
"การโดนดูดเงินจากบัญชีธนาคารในปัจจุบันเป็นอาชญากรรมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผู้เสียหายส่วนใหญ่มักไม่ทราบสิทธิทางกฎหมายที่มีอยู่ และขั้นตอนการดำเนินการที่ถูกต้องตามกรอบกฎหมาย"
การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาเมื่อโดนดูดเงินจากบัญชีจำเป็นต้องเข้าใจกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนการแจ้งความโดนดูดเงิน การเรียกคืนเงินจากมิจฉาชีพ และสิทธิในการฟ้องร้องมิจฉาชีพตามพ.ร.บ. การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 รวมถึงการดำเนินการภายในกรอบเวลา 72 ชั่วโมงที่กำหนด
รูปแบบการดูดเงินจากบัญชีธนาคาร

การวิเคราะห์คำถาม "มิจฉาชีพดูดเงินในบัญชียังไง" จำเป็นต้องศึกษารูปแบบการดำเนินการของผู้กระทำความผิด ซึ่งจากข้อมูลการสืบสวนสอบสวนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า มิจฉาชีพ สามารถดูดเงินในบัญชีเราได้ ผ่านช่องทางหลักดังนี้
การหลอกลวงผ่าน SMS (Phishing)
รูปแบบนี้เป็นสาเหตุของการโดนดูดเงินประมาณ 40% ของทุกกรณี มิจฉาชีพจะส่งข้อความปลอมแปลงเป็นธนาคารหรือหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ โดยมีเนื้อหาเร่งให้ผู้รับข้อความกดลิงก์เพื่อ "ยืนยันตัวตน" หรือ "อัพเดทข้อมูล"
เมื่อเหยื่อเข้าไปในเว็บไซต์ปลอมและกรอกข้อมูลส่วนตัว รหัสผ่าน และรหัส OTP มิจฉาชีพดูดเงินจะสามารถเข้าสู่ระบบ Mobile Banking และทำการโอนเงินออกจากบัญชีได้ทันที
การโทรศัพท์หลอกลวง (Voice Phishing)
คอลเซ็นเตอร์ มิจฉาชีพจะติดต่อเหยื่อโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการ เช่น ตำรวจ อัยการ หรือเจ้าหน้าที่ธนาคาร การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145 แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน หรือถ้ามีการวีดีโอคอลและแสดงเครื่องหมายหลอกลวงปลอมตัวโดยการสวมเครื่องแบบจะผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 146
เทคนิคหลักคือการสร้างแรงกดดันทางจิตใจ โดยกล่าวอ้างว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอาญาหรือการฟอกเงิน และจำเป็นต้องโอนเงินเข้าบัญชีมิจฉาชีพ ที่อ้างว่าปลอดภัย" หรือวางเงิน "ประกัน" เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
มัลแวร์และแอปพลิเคชันดูดเงิน
แอปดูดเงินหรือแอพดูดเงินเป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อขโมยข้อมูลทางการเงิน มิจฉาชีพจะหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ปลอมแปลงเป็นแอปธนาคาร แอปเกม หรือแอปยูทิลิตี้ต่างๆ
เมื่อติดตั้งแล้ว แอปเหล่านี้จะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อความ SMS การโทร และหน้าจอ ทำให้สามารถดักจับรหัส OTP ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล และเข้าถึงแอปธนาคารโดยผู้ใช้งานไม่รู้ตัว
การใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์
ปัญหาเปลี่ยนเบอร์ต้องแจ้งธนาคารไหม เป็นประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม เมื่อผู้ใช้บริการเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์แต่ไม่แจ้งธนาคาร หมายเลขเก่าอาจถูกมิจฉาชีพนำไปใช้ในการสมัครบริการ Mobile Banking ใหม่ หรือ Reset รหัสผ่าน
เบอร์ดูดเงินประเภทนี้เกิดจากช่องโหว่ในระบบการจัดการข้อมูลลูกค้าของสถาบันการเงิน ที่ยังคงเชื่อมโยงข้อมูลการเงินกับหมายเลขโทรศัพท์เก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
SIM Swap Attack และ OTP Hijacking
SIM Swap เป็นเทคนิคที่มิจฉาชีพใช้เอกสารปลอมหรือข้อมูลส่วนตัวที่ได้มาผ่านการ Social Engineering เพื่อไปขอเปลี่ยน SIM การ์ดจากผู้ให้บริการ เมื่อได้ SIM การ์ดใหม่ จะสามารถรับ SMS OTP ทั้งหมดและเข้าถึงบัญชีทางการเงินได้
OTP Hijacking เป็นการดักจับรหัส OTP ผ่านมัลแวร์ที่ติดตั้งในอุปกรณ์ หรือการหลอกให้เหยื่อแจ้งรหัส OTP ผ่านการโทรศัพท์
พฤติกรรมเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการเงินหายจากบัญชี
การวิเคราะห์พฤติกรรมของเหยื่อที่โดนดูดเงิน พบปัจจัยเสี่ยงหลักดังนี้:
การไม่อัปเดตข้อมูลกับสถาบันการเงิน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว
การดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ นอกเหนือจาก Official Store ที่ได้รับการรองรับ เช่น Play store (Android), App store (iOS)
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการโดนดูดเงิน

"การโดนหลอกโอนเงินและการดูดเงินจากบัญชีถือเป็นอาชญากรรมที่มีโทษทางอาญาชัดเจนตามกฎหมายไทย แต่ผู้เสียหายจำเป็นต้องเข้าใจกรอบกฎหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
กฎหมายการหลอกลวงออนไลน์ในประเทศไทยมีพัฒนาการที่สำคัญ เมื่อพ.ร.บ. การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ ทำให้การจัดการกับอาชญากรรมทางไซเบอร์มีเครื่องมือทางกฎหมายที่แข็งแกร่งขึ้น
พ.ร.บ. การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560
กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางการเงินผ่านระบบดิจิทัล โดยมีบทบัญญัติหลักที่เกี่ยวข้องกับการดูดเงินดังนี้
มาตรา 5 - การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ
มาตรา 5 บัญญัติว่า "ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
