในการควบคุมตัวต่อไปหรือไม่ เพื่อป้องกันการหลบหนี การไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือการก่อเหตุร้าย
2. หมายจำคุก (Commitment Warrant)
เป็นหมายที่ศาลออกภายหลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก เพื่อส่งตัวจำเลยไปยังเรือนจำเพื่อรับโทษตามคำพิพากษา หมายจำคุกจึงเป็นเครื่องมือในการบังคับตามคำพิพากษาของศาล
3. หมายปล่อย (Release Warrant)
ศาลจะออกหมายนี้ เพื่อสั่งให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยจากการควบคุมตัว ในกรณีต่างๆ เช่น เมื่อศาลอนุญาตให้ประกันตัว เมื่อศาลพิพากษายกฟ้อง หรือเมื่อผู้ต้องโทษรับโทษจำคุกครบกำหนดตามคำพิพากษาแล้ว
อ่านเพิ่มเติม
- (บทความกฎหมาย) ได้รับหมายเรียก ควรอ่านบทความนี้ให้จบ!
- (ถามตอบปัญหากฎหมาย)ประเภทของหมายเรียก และการส่งหมายเรียก | ตอบโดยทนาย ...
💭ปรึกษาทนายเกี่ยวกับ "หมายที่ได้รับ" เบื้องต้นได้ฟรี ทาง Legardy Free Q&A โดยไม่ต้องระบุตัวตน
ข้อยกเว้นของหลักการต้องมีหมาย
แม้โดยหลักการแล้วการจับกุมและการค้นในที่รโหฐานจะต้องมีหมายจากศาล แต่กฎหมายได้รับรองข้อยกเว้นสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าพนักงานสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์
การจับโดยไม่มีหมายจับ ตามมาตรา 78 แห่ง ป.วิ.อ.
กฎหมายอนุญาตให้เจ้าพนักงานจับกุมบุคคลได้โดยไม่ต้องมีหมายจับในกรณี "ความผิดซึ่งหน้า" ซึ่งหมายถึง กรณีที่เจ้าพนักงานเห็นการกระทำความผิดด้วยตนเอง หรือได้รับแจ้งจากผู้เสียหายหรือผู้พบเห็นในทันทีทันใดหลังเกิดเหตุและมีพยานหลักฐานชัดเจน
การจับในกรณีนี้มีเหตุผลรองรับคือ เจ้าพนักงานมีความมั่นใจสูงมากว่าบุคคลที่ถูกจับเป็นผู้กระทำความผิดจริง เนื่องจากเป็นการกระทำที่เกิดต่อหน้าต่อตาหรือมีพยานหลักฐานใหม่สด
นอกจากนี้ ยังมีกรณีอื่นที่กฎหมายอนุญาตให้จับโดยไม่มีหมาย เช่น
- กรณีที่พบบุคคลกำลังเตรียมการกระทำความผิด หรือพฤติการณ์ชี้ชัดว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดมาแล้ว
- กรณีที่บุคคลถูกจับในลักษณะหมายจับวิ่ง (ตามคำสั่งจับจากเจ้าพนักงานที่มีอำนาจ)
- กรณีผู้ต้องหาหลบหนีจากการควบคุมตัวตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถจับโดยไม่มีหมายได้ แต่เจ้าพนักงานยังคงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เช่น การแจ้งข้อหาและสิทธิต่างๆ ให้ผู้ถูกจับทราบ และการนำตัวไปดำเนินการตามกระบวนการต่อไป
การค้นโดยไม่มีหมายค้น ตามมาตรา 92 แห่ง ป.วิ.อ.
