
อำนาจปกครองบุตร ใครได้สิทธิ ศาลพิจารณาจากอะไร?
อำนาจปกครองบุตรคืออะไร?

อำนาจปกครองบุตร หมายถึง สิทธิตามกฎหมายที่บิดามารดาหรือผู้ปกครองมีต่อบุตรผู้เยาว์หรือผู้อยู่ในปกครอง
ได้แก่
- การกำหนดที่อยู่ของบุตร
- การทำโทษบุตร เพื่อว่ากล่าวสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรมหรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกายหรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ
- ให้บุตรทำการงานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูป
- เรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 เราลองมาดูตัวอย่างคำพิพากษาฎีกากันครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 3461/2541
"บุคคลอื่น" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567(4) หมายถึง บุคคลอื่นนอกจากผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ซึ่งได้แก่บิดา มารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตร จำเลยมิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตรผู้เยาว์ จำเลยจึงไม่เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองของบุตรผู้เยาว์ตามกฎหมาย ย่อมไม่มีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567(1) ถึง (4)
การที่จำเลยกักบุตรผู้เยาว์ไว้ จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ และเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ผู้เป็นมารดาของผู้เยาว์ย่อมมีสิทธิเรียกบุตรผู้เยาว์คืนจากจำเลยได้
ผู้ปกครองคืออะไร?
ผู้ปกครอง หมายถึง บุคคลที่ไม่ใช่บิดาหรือมารดาของผู้เยาว์ แต่ศาลแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองแทนบิดามารดา มีอำนาจปกครองแทนบิดาหรือมารดาของผู้เยาว์
ซึ่งอาจเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ไม่มีบิดาและมารดา หรือบิดาและมารดาถูกถอนอำนาจปกครองตามกฎหมาย
ซึ่งหากผู้เยาว์ยังมีบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งอยู่ จะตั้งผู้ปกครองไม่ได้ เว้นแต่บิดามารดาคนนั้นจะถูกถอนอำนาจปกครองเสียก่อน ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1585 ลองมาดูตัวอย่างคำพิพากษาฎีกากันครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 749/2542
การที่จะตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์นั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1585 วรรคหนึ่ง ให้ตั้งได้เฉพาะกรณีผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดา ถูกถอนอำนาจปกครองเสียแล้ว
เมื่อผู้เยาว์มีมารดา ซึ่งยังไม่ถูกถอนอำนาจปกครองอยู่ จึงไม่อาจตั้งผู้ปกครองได้ หากเป็นการขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้ปกครองอีกคนหนึ่งนั้น ต้องเป็นที่แน่ชัดว่าผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดา ถูกถอนอำนาจปกครองไปแล้วทั้งสองคน
คดีนี้แม้บิดาผู้เยาว์ ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วจะไม่ปรากฏชัดว่าจดทะเบียนสมรสกับมารดาผู้เยาว์หรือไม่ แต่ผู้ร้องก็ยอมรับว่าผู้เยาว์มีมารดาซึ่งทิ้งร้างไปอยู่ที่อื่น ยังไม่แน่ว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่ กรณีจึงยังไม่อาจตั้งผู้ปกครองเพื่อทำหน้าที่แทนบิดามารดาได้
นอกจากนี้ กฎหมายมิได้บังคับว่าผู้เยาว์ที่ไม่มีบิดามารดานั้นจะต้องตั้งผู้ปกครองให้กับผู้เยาว์เสมอไป
กระทู้กฎหมายพร้อมคำตอบจากทนายความเรื่อง "อำนาจปกครองบุตร"
พ่อกับแม่ ใครมีสิทธิในตัวลูกมากกว่ากัน?