การที่มิจฉาชีพใช้ข้อมูลที่ได้จากการหลอกลวงเข้าสู่ระบบ Mobile Banking ของเหยื่อถือเป็นการกระทำความผิดตามมาตรานี้
มาตรา 7 - การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ
มาตรา 7 บัญญัติว่า "ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
เมื่อมิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลบัญชี ข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลทางการเงินของเหยื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรานี้
มาตรา 14 - การนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมหรือเท็จ
มาตรา 14 เป็นบทบัญญัติสำคัญสำหรับคดีหลอกลวงออนไลน์ โดยบัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำโดยทุจริต โดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ปลอม หรือเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
ประมวลกฎหมายอาญา
นอกจากพรบคอมพิวเตอร์ การหลอกลวงแล้ว ยังมีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญาที่สามารถใช้ประกอบการดำเนินคดีได้
มาตรา 341 - ความผิดฐานฉ้อโกง
"ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงความเป็นจริงอันเป็นเท็จ หรือด้วยการปกปิดข้อเท็จจริง หรือด้วยการใช้อุบายอื่นใด และโดยการหลอกลวงนั้นชักจูงให้ผู้อื่นส่งมอบทรัพย์สิน หรือให้ประโยชน์ทรัพย์สินแก่ตนหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
มาตรา 352 - ความผิดฐานยักยอกทรัพย์
สำหรับกรณีที่มิจฉาชีพเข้าควบคุมบัญชีและทำการโอนเงินโดยเหยื่อไม่รู้ตัว อาจเข้าข่ายความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ธนาคารคืนบางส่วน/ปฏิเสธทั้งหมด ควรทำอย่างไร

สถานการณ์ที่ธนาคารปฏิเสธการคืนเงินหรือคืนเพียงบางส่วนเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในคดีโดนดูดเงินจากบัญชีที่มีความซับซ้อน การเข้าใจเหตุผลของธนาคารและเข้าใจวิธีการตอบโต้ จะช่วยให้คุณเพิ่มโอกาสในการได้รับเงินคืนเต็มจำนวน
เหตุผลที่ธนาคารต้องปฎิเสธการคืนเงิน / คืนแค่บางส่วน
เหตุผลประเภท "ความประมาทของลูกค้า"
เป็นข้ออ้างที่ธนาคารใช้บ่อยที่สุด ธนาคารจะอ้างว่าผู้เสียหายให้ข้อมูลส่วนตัวไปเอง กดลิงก์ที่น่าสงสัยเอง หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือเอง ทำให้เป็นความผิดของลูกค้าเองที่ไม่ระมัดระวัง
เหตุผลประเภท "การทำธุรกรรมตามปกติ"
ธนาคารจะอ้างว่าการโอนเงินเกิดขึ้นผ่านช่องทางที่ถูกต้อง โดยใช้ Username และ Password ที่ถูกต้อง มีการยืนยันด้วย OTP ครบถ้วน ทำให้ดูเหมือนเป็นการทำธุรกรรมโดยเจ้าของบัญชีเอง
เหตุผลประเภท "ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยบกพร่อง"
ธนาคารจะอ้างว่าระบบของตนมีการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ไม่มีการถูกเจาะระบบ และการสูญเสียเงินไม่ได้เกิดจากความบกพร่องของระบบธนาคาร
แล้วจะเจรจาต่อรองกับธนาคารอย่างไร ?
เริ่มจากการวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ต้องประเมินความแข็งแกร่งของคดี การมีหลักฐานที่แข็งแกร่งจะเป็นข้อได้เปรียบในการเจรจา การมีหลักฐานที่แสดงว่าผู้เสียหายไม่ได้ให้ข้อมูลส่วนตัวโดยสมัครใจ การพิสูจน์ได้ว่ามือถือถูกติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว การแสดงได้ว่ามิจฉาชีพใช้เทคนิคที่ซับซ้อนเกินกว่าที่คนทั่วไปจะป้องกันได้ และการมีหลักฐานว่าธนาคารไม่ได้แจ้งเตือนเมื่อพบธุรกรรมที่ผิดปกติ
จุดอ่อนของคดีที่อาจทำให้เสียเปรียบ เช่น การที่ผู้เสียหายเคยกดลิงก์ใน SMS การดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ การไม่อัปเดตข้อมูลกับธนาคารเมื่อเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ หรือการมีพฤติกรรมที่เสี่ยงในการใช้งานธุรกรรมออนไลน์
ต่อสู้กับธนาคารให้คืนเงิน
เมื่อธนาคารไม่รับผิดชอบหรือคืนเงินให้แค่บางส่วน หลายคนมักจะรู้สึกหมดหวังและยอมแพ้ไปเลย แต่จริงๆ แล้วเรายังมีทางสู้อีกหลายขั้นตอนที่สามารถกดดันธนาคารให้คืนเงินได้
ขั้นตอนแรก
การเริ่มต้นต่อสู้กับธนาคารต้องทำอย่างมีระบบ ขั้นตอนแรกคือการไปคุยที่สาขาแต่ต้องเตรียมตัวให้เรียบร้อย อย่าไปมือเปล่า เอาหลักฐานทุกอย่างที่มีไปด้วย ตั้งแต่ Screenshot การโอนเงิน SMS จากธนาคาร ใบรับแจ้งความ ไปจนถึง Bank Case ID
หากธนาคารยังคงปฏิเสธ ให้ขอคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าเหตุใดจึงไม่คืนเงินให้
ขั้นตอนที่สอง
เมื่อสาขาไม่สามารถจัดการได้ ขั้นตอนต่อไปคือการเขียนหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการไปยังฝ่ายกฎหมายหรือฝ่ายบริหารความเสี่ยงของธนาคาร การเขียนหนังสือนี้ต้องมีน้ำหนัก โดยการอ้างถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ธนาคารอาจไม่ได้ปฏิบัติตาม
ในหนังสือควรแนบหลักฐานทั้งหมดที่มี รวมถึงการที่สาขาปฏิเสธความรับผิดชอบ และควรกำหนดเวลาให้ธนาคารตอบกลับ
ขั้นตอนที่สาม
หากธนาคารยังคงดื้อรั้น ก็ถึงเวลาที่ต้องใช้หน่วยงานภายนอกมาช่วยกดดัน การแจ้งต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถือเป็นอาวุธที่ใช้ได้ผลดีมาก
นอกจากนี้ยังสามารถแจ้งสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค ได้อีกด้วย โดยอ้างว่าธนาคารให้บริการที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
มิจฉาชีพอยู่ต่างประเทศ จะต้องทำอย่างไร?