กฎหมายอนุญาตให้เจ้าพนักงานค้นในที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมายค้นในสถานการณ์ฉุกเฉินหลายกรณี ได้แก่
- กรณีได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากภายในที่รโหฐาน เจ้าพนักงานสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ทันที โดยไม่ต้องรอขอหมายค้น เพราะอาจเป็นกรณีที่มีผู้ถูกกระทำความรุนแรงหรืออยู่ในอันตราย
- กรณีพบเห็นการกระทำความผิดซึ่งหน้ากำลังเกิดขึ้นในที่รโหฐาน เจ้าพนักงานสามารถเข้าไปจับกุมผู้กระทำความผิดและรวบรวมพยานหลักฐานได้ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ความผิดดำเนินต่อไป
- กรณีมีเหตุอันควรเชื่ออย่างยิ่งว่าหากล่าช้าไปขอหมายค้น พยานหลักฐานสำคัญจะถูกทำลายหรือโยกย้ายไปเสีย นี่เป็นข้อยกเว้นที่มีความละเอียดอ่อนมาก เพราะเจ้าพนักงานต้องแสดงให้เห็นว่ามี "เหตุอันควรเชื่ออย่างยิ่ง" ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงกว่า "เหตุอันควรเชื่อ" ทั่วไป และมีความเร่งด่วนจริงๆ ที่ไม่สามารถรอขอหมายได้
- กรณีผู้ครอบครองที่รโหฐานให้ความยินยอม หากผู้ครอบครองสถานที่ยินยอมให้ตรวจค้น เจ้าพนักงานสามารถเข้าค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย แต่ความยินยอมนั้นต้องเป็นความยินยอมโดยสมัครใจ ไม่มีการบีบบังคับหรือหลอกลวง
แนวคำพิพากษาเกี่ยวกับการค้นที่มิชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5144/2548 และแนวคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องได้วางหลักการที่น่าสนใจว่า การตรวจค้นหรือจับกุมที่มิชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่ได้ทำให้กระบวนการสอบสวนทั้งหมดต้องเสียไปโดยอัตโนมัติ
หลักการนี้ แตกต่างอย่างชัดเจนจากหลัก "Fruit of the Poisonous Tree" ในระบบกฎหมายของสหรัฐอเมริกา แนวทางของศาลไทยมองว่า การกระทำที่มิชอบของเจ้าหน้าที่ (เช่น การค้นโดยไม่มีหมาย) เป็นประเด็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ในทางละเมิดหรือทางอาญา ซึ่งผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก แต่ไม่ได้ทำให้พยานหลักฐานที่ได้มาต้องตัดออกจากการพิจารณาคดีโดยอัตโนมัติ ศาลจะพิจารณาความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานโดยรวมและบริบทของคดี
อย่างไรก็ตาม แนวคำพิพากษาบางคดีก็ได้ให้น้ำหนักกับการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะ ในกรณีที่การกระทำของเจ้าหน้าที่มีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง ศาลอาจไม่ยอมรับพยานหลักฐานที่ได้มาด้วยวิธีการดังกล่าว
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศาลใช้ดุลพินิจในการสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายกับการคุ้มครองสิทธิของประชาชน
สรุปความแตกต่างที่สำคัญของหมายแต่ละประเภท ได้ดังนี้

1. ผู้มีอำนาจออกหมาย
นี่คือจุดแยกที่สำคัญที่สุด หมายเรียกสามารถออกได้โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารเอง แต่หมายอาญาทุกประเภท (หมายจับ หมายค้น หมายขัง) ต้องออกโดยศาลเท่านั้น การกำหนดนี้สะท้อนถึงหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ โดยให้ฝ่ายตุลาการเข้ามาควบคุมการใช้อำนาจที่กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
2. ระดับการกระทบต่อสิทธิ
หมายเรียก กระทบต่อสิทธิในระดับต่ำที่สุด เพียงสร้างภาระให้ต้องมาให้ข้อมูล ในขณะที่หมายจับและหมายขังกระทบต่อเสรีภาพในชีวิตและร่างกายโดยตรง ส่วนหมายค้นกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและสิทธิในที่อยู่อาศัย
การที่กฎหมายกำหนดให้หมายที่กระทบสิทธิในระดับสูงต้องผ่านการพิจารณาของศาลนั้น สอดคล้องกับหลักความได้สัดส่วน (Proportionality) ในการใช้อำนาจรัฐ
3. มาตรฐานของพยานหลักฐาน
มาตรฐาน "เหตุอันควรเชื่อ" (Probable Cause) ที่ใช้ในการขอหมายจับและหมายค้นนั้นสูงกว่ามาตรฐานที่ใช้ในการออกหมายเรียก ซึ่งเพียงแค่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลว่าบุคคลนั้นเกี่ยวข้องกับคดี มาตรฐานที่สูงขึ้นนี้เป็นการสร้างกลไกป้องกันการใช้อำนาจโดยพลการ
4. ความต่อเนื่องของกระบวนการ
กระบวนการทางกฎหมายได้รับการออกแบบให้มีความต่อเนื่องและยกระดับขึ้นเป็นลำดับ การไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกจะกลายเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนในการขอออกหมายจับ และเมื่อมีการจับกุมแล้ว หากต้องการควบคุมตัวเกินกว่า 48 ชั่วโมง ก็ต้องขอหมายขังจากศาลอีกครั้ง ระบบนี้สะท้อนถึงการควบคุมอำนาจรัฐอย่างเป็นขั้นตอน
สิทธิและหน้าที่ของประชาชนเมื่อเผชิญกับหมายต่างๆ
เมื่อได้รับ "หมายเรียก" ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่ดังนี้
- หน้าที่ต้องไปพบพนักงานสอบสวนตามวัน เวลา และสถานที่ที่กำหนดในหมาย
- หากไม่สามารถไปได้ต้องมี "เหตุอันควร" และควรทำหนังสือขอเลื่อนนัดอย่างเป็นทางการล่วงหน้า
- สิทธิที่จะตรวจสอบความถูกต้องของหมายเรียก โดยสอบถามข้อมูลจากหน่วยงานผู้ออกหมาย
- สิทธิที่จะปรึกษาทนายความก่อนไปให้การ
- สิทธิที่จะไม่ถูกควบคุมตัวโดยอาศัยหมายเรียกเพียงอย่างเดียว เพราะหมายเรียกไม่ได้ให้อำนาจในการจับกุมหรือควบคุมตัว
- สิทธิที่จะใช้ความเงียบในการให้การ หากเห็นว่าจะเป็นการปรักปรำตนเอง
คำแนะนำในทางปฏิบัติ
- อย่าเพิกเฉยหมายเรียก เพราะอาจกลายเป็นเหตุให้ออกหมายจับได้
- หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของหมาย ควรติดต่อสอบถามหน่วยงานที่ออกหมายโดยตรง
- ควรจดบันทึกรายละเอียดการให้การและขอสำเนาบันทึกการสอบปากคำ
- หากเป็นผู้ต้องหา ควรมีทนายความไปด้วยเพื่อให้คำแนะนำและปกป้องสิทธิ
เมื่อถูกจับกุมตาม "หมายจับ" ประชาชนมีสิทธิดังนี้
- สิทธิในการตรวจสอบหมายจับ
- สิทธิที่จะขอดูหมายจับและตรวจสอบว่าระบุชื่อ ข้อหา และรายละเอียดอื่นถูกต้องหรือไม่
- สิทธิที่จะถ่ายภาพหมายจับไว้เป็นหลักฐาน
- สิทธิที่จะสอบถามชื่อ ยศ และสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้จับกุม
สิทธิขั้นพื้นฐาน "หลังถูกจับกุม"
- สิทธิที่จะแจ้งญาติหรือบุคคลที่ไว้วางใจให้ทราบถึงการถูกจับกุมทันที
- สิทธิที่จะติดต่อทนายความ และให้ทนายความเข้ามาให้คำปรึกษาได้ตลอดเวลา
- สิทธิที่จะใช้ความเงียบ ไม่ให้การใดๆ จนกว่าทนายความจะมาถึง
- สิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน หรือถูกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
- สิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลหากเจ็บป่วย สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
- สิทธิที่จะขอประกันตัวตามกฎหมาย
- สิทธิที่จะทราบข้อหาที่แท้จริงและพยานหลักฐานที่ใช้ฟ้อง
- สิทธิที่จะไม่ถูกควบคุมตัวเกินกว่า 48 ชั่วโมง โดยไม่ได้รับหมายขังจากศาล
เมื่อมีการเข้าค้นตาม "หมายค้น" ประชาชนมีสิทธิดังนี้
- สิทธิในการตรวจสอบหมายค้น
- สิทธิที่จะขอดูหมายค้นก่อนให้เจ้าหน้าที่เข้าทำการค้น
- สิทธิที่จะตรวจสอบว่าหมายค้นระบุสถานที่ถูกต้องและอยู่ในระยะเวลาที่อนุญาต (โดยปกติต้องเป็นเวลากลางวัน เว้นแต่หมายจะอนุญาตเป็นอย่างอื่น)
สิทธิ "ระหว่างการตรวจค้น"
- สิทธิที่จะอยู่ร่วมหรือให้ผู้แทนอยู่ร่วมตลอดการตรวจค้น
- สิทธิที่จะมีพยานบุคคลภายนอกอย่างน้อยสองคน มาเป็นสักขีพยานหากผู้ครอบครองไม่อยู่
- สิทธิที่จะให้เจ้าหน้าที่ค้นเฉพาะในขอบเขตที่หมายอนุญาตเท่านั้น
- สิทธิที่จะคัดค้านหากเห็นว่าการค้นเกินขอบเขตหรือไม่เป็นไปตามหมาย
สิทธิ "หลังการตรวจค้น"
- สิทธิที่จะได้รับสำเนาบันทึกการตรวจค้นและบัญชีทรัพย์สินที่ถูกยึด
- สิทธิที่จะร้องเรียนหากเห็นว่าการค้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเจ้าหน้าที่กระทำมิชอบ
- สิทธิที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย หากการค้นเป็นการละเมิดสิทธิ