ปัญหามิจฉาชีพที่มีฐานปฏิบัติการในต่างประเทศเป็นความท้าทายใหญ่ของการบังคับใช้กฎหมายในยุคดิจิทัล สถิติจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พบว่าประมาณ 65% ของคดีการหลอกลวงทางการเงินออนไลน์มีองค์ประกอบข้ามแดน
กฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
สนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือทางกฎหมายในคดีอาญา (MLA)
Mutual Legal Assistance Treaty (MLA) หรือ สนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือทางกฎหมายซึ่งกันและกัน คือข้อตกลงระหว่างประเทศที่กำหนดกรอบการร่วมมือในการสืบสวนสอบสวน ดำเนินคดี และบังคับใช้กฎหมายในคดีอาญาข้ามแดน
โดยสาระสำคัญ MLA เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของประเทศหนึ่งสามารถขอความช่วยเหลือจากประเทศอื่นในการ
ที่มาและวัตถุประสงค์ของ MLA
ก่อนมี MLA อาชญากรรมข้ามแดนเป็นปัญหาใหญ่เพราะอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศมีขอบเขตจำกัด กฎหมายของประเทศหนึ่งไม่สามารถบังคับใช้ในอีกประเทศได้ ปัญหาเดิมที่เกิดขึ้นคือ อาชญากรหนีไปซ่อนตัวในต่างประเทศ หลักฐานสำคัญถูกเก็บไว้ในต่างประเทศ ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดถูกโอนไปเก็บไว้ข้ามแดน และการดำเนินคดีติดขัดเพราะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือบุคคลสำคัญได้
แนวคิด MLA เริ่มต้นจากสหประชาชาติในทศวรรษ 1980 เมื่อปัญหาการค้ายาเสพติดข้ามแดนรุนแรงขึ้น อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการค้ายาเสพติดและสารออกฤทธิ์ทางจิต ค.ศ. 1988 เป็นเอกสารแรกที่กำหนดหลักการความช่วยเหลือทางกฎหมายซึ่งกันและกันในคดีอาญา
วัตถุประสงค์หลักของ MLA มี 4 ประการ ได้แก่
- การปิดช่องโหว่กฎหมายไม่ให้อาชญากรใช้พรมแดนเป็นเกราะป้องกัน
- การเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนสอบสวนและการดำเนินคดีข้ามแดน
- การอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนหลักฐานและข้อมูล
- การสร้างมาตรฐานเดียวกันในการต่อสู้อาชญากรรมข้ามแดน
7 ขั้นตอนหลังโดนดูดเงินที่ต้องทำภายใน 72 ชั่วโมง

เมื่อตระหนักว่าโดนดูดเงินจากบัญชี ทําไง เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบเร่งด่วน การรู้ขั้นตอนที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้เงินคืนอย่างมาก กฎหมายและระเบียบของธนาคารได้กำหนดกรอบเวลา 72 ชั่วโมงเป็นจุดสำคัญในการอายัดบัญชีปลายทาง หากพ้นระยะเวลานี้ มิจฉาชีพอาจถอนเงินหรือโอนต่อไปยังบัญชีอื่นได้ ทำให้การติดตามยากขึ้นอย่างมาก
ขั้นตอนที่ 1: การดำเนินการภายใน 10 นาทีแรก
ช่วงเวลา 10 นาทีแรกหลังจากรู้ตัวว่าโดนดูดเงินถือเป็นช่วง Golden Time ที่จะกำหนดโอกาสในการช่วยเหลือตัวเอง ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดคือการติดต่อธนาคารเพื่อปิดบัญชีหรืออายัดเงินทันที การกระทำนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพดูดเงินเพิ่มเติมและสร้างจุดหยุดในการโอนเงินออก
การติดต่อธนาคารในขั้นตอนนี้ต้องระบุข้อมูลให้ชัดเจน ได้แก่ หมายเลขบัญชีที่ถูกโอนเงินออก จำนวนเงินที่หายไป วันและเวลาที่เกิดเหตุ และรายละเอียดของธุรกรรมที่น่าสงสัย เจ้าหน้าที่ธนาคารจะดำเนินการอายัดบัญชีชั่วคราวและออก Incident Report เบื้องต้น
พร้อมกันนั้น ผู้เสียหายต้องเปลี่ยนรหัสผ่านทุกบัญชีที่เกี่ยวข้อง ทั้งรหัสผ่าน Mobile Banking รหัสผ่าน Email รหัสผ่าน Social Media และรหัสผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่อาจมีข้อมูลส่วนตัว การเปลี่ยนรหัสผ่านนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติมหรือใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ได้ไปแล้ว
หากสงสัยว่ามือถือถูกติดตั้งแอปดูดเงินหรือแอพดูดเงิน ให้ปิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตทันทีโดยการปิด Wi-Fi และข้อมูลมือถือ จากนั้นถอดแบตเตอรี่ออก (หากสามารถทำได้) เพื่อป้องกันไม่ให้มีการควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล
ขั้นตอนที่ 2: การติดต่อธนาคารเพื่อขอ Bank Case ID
หลังจากการดำเนินการเบื้องต้นแล้ว ขั้นตอนที่ 2 คือการติดต่อธนาคารอย่างเป็นทางการเพื่อขอ Bank Case ID ซึ่งเป็นเลขที่อ้างอิงคดีที่ธนาคารออกให้เพื่อใช้ในการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ และการติดตามคดี
Bank Case ID มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแจ้งความโดนดูดเงิน เพราะเป็นหลักฐานที่แสดงว่าธนาคารได้รับแจ้งเหตุแล้วและได้ดำเนินการตามขั้นตอน เลขรหัสนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการขอให้ธนาคารปลายทางอายัดเงินและในการประสานงานระหว่างหน่วยงาน
เมื่อติดต่อธนาคาร ผู้เสียหายควรขอข้อมูลเหล่านี้เพิ่มเติม ได้แก่ รายละเอียดการโอนเงินทั้งหมดในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ชื่อและหมายเลขบัญชีปลายทาง ธนาคารปลายทาง เวลาที่แน่นอนของการทำธุรกรรม และ Transaction Reference Number ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการแจ้งความและการสืบสวน