หมายเรียก หมายจับ หมายค้น และหมายศาลอื่นๆ ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไทย เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ทั้งในด้านผู้มีอำนาจออก วัตถุประสงค์ มาตรฐานของพยานหลักฐาน และระดับของการกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ความแตกต่างหลักที่สำคัญที่สุด คือ
- หมายเรียก เป็นคำสั่งทางปกครองที่พนักงานสอบสวนสามารถออกได้เองเพื่อเรียกบุคคลมาให้ข้อมูล ซึ่งกระทบต่อสิทธิในระดับต่ำ
- ในขณะที่หมายจับและหมายค้นเป็นหมายศาลที่ต้องขอจากศาลเท่านั้น เนื่องจากเป็นการใช้อำนาจที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวของบุคคลอย่างรุนแรง
การที่กฎหมายกำหนดให้การใช้อำนาจที่กระทบสิทธิในระดับสูงต้องผ่านการพิจารณาอนุมัติจากศาล สะท้อนถึง หลักนิติธรรมและกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจในระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไทย โดยมีศาลยุติธรรมทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สมดุลระหว่างประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ระบบของหมายประเภทต่างๆ นี้ยังแสดงถึงการออกแบบกระบวนการที่มีความต่อเนื่องและยกระดับขึ้นเป็นลำดับขั้น
การไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกซึ่งเป็นคำสั่งในระดับต่ำสุดอาจกลายเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนการขอออกหมายจับ และเมื่อมีการจับกุมแล้ว การควบคุมตัวที่เกินอำนาจของตำรวจต้องได้รับอนุญาตจากศาลผ่านหมายขังอีกชั้นหนึ่ง
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมได้รับการออกแบบให้การล่วงล้ำสิทธิของประชาชนในแต่ละขั้นตอนต้องผ่านการกลั่นกรองจากศาลอย่างเป็นระบบ
สำหรับประชาชน ความเข้าใจในความแตกต่างของหมายแต่ละประเภทและสิทธิที่ตนมีเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะจะช่วยให้สามารถปกป้องสิทธิของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเผชิญกับการใช้อำนาจรัฐ
การรู้ว่าหมายเรียกไม่ได้ให้อำนาจในการจับกุม หรือการรู้ว่าตนมีสิทธิขอดูหมายค้นและอยู่ร่วมในระหว่างการตรวจค้น เป็นต้น จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับการคุ้มครองสิทธิในทางปฏิบัติและส่งเสริมหลักนิติธรรมในสังคมไทยต่อไป
ข้อแนะนำ

แม้ว่าระบบหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไทย จะมีการออกแบบที่ดีในเชิงโครงสร้าง แต่ในทางปฏิบัติยังมีประเด็นที่ควรได้รับการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ดังนี้
1. การเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบคำขอหมายจับและหมายค้น
ศาลในฐานะผู้พิจารณาอนุมัติหมายจับและหมายค้นควรมีกลไกในการตรวจสอบความเพียงพอของพยานหลักฐานอย่างเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะในคดีที่มีความละเอียดอ่อนหรือกระทบต่อบุคคลจำนวนมาก
2. การกำหนดให้มีการนำเสนอพยานหลักฐานอย่างละเอียด
รวมถึง การสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากพนักงานสอบสวนก่อนอนุมัติหมาย จะช่วยลดความเสี่ยงในการออกหมายที่ไม่มีมูลความจริงเพียงพอหรือออกหมายจับผิดตัว
3. การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการตรวจสอบหมาย
ควรมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงระหว่างศาล สถานีตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบความถูกต้องของหมายได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการออกและติดตามสถานะของหมาย จะช่วยลดปัญหาหมายปลอมและเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการ
4. การเสริมสร้างความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชน
หน่วยงานภาครัฐควรจัดให้มีการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่เมื่อได้รับหมายประเภทต่างๆ อย่างกว้างขวางและเข้าถึงง่าย ผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น สื่อออนไลน์ แอปพลิเคชันมือถือ หรือ การจัดอบรมในชุมชน ความรู้ด้านกฎหมายจะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิของตนได้อย่างเต็มที่และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความยุติธรรม
5. การเพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้ถูกดำเนินคดีโดยมิชอบ
ควรมีกลไกการชดเชยค่าเสียหายที่รวดเร็วและเป็นธรรมสำหรับผู้ที่ถูกจับกุมหรือค้นโดยมิชอบ รวมถึงการลงโทษเจ้าหน้าที่ที่กระทำการโดยประมาทหรือไม่สุจริตอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความระมัดระวังและความรับผิดชอบในการใช้อำนาจ
ตามแนวทางของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15591/2557 ที่วางหลักให้รัฐต้องรับผิดในกรณีที่เจ้าหน้าที่ออกหมายจับโดยประมาท
6. การปรับปรุงกระบวนการพิจารณาหมายขัง
การควบคุมตัวผู้ต้องหาระหว่างการพิจารณาคดีเป็นเรื่องที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพอย่างรุนแรง ศาลควรมีการทบทวนความจำเป็นในการควบคุมตัวอย่างสม่ำเสมอและพิจารณาทางเลือกอื่นที่กระทบต่อสิทธิน้อยกว่า เช่น การกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวหรือการใช้อุปกรณ์ติดตามตัวทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความจำเป็นในการดำเนินคดีกับการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้รับการพิพากษาว่ามีความผิด
ระบบหมายในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไทยสะท้อนถึงอิทธิพลของระบบกฎหมายแบบซีวิลลอว์ (Civil Law) ที่เน้นการประมวลกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร ร่วมกับการนำหลักการสากลด้านสิทธิมนุษยชนมาประยุกต์ใช้
การกำหนดให้ศาลต้องเป็นผู้พิจารณาอนุมัติหมายที่กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานสะท้อนถึงหลัก "Judicial Oversight" ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับระบบกฎหมายในประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกาที่มีหลัก "Exclusionary Rule" และ "Fruit of the Poisonous Tree Doctrine" ที่เข้มงวดกว่า ระบบไทยยังคงให้น้ำหนักกับประสิทธิภาพในการดำเนินคดีมากกว่าการคุ้มครองสิทธิอย่างเคร่งครัด
ดังที่เห็นได้จากแนวคำพิพากษาที่ไม่ตัดพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบออกจากการพิจารณาโดยอัตโนมัติ
การพัฒนาระบบหมายในอนาคต จึงควรคำนึงถึงความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
โดยอาจพิจารณานำหลักการจากระบบกฎหมายต่างประเทศมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทสังคมไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างวัฒนธรรมการเคารพสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนทั่วไป
จุดสำคัญที่ผู้อ่านควรจดจำ
1. หมายเรียก
เป็นคำสั่งที่พนักงานสอบสวนออกเองได้เพื่อเรียกบุคคลมาให้ข้อมูล ไม่ได้ให้อำนาจในการจับกุม แต่การเพิกเฉยโดยไม่มีเหตุผลอาจนำไปสู่การออกหมายจับได้
2. หมายจับ
เป็นคำสั่งของศาลที่อนุญาตให้จับกุมและควบคุมตัวบุคคล ต้องมี "พยานหลักฐานตามสมควร" ที่ทำให้ศาลเกิด "เหตุอันควรเชื่อ" ว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดอาญา
3. หมายค้น
เป็นคำสั่งของศาลที่อนุญาตให้ตรวจค้นในที่รโหฐาน ต้องมีเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดเพื่อคุ้มครองความเป็นส่วนตัว
4. หมายอาญาอื่นๆ
เช่น หมายขัง หมายจำคุก และหมายปล่อย ล้วนเป็นหมายศาลที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป
สุุดท้ายนี้ การที่กฎหมายกำหนดให้หมายที่กระทบสิทธิในระดับสูงต้องออกโดยศาล สะท้อนถึง หลักนิติธรรมและกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจในระบบกระบวนการยุติธรรมไทย
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