การขอ Bank Case ID ต้องทำผ่านช่องทางที่เป็นทางการของธนาคาร เช่น การโทรไปยังสายด่วนของธนาคาร การไปที่สาขาโดยตรง หรือผ่านแอปพลิเคชันธนาคารในส่วน Report Fraud ธนาคารจะดำเนินการออก Case ID ภายใน 2-4 ชั่วโมง และจะแจ้งให้ผู้เสียหายทราบผ่าน SMS หรือ Email
สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ การระงับธุรกรรมชั่วคราวจะมีระยะเวลา 72 ชั่วโมง และให้ผู้เสียหายแจ้งความเพื่อให้พนักงานสอบสวนออกหนังสือ/คำสั่งตามกฎหมาย
ขั้นตอนที่ 3: การแจ้งความภายใน 72 ชั่วโมง
การแจ้งความโดนดูดเงินภายใน 72 ชั่วโมงเป็นข้อกำหนดที่มีผลต่อความสำเร็จของการดำเนินคดีอย่างมีนัยสำคัญ กฎเกณฑ์นี้เกิดจากความจำเป็นในการประสานงานกับธนาคารปลายทางและการเก็บรักษาหลักฐานดิจิทัลที่อาจหายไปได้
ผู้เสียหายสามารถแจ้งความโดนดูดเงินได้หลายช่องทาง ทั้งการไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ การแจ้งผ่านระบบออนไลน์ที่ www.thaipoliceonline.go.th หรือการโทรไปยัง 1441 สายด่วนตำรวจไซเบอร์ การเลือกช่องทางขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดีและจำนวนเงินที่เสียหาย
สำหรับคดีที่มีมูลค่าสูงกว่า 300,000 บาท หรือมีความซับซ้อนข้ามแดน แนะนำให้แจ้งความที่ กองอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยตรง เพราะหน่วยงานเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญและเครื่องมือในการสืบสวนคดีไซเบอร์
เมื่อแจ้งความ ผู้เสียหายต้องเตรียมเอกสารและข้อมูลดังนี้ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาสมุดบัญชีหรือ Bank Statement ที่แสดงรายการโอนเงิน Bank Case ID ที่ได้จากธนาคาร รายละเอียดการติดต่อกับมิจฉาชีพ (ถ้ามี) เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ข้อความ SMS อีเมล Screenshot ของการสนทนา และข้อมูลบัญชีปลายทางที่เงินถูกโอนไป
การให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจควรทำอย่างละเอียดและตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังข้อมูลใดๆ แม้จะเป็นข้อมูลที่อาจทำให้รู้สึกอึดอัด เช่น การที่ตัวเองให้ข้อมูลส่วนตัวไปเอง การกดลิงก์ที่น่าสงสัย หรือการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันแปลกๆ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่เข้าใจวิธีการของมิจฉาชีพและสามารถสืบสวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนที่ 4: การได้รับหมายเรียกพยานเอกสาร (ตราครุฑ)
หลังจากแจ้งความโดนดูดเงินแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการสืบสวนเบื้องต้นและออกหมายเรียกพยานเอกสาร ซึ่งเป็นเอกสารราชการที่มีตราครุฑและลายเซ็นของผู้บังคับบัญชาตำรวจ หมายเรียกนี้มีอำนาจทางกฎหมายในการบังคับให้ธนาคารและหน่วยงานต่างๆ ให้ความร่วมมือในการสืบสวน
หมายเรียกพยานเอกสารมีผลแตกต่างจาก Bank Case ID อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ Bank Case ID เป็นการอายัดเงินชั่วคราวตามนโยบายภายในของธนาคาร หมายเรียกพยานเอกสารเป็นคำสั่งทางกฎหมายที่ธนาคารต้องปฏิบัติตาม การไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกอาจทำให้ธนาคารต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย
เมื่อได้รับหมายเรียกพยานเอกสารแล้ว ผู้เสียหายต้องนำหมายไปยื่นที่ธนาคารปลายทาง (ธนาคารที่เงินถูกโอนไป) ภายใน 7 วัน การยื่นหมายนี้จะทำให้ธนาคารปลายทางอายัดบัญชีตามกฎหมาย และการอายัดจะมีผลต่อเนื่องไปจนกว่าจะมีคำสั่งศาลหรือการสรุปคดี
การนำหมายไปยื่นที่ธนาคารปลายทางควรทำด้วยตัวเองหรือมอบหมายให้ทนายความ เพราะต้องมีการอธิบายรายละเอียดคดีและความเชื่อมโยงระหว่างบัญชีต้น บัญชีปลายทาง และการกระทำของมิจฉาชีพ ธนาคารปลายทางอาจขอหลักฐานเพิ่มเติมหรือชี้แจงรายละเอียดก่อนดำเนินการอายัด
ขั้นตอนที่ 5: การติดตามและประสานงานหน่วยงาน
การติดตามคดีโดนดูดเงินจากบัญชีไม่ได้จบลงที่การแจ้งความและการอายัดบัญชี ผู้เสียหายต้องมีบทบาทในการติดตามความคืบหน้าและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนคดีนี้ประกอบด้วย สถานีตำรวจที่รับแจ้งความ ธนาคารต้นทางและปลายทาง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หากมีการโอนเงินข้ามแดน กรมสอบสวนคดีพิเศษ หากคดีมีความซับซ้อน และสำนักงานอัยการ เมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้อง
การประสานงานระหว่างหน่วยงานเหล่านี้ต้องอาศัยการติดตามอย่างสม่ำเสมอจากผู้เสียหาย โดyเฉพาะการขอข้อมูลความคืบหน้าจากตำรวจทุก 1-2 สัปดาห์ การติดต่อธนาคารเพื่อสอบถามสถานะการอายัดบัญชี และการประสานงานกับ**ปปง.**หากพบว่าเงินถูกโอนต่อไปยังหลายบัญชี
สิ่งสำคัญที่ผู้เสียหายต้องทำในช่วงนี้คือการเก็บรักษาเอกสารทั้งหมดอย่างเป็นระบบ รวมถึงการบันทึกรายละเอียดการสนทนากับเจ้าหน้าที่แต่ละครั้ง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้อาจมีประโยชน์ในการดำเนินคดีแพ่งหรือการเรียกร้องค่าเสียหายในภายหลัง
ขั้นตอนที่ 6: การขอคืนเงินจากบัญชีที่ถูกอายัด
เมื่อหน่วยงานสืบสวนสามารถอายัดเงินในบัญชีปลายทางได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการขอคืนเงิน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความรอบคอบและการทำความเข้าใจในขั้นตอนทางกฎหมาย
การขอคืนเงินมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคดี หากสามารถจับกุมมิจฉาชีพได้และศาลพิพากษาว่ามีความผิด ศาลจะมีคำสั่งให้คืนเงินให้ผู้เสียหายตามพ.ร.บ. การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 35 ซึ่งให้อำนาจศาลในการสั่งคืนทรัพย์สินโดยตรง
หากไม่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ แต่มีการอายัดเงินในบัญชีปลายทาง ผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ยึดเงินดังกล่าวมาชดใช้ค่าเสียหาย โดยอาศัยหลักการที่ว่าเงินดังกล่าวได้มาจากการกระทำผิดและไม่มีเหตุผลอันสมควรที่ผู้ครอบครองจะได้รับประโยชน์จากเงินนั้น
กรณีที่ซับซ้อนคือเมื่อบัญชีปลายทางเป็นของบุคคลที่สาม ที่อาจถูกมิจฉาชีพหลอกให้นำบัญชีมาใช้ หรือเป็น Money Mule ที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอาชญากรรม ในกรณีนี้ การพิสูจน์ความผิดบาปของเจ้าของบัญชีจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาคืนเงิน
ขั้นตอนที่ 7: การติดตามผลและการดำเนินการทางกฎหมายเพิ่มเติม
ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการคือการติดตามผลในระยะยาว และการพิจารณาการดำเนินการทางกฎหมายเพิ่มเติม ซึ่งอาจรวมถึงการฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่เกินกว่าจำนวนเงินที่สูญหาย
การเรียกคืนเงินจากมิจฉาชีพอาจไม่ครอบคลุมความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผู้เสียหายอาจมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอื่นๆ เช่น ดอกเบี้ยที่สูญเสียจากการไม่สามารถใช้เงินได้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ค่าเสียหายจากการที่เช็คเด้งหรือไม่สามารถชำระหนี้ตรงเวลา
หากคดีมีความซับซ้อนหรือมีจำนวนเงินสูง ผู้เสียหายควรพิจารณาการว่าจ้างทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้านคดีไซเบอร์ เพื่อช่วยในการดำเนินคดีทั้งทางอาญาและแพ่ง การมีตัวแทนทางกฎหมายจะช่วยให้การประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการได้รับเงินชดเชยที่เป็นธรรม
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคดีที่คล้ายคลึงกัน เนื่องจากมิจฉาชีพมักจะใช้วิธีการเดียวกันกับเหยื่อหลายราย การรวมกลุ่มของผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งเดียวกันอาจช่วยเพิ่มอำนาจในการต่อรองและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี
(อ่านบทความเพิ่มเติม) โดนโกงออนไลน์ แจ้งความได้ไหม? ผิดกฎหมายมาตราอะไร?
หลักฐานหลัก 7 ประเภทที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินคดี

การรวบรวมหลักฐานการโดนหลอกให้ครบถ้วนและมีน้ำหนักในศาลไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นร้อยชิ้น แต่ต้องมีหลักฐานสำคัญที่ไม่สามารถขาดได้ 7 ประเภท ที่แต่ละชิ้นมีบทบาทเฉพาะในการพิสูจน์คดี
ภาพถ่ายหน้าจอแอปธนาคารที่แสดงรายการโอนเงิน
หลักฐานชิ้นนี้ถือเป็นหลักฐานหลักที่สำคัญที่สุดในการพิสูจน์ว่าโดนดูดเงินจากบัญชีจริง การถ่ายภาพหน้าจอต้องแสดงข้อมูลครบถ้วน ได้แก่ วันที่และเวลาที่แน่นอนของการโอนเงิน จำนวนเงินที่ถูกโอน หมายเลขบัญชีปลายทาง ชื่อเจ้าของบัญชีปลายทาง และยอดเงินคงเหลือก่อนและหลังการโอน
สิ่งสำคัญคือการถ่ายภาพหน้าจอทันทีที่รู้ตัวว่าเงินหาย เพราะข้อมูลในแอปธนาคารอาจมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงได้ หากไม่มีหลักฐานชิ้นนี้ การพิสูจน์ว่าเงินถูกโอนออกไปจริงจะยากมาก และศาลอาจไม่เชื่อว่าเกิดการดูดเงินจริง
ข้อความแจ้งเตือนจากธนาคารยืนยันการทำรายการ
ข้อความจากธนาคารที่ออกมาจากระบบธนาคารโดยอัตโนมัติ ไม่สามารถปลอมแปลงได้ง่าย ข้อความเหล่านี้จะแสดงรายละเอียดการโอนเงิน รวมถึงเวลาที่แน่นอน จำนวนเงิน และบัญชีปลายทาง ที่สำคัญคือข้อความจะมีหมายเลขอ้างอิงรายการที่ใช้ในการติดตามเงินได้
การเก็บรักษาข้อความต้องถ่ายภาพที่แสดงหมายเลขผู้ส่ง (จะเป็นหมายเลขของธนาคาร) เวลาที่ได้รับข้อความ และเนื้อหาทั้งหมด หากไม่มีข้อความเหล่านี้ จะขาดหลักฐานที่ยืนยันจากธนาคารว่าการโอนเงินเกิดขึ้นจริง และอาจทำให้ธนาคารปฏิเสธว่าไม่มีการทำรายการดังกล่าว
หมายเลขแจ้งเหตุจากธนาคาร (Bank Case ID)
หมายเลขแจ้งเหตุ(Bank Case ID) เป็นรหัสอ้างอิงที่ธนาคารออกให้เมื่อผู้เสียหายแจ้งเหตุโดนดูดเงิน หมายเลขนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นกุญแจสำคัญในการอายัดบัญชีปลายทาง เมื่อมีหมายเลขแจ้งเหตุ ธนาคารจะสามารถติดต่อธนาคารปลายทางเพื่อขออายัดเงินชั่วคราวได้
หมายเลขแจ้งเหตุยังเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าธนาคารได้รับทราบเหตุการณ์และได้เริ่มดำเนินการตามขั้นตอน การมีหมายเลขนี้จะช่วยในการประสานงานกับตำรวจและการออกหมายเรียกเอกสาร หากไม่มีหมายเลขแจ้งเหตุ การขออายัดบัญชีมิจฉาชีพจะทำไม่ได้ และเงินอาจถูกถอนหรือโอนต่อไปก่อนที่จะติดตามได้
การสนทนาหรือข้อความกับคนร้าย
หลักฐานการสื่อสารกับมิจฉาชีพ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ, ไลน์, เฟซบุ๊ก หรือการโทรศัพท์ เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงรูปแบบและวิธีการหลอกลวง หลักฐานเหล่านี้จะช่วยให้ศาลเข้าใจว่ามิจฉาชีพใช้วิธีการอะไรในการหลอกลวง และผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อได้อย่างไร
การเก็บหลักฐานการสนทนาต้องครอบคลุมตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการติดต่อจนถึงจุดที่เกิดความเสียหาย การถ่ายภาพหน้าจอต้องแสดงหมายเลขโทรศัพท์หรือชื่อบัญชีของมิจฉาชีพ วันเวลาของการสนทนา และเนื้อหาการสนทนาทั้งหมด หากไม่มีหลักฐานนี้ จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้เสียหายถูกหลอกลวงจริง และอาจถูกมองว่าให้ข้อมูลไปเองโดยสมัครใจ
ประวัติการเข้าเว็บไซต์
ประวัติการเข้าเว็บไซต์เป็นหลักฐานสำคัญที่ติดตามเส้นทางการหลอกลวง โดยเฉพาะกรณีที่มิจฉาชีพใช้เว็บไซต์ปลอมในการขโมยข้อมูล ประวัติการเข้าเว็บจะแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายเข้าเว็บไซต์ใดบ้าง ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับเหตุการณ์
การเก็บประวัติการเข้าเว็บต้องถ่ายภาพที่แสดงที่อยู่ของเว็บไซต์ เวลาที่เข้าเว็บไซต์ และชื่อของหน้าเว็บ หากพบว่ามีการเข้าเว็บไซต์ที่มีที่อยู่แปลกๆ หรือคล้ายกับเว็บธนาคารแต่สะกดผิด จะเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงการใช้เว็บไซต์หลอกลวง หากไม่มีหลักฐานนี้ จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้เสียหายถูกนำไปยังเว็บไซต์หลอกลวง
ใบรับแจ้งความจากสถานีตำรวจ
ใบรับแจ้งความเป็นหลักฐานที่พิสูจน์การเริ่มต้นกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นทางการ การมีใบรับแจ้งความแสดงว่าผู้เสียหายได้แจ้งความโดนดูดเงินตามขั้นตอนกฎหมาย และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้รับทราบเหตุการณ์แล้ว
ใบรับแจ้งความจะมีหมายเลขคดี วันเวลาที่แจ้งความ ชื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งความ และสรุปเหตุการณ์เบื้องต้น หลักฐานชิ้นนี้สำคัญมากในการประสานงานระหว่างหน่วยงาน การขอหมายเรียกเอกสาร และการติดตามความคืบหน้าของคดี หากไม่มีใบรับแจ้งความ จะไม่สามารถดำเนินคดีอาญาได้ และการเรียกร้องความเป็นธรรมจะทำได้ยาก
ใบแสดงรายการธุรกรรมจากธนาคาร
ใบแสดงรายการ หรือสำเนาสมุดบัญชีที่ออกโดยธนาคารอย่างเป็นทางการ เป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักสูงสุดในศาล เพราะเป็นเอกสารที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีความน่าเชื่อถือ ใบแสดงรายการจะแสดงรายการธุรกรรมทั้งหมด รวมถึงการโอนเงินที่ผิดปกติ
ใบแสดงรายการต้องเป็นฉบับที่มีตราประทับธนาคารและลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ หรือเป็นใบแสดงรายการออนไลน์ที่มีลายเซ็นดิจิทัล การมีใบแสดงรายการจะช่วยยืนยันข้อมูลทุกอย่างที่ปรากฏในแอปธนาคารและข้อความ หากไม่มีใบแสดงรายการอย่างเป็นทางการ หลักฐานอื่นๆ อาจถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องความถูกต้อง และศาลอาจไม่ยอมรับหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายหน้าจอเพียงอย่างเดียว
12 ขั้นตอนตรวจสอบว่ามีแอปดูดเงินไหม

เมื่อรู้ตัวว่าโดนดูดเงิน สิ่งแรกที่ต้องทำคือตรวจสอบอุปกรณ์ที่ใช้งานทางการเงิน เพราะแอปดูดเงินหรือแอพดูดเงินอาจยังคงทำงานอยู่และสามารถขโมยข้อมูลเพิ่มเติมได้ การตรวจสอบที่ถูกต้องจะช่วยทั้งการป้องกันตัวเองและการเก็บหลักฐานสำหรับศาล
ขั้นตอนที่ 1: ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทันที
iOS: ไปที่ Settings → Wi-Fi → ปิด Wi-Fi + Settings → Cellular → ปิด Cellular Data
Android: ลากแถบด้านบน → กดปิด Wi-Fi และ Mobile Data หรือเปิด Airplane Mode
คอมพิวเตอร์: ถอดสาย LAN หรือปิด Wi-Fi ทันที
ขั้นตอนที่ 2: บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุด
จดบันทึกแอปที่เปิดใช้งานล่าสุดก่อนเหตุการณ์
จำเว็บไซต์ที่เข้าล่าสุด
นึกถึงไฟล์หรือแอปที่ดาวน์โหลดใหม่
ขั้นตอนที่ 3: ถ่ายรูปหน้าจอทุกอย่างที่ผิดปกติ
ถ่ายหน้าจอแอปที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ถ่ายข้อความแจ้งเตือนแปลกๆ ที่อาจมี
บันทึกการแจ้งเตือนใดๆ ที่ปรากฏบนหน้าจอ
การตรวจสอบมือถือ iPhone (iOS)
ขั้นตอนที่ 4: เช็คการใช้งานแบตเตอรี่ (วิธีหาแอปต้องสงสัย)
เปิด Settings (การตั้งค่า)
เลื่อนลงไปหา Battery (แบตเตอรี่)
กดเข้าไปใน Battery
ดูส่วน Battery Usage by App ในช่วง 24 ชั่วโมงล่าสุด
มองหาแอปที่ใช้แบตเตอรี่ผิดปกติ เช่น:
แอปที่ไม่เคยใช้แต่ใช้แบตเตอรี่เยอะ
แอปที่มีชื่อแปลกๆ หรือคล้ายแอปธนาคาร
แอปที่แสดง "Background Activity" สูงผิดปกติ
ขั้นตอนที่ 5: เช็คแอปที่ติดตั้งล่าสุด
เปิด App Store
กดที่รูปโปรไฟล์มุมขวาบน
ดู Recently Updated หรือ Recently Downloaded
มองหาแอปที่ไม่คุ้นเคย ที่ติดตั้งใกล้ๆ วันที่เกิดเหตุ
ขั้นตอนที่ 6: เช็คการอนุญาต (Permissions) ของแอป
เปิด Settings → Privacy & Security
เช็คหัวข้อต่างๆ เหล่านี้:
Camera: แอปไหนขอใช้กล้องบ้าง
Microphone: แอปไหนขอใช้ไมค์บ้าง
Photos: แอปไหนเข้าถึงรูปภาพได้บ้าง
Contacts: แอปไหนเข้าถึงรายชื่อติดต่อได้บ้าง
ถ้าเจอแอปแปลกๆ ที่มีสิทธิ์เหล่านี้ ให้ถ่ายรูปหน้าจอทันที
การตรวจสอบมือถือ Android

ขั้นตอนที่ 7: เช็คสิทธิ์พิเศษของแอป (วิธีสำคัญที่สุด)
เปิด Settings (การตั้งค่า)
หา Apps หรือ Application Manager
กดปุ่ม 3 จุด ที่มุมขวาบน
เลือก Special App Access หรือ Special Access
ถ้าหน้าจอกระโดดกลับไปหน้าหลักทันที = แสดงว่ามีแอปดูดเงิน
ขั้นตอนที่ 8: เช็คแอปที่มีสิทธิ์ Administrator
เปิด Settings → Security หรือ Lock Screen and Security
หา Device Administrators หรือ Device Admin Apps
ดูว่ามีแอปไหนที่ไม่ควรมีสิทธิ์ Administrator
แอปธนาคารปกติจะไม่ขอสิทธิ์นี้
ขั้นตอนที่ 9: เช็คการใช้งานข้อมูล
เปิด Settings → Network & Internet → Data Usage
ดู App Data Usage ในช่วง 7-30 วันล่าสุด
มองหาแอปที่ใช้ข้อมูลมากผิดปกติ โดยเฉพาะแอปที่:
ไม่เคยใช้แต่ใช้ข้อมูลเยอะ
ใช้ข้อมูล Background มากผิดปกติ
การแก้ไขเมื่อพบปัญหา
ขั้นตอนที่ 10: วิธีลบแอปต้องสงสัย (ทำอย่างระวัง)
สำหรับ iOS:
กดค้างที่แอปต้องสงสัย
เลือก Remove App → Delete App
หากลบไม่ได้ = อาจเป็นแอปที่ฝังลึก ให้ไปขั้นตอนที่ 12
สำหรับ Android:
เปิด Settings → Apps
หาแอปต้องสงสัย → กด Uninstall
หากปุ่ม Uninstall สีเทา = แอปมีสิทธิ์ Administrator
ต้องไปปิดสิทธิ์ที่ Device Administrators ก่อน
ขั้นตอนที่ 11: การรีเซ็ทกลับสู่ค่าโรงงาน (วิธีที่ปลอดภัยที่สุด)
เตรียมการก่อนรีเซ็ท
สำรองรูปภาพและไฟล์สำคัญ (ลงคลาวด์)
บันทึกรหัสผ่านและข้อมูล ที่จำเป็น
ถ่ายรูปหน้าจอแอปต้องสงสัย ก่อนลบ (เก็บเป็นหลักฐาน)
วิธีรีเซ็ทโรงงาน
iOS: Settings → General → Transfer or Reset iPhone → Erase All Content and Settings
Android: Settings → System → Reset Options → Erase All Data (Factory Reset)
ขั้นตอนที่ 12: การกู้คืนและป้องกันหลังรีเซ็ท
ตั้งค่าใหม่ทั้งหมด - อย่าใช้การ Restore จาก Backup เดิม
ดาวน์โหลดแอปจาก Store เท่านั้น - ไม่ดาวน์โหลดจากลิงก์
ตั้งรหัสผ่านใหม่หมด - ทุกแอปธนาคาร, อีเมล, โซเชียล
เปิดการแจ้งเตือน สำหรับการติดตั้งแอปจากแหล่งไม่รู้จัก
อัพเดทระบบปฏิบัติการ ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6233/2564
ข้อเท็จจริง: ผู้เสียหายถูกหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัวบนเว็บไซต์ปลอม ทำให้มีการโอนเงินออกจากบัญชี 12 ครั้ง รวมเป็นเงินประมาณ 1,100,000 บาท ภายในคืนเดียว ผู้เสียหายฟ้องธนาคารเพื่อขอให้รับผิดคืนเงิน
การพิจารณา: ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โดยเห็นว่าผู้เสียหายเป็นฝ่ายประมาทเอง แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ธนาคารทราบอยู่แล้วว่ามีการหลอกลวงทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่กลับไม่มีมาตรการป้องกันธุรกรรมที่ผิดปกติ ทั้งยังปล่อยให้มีการโอนเงินจำนวนมากต่อเนื่องผิดวิสัยโดยไม่ยับยั้ง ถือว่าธนาคารมีส่วนประมาทเลินเล่อ
คำพิพากษา: ศาลฎีกาพิพากษาให้ ธนาคารและผู้เสียหายร่วมรับผิดคนละครึ่ง โดยธนาคารต้องคืนเงินให้ผู้เสียหาย 550,000 บาท ส่วนอีกครึ่งหนึ่งผู้เสียหายต้องรับผิดเอง
คำพิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ (คดีหมายเลขแดง ผบE 718/2568)
ข้อเท็จจริง: ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ฟ้องผู้บริโภคเรียกหนี้บัตรเครดิตจำนวน 371,608.56 บาท เนื่องจากมีการเบิกถอนเงินสดผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร ผู้บริโภคอ้างว่าไม่ได้ทำธุรกรรมเอง แต่ถูกหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันอันตราย ทำให้มิจฉาชีพควบคุมโทรศัพท์และถอนเงินสดจากวงเงินบัตรเครดิต 297,000 บาท โอนออกไป
การพิจารณา: ศาลเห็นว่าธนาคารมีหน้าที่จัดให้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมเพื่อป้องกันธุรกรรมที่ผิดปกติ ผู้บริโภคไม่เคยมีพฤติกรรมถอนเงินสดมาก่อน การที่เกิดการถอนเงินจำนวนมากในเวลาสั้นถือเป็นสัญญาณผิดปกติที่ธนาคารควรตรวจสอบและยับยั้ง แต่ธนาคารกลับปล่อยให้รายการผ่านไปทั้งหมด
คำพิพากษา: ศาลพิพากษาให้ ยกฟ้อง ผู้บริโภคไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ เนื่องจากหนี้ดังกล่าวเกิดจากความบกพร่องของระบบธนาคารเอง
12 คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับการโดนดูดเงินจากบัญชี
โดนดูดเงินจากบัญชี ทำไง ต้องรีบทำอะไรก่อน?
สิ่งแรกที่ต้องทำภายใน 10 นาทีคือ ติดต่อธนาคารทันทีเพื่อปิดบัญชีหรืออายัดเงิน โทรไปสายด่วนของธนาคาร ตัดอินเทอร์เน็ตในมือถือ เปลี่ยนรหัสผ่านทุกแอป และถ่ายรูปหน้าจอทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้นต้องแจ้งความโดนดูดเงินภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมขอ Bank Case ID จากธนาคาร
มิจฉาชีพดูดเงินในบัญชียังไง?
มิจฉาชีพมีวิธีการหลากหลาย เริ่มจากการส่ง SMS หลอกลวงให้กดลิงก์เพื่อกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ปลอม การโทรแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือตำรวจ การหลอกให้ดาวน์โหลดแอปดูดเงิน การใช้เบอร์โทรเก่าที่ไม่ได้อัปเดตกับธนาคาร และเทคนิค SIM Swap ที่ขอเปลี่ยน SIM การ์ดของเราไปใช้
ธนาคารไม่รับผิดชอบ ทำอย่างไร?
อย่ายอมแพ้ มีหลายวิธีที่จะกดดันธนาคารได้ เริ่มจากการเขียนหนังสือร้องเรียนไปยังฝ่ายบริหารความเสี่ยง แจ้งต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่านเว็บไซต์ bot.or.th แจ้งสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค และในที่สุดคือการฟ้องคดีแพ่ง โดยใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 161, 420 และ 438 เป็นฐาน
เปลี่ยนเบอร์ต้องแจ้งธนาคารไหม?
ต้องแจ้งทันที นี่เป็นจุดอ่อนที่มิจฉาชีพใช้ประโยชน์บ่อยมาก เมื่อเราเปลี่ยนเบอร์ใหม่แต่ไม่แจ้งธนาคาร เบอร์เก่าอาจถูกนำไปใช้สมัคร Mobile Banking ใหม่หรือ Reset รหัสผ่าน การแจ้งควรทำภายใน 3 วันหลังเปลี่ยนเบอร์ และต้องไปที่สาขาพร้อมเอกสารแสดงตัวตน
วิธีป้องกันการดูดเงินจากบัญชี?
วิธีป้องกันที่สำคัญที่สุดคือ อย่ากดลิงก์ใน SMS หรืออีเมล แม้จะดูเหมือนมาจากธนาคารจริง ดาวน์โหลดแอปจาก Google Play หรือ App Store เท่านั้น เช็ครีวิวก่อนติดตั้ง ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวผ่านโทรศัพท์ อัปเดตข้อมูลกับธนาคารเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง และตั้งค่าแจ้งเตือนทุกการทำรายการ
แอปดูดเงิน คืออะไร ดูยังไง?
แอปดูดเงินหรือแอพดูดเงิน คือโปรแกรมมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็นแอปธนาคารหรือแอปทั่วไป เพื่อขโมยข้อมูลทางการเงิน วิธีเช็ค iPhone: Settings → Battery ดูแอปที่ใช้แบตเตอรี่ผิดปกติ Android: Settings → Apps → Special App Access ถ้าหน้าจอกระโดดกลับเมื่อกดเข้าไป แสดงว่าถูกติดแอปดูดเงินแล้ว
โดนดูดเงินจากบัญชี ล่าสุด มีข่าวอะไรบ้าง?
คดีโดนดูดเงินจากบัญชีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการใช้ AI สร้างเสียงปลอมและการหลอกผ่าน Video Call รูปแบบใหม่ๆ ที่พบบ่อยคือ การปลอมเป็นพนักงานจัดส่ง โทรมาบอกว่าของไม่ถึงแล้วให้กดลิงก์ ซึ่งผู้เสียหายควรติดตามข่าวสารจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประจำ
Bank Case ID คือ อะไร สำคัญยังไง?
Bank Case ID คือหมายเลขอ้างอิงที่ธนาคารออกให้เมื่อเราแจ้งเหตุโดนหลอก นี่คือกุญแจสำคัญในการอายัดบัญชีปลายทาง เพราะธนาคารจะใช้ Case ID นี้ติดต่อธนาคารอื่นเพื่อขออายัดเงินชั่วคราวได้
72 ชั่วโมงแจ้งความโดนหลอก ทำไมสำคัญ?
กฎ 72 ชั่วโมง เป็นกฎเกณฑ์สำคัญที่ธนาคารและตำรวจใช้ในการประสานงานอายัดบัญชี หากแจ้งความเกินเวลานี้ ธนาคารปลายทางอาจปฏิเสธการอายัดบัญชี เพราะมิจฉาชีพอาจถอนเงินหรือโอนต่อไปแล้ว การแจ้งความภายใน 72 ชั่วโมงยังช่วยเก็บหลักฐานดิจิทัลที่อาจหายไปได้ง่าย
เบอร์ดูดเงิน คือ หมายเลขไหน ระวังยังไง?
เบอร์ดูดเงิน ไม่ได้หมายถึงหมายเลขโทรศัพท์ที่เฉพาะเจาะจง แต่หมายถึงหมายเลขที่มิจฉาชีพใช้โทรมาหลอกลวง มักจะเป็นเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย 02 ปลอมเป็นหน่วยงานราชการ หรือเบอร์มือถือทั่วไป วิธีป้องกันคือ ไม่รับสายจากเบอร์แปลก ถ้าเป็นเรื่องจริงให้โทรกลับไปยังเบอร์หลักของหน่วงงานนั้นเพื่อยืนยัน
เงินถูกถอนออกจากบัญชีเอง แต่ไม่ได้ถอน?
นี่เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าโดนดูดเงินแล้ว ต้องดำเนินการทันทีตามขั้นตอน 7 ขั้นตอน คือปิดอินเทอร์เน็ต ติดต่อธนาคาร ขอ Bank Case ID เปลี่ยนรหัสผ่าน ถ่ายหลักฐาน แจ้งความ และติดตามคดี อาจเกิดจากการถูกติดตั้งมัลแวร์หรือข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล
คอลเซ็นเตอร์ มิจฉาชีพ โทรมาจากไหน จัดการยังไง?
คอลเซ็นเตอร์ มิจฉาชีพส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอินเดีย กัมพูชา และเมียนมาร์ พวกเขาใช้เทคโนโลยี VoIP ทำให้เบอร์ที่แสดงออกมาดูเหมือนเป็นเบอร์ไทย วิธีจัดการคือ ไม่ตอบรับสายจากเบอร์แปลก ถ้าอ้างเป็นหน่วยงานราชการให้ขอชื่อและตำแหน่งแล้วโทรไปยืนยันที่หน่วยงานจริง
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