ก่อนที่เราจะบอกได้ว่า พ่อกับแม่ใครมีสิทธิในตัวลูกมากกว่ากันนั้น เราต้องเข้าใจก่อนว่า บิดามารดาที่จะมีสิทธิในตัวลูกนั้น ต้องเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งกฎหมายไทยได้วางหลัก ความเป็นบิดาและมารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย เอาไว้แต่ต่างกันดังนี้
1. ความเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับความเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้วางหลักเอาไว้ใน มาตรา 1546 ว่า เด็กอันเกิดแต่หญิงใดให้ถือว่าเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้นเสมอ ลองมาดูตัวอย่างคำพิพากษาฎีกากันครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 3290/2545
เด็กหญิง อ. เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 กับจำเลย แม้มิได้จดทะเบียนสมรสกัน เด็กหญิง อ. ก็เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546
2. ความเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับความเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้วางหลักเอาไว้ใน มาตรา 1547 ว่าเด็กจะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาต่อเมื่อ เข้ากรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้
- เด็กคลอดขณะบิดาสมรสโดยถูกต้องตามกฎหมายกับมารดา
- บิดากับมารดาจดทะเบียนสมรสกันในภายหลังเด็กคลอด
- บิดาจดทะเบียนรับรองบุตร
- ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตร
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าความเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายมีหลักเกณฑ์อย่างไรแล้ว ต่อมาเราจะมาพูดถึงเรื่องสิทธิในตัวบุตรของบิดาและมารดากันต่อ
สิทธิในตัวบุตรของบิดาและมารดา
โดยกฎหมายวางหลักว่า ทั้งบิดาและมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิในตัวบุตรเท่ากัน
เว้นแต่ คนใดคนหนึ่งถูกถอนอำนาจปกครองไม่ว่าจะโดยความยินยอมหรือตามคำสั่งศาลก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 ลองมาดูตัวอย่างคำพิพากษาฎีกากันครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 939/2563
โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นบิดามารดาผู้ตายซึ่งเป็นผู้เยาว์อยู่ภายใต้ปกครองของโจทก์ร่วมทั้งสองตามมาตรา 1566
จดทะเบียนสมรสแล้ว ลูกเป็นสิทธิของใคร?
ตามที่กล่าวมาในหัวข้อก่อนแล้วว่า ไม่ว่าจะสมรสหรือไม่ เด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของมารดาเสมอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 และ
หากบิดาและมารดาสมรสกันภายหลังจากที่ บุตรคลอดแล้วเด็กย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาด้วย ตามมาตรา 1547 และให้ถือว่าเด็กเป็นบุตรของบิดาย้อนกลับไปถึงวันที่เด็กเกิด
โดยสรุปก็คือ หากบิดาและมารดาสมรสกันในภายหลัง บิดาจดทะเบียนรับรองบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตร ลูกย่อมเป็นสิทธิของทั้งพ่อและแม่นั้นเอง
ซึ่งเป็นไปตามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557 เราลองมาดูตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกากันครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 7345/2560
เดิม ป.พ.พ. มาตรา 1557 บัญญัติให้การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผล (3) นับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นบุตร
แต่ต่อมาได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตราดังกล่าว นับแต่วันที่ 8 มีนาคม 2551 "ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด" บทบัญญัติดังกล่าวมีผลให้เด็กมีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายย้อนหลังไปนับแต่วันที่เด็กเกิด ย่อมมีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูได้นับแต่วันคลอดและสามารถฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรรวมกันมาเป็นคดีเดียวกับการฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรได้ทีเดียว
เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แก้ไขเพิ่มเติม การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูนับแต่วันที่โจทก์เกิดจนถึงวันฟ้องจึงชอบแล้ว หาใช่นับแต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดตามที่จำเลยฎีกาไม่
ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ลูกเป็นสิทธิของใคร?

ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เด็กเกิดแต่หญิงใด ให้ถือว่าเด็กนั้นเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้นเสมอ หญิงที่คลอดเด็กจึงเป็นมารดาของลูกเสมอตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1546
แต่หากฝ่ายชายที่ไม่ได้จดทะเบียนกับฝ่ายหญิงต้องการให้เด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของตนเองด้วย โดยไม่ต้องจดทะเบียนสมรสกับหญิง กฎหมายก็ได้ให้ทางออกไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 ได้แก่
การจดทะเบียนรับรองบุตรในภายหลัง ก็จะทำให้ฝ่ายชายเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตรและมีสิทธิในตัวบุตรเท่ากับมารดานั่นเองครับ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนกัน ลูกมีสิทธิรับมรดกไหม?
เรียกค่าเลี้ยงดูบุตรได้เท่าไร ไม่ได้จดทะเบียน ฟ้องได้ไหม
หย่าแล้วมีสิทธิอะไรบ้าง และลูกจะไปอยู่กับใคร?

แม้ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงหย่ากันแล้ว ก็ไม่ทำให้สิทธิความเป็นบิดาและมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายสิ้นสุดลง
หมายความว่า ทั้งบิดาและมารดายังคงมีสิทธิในตัวบุตรทั้งคู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อมีการหย่าเกิดขึ้นเรื่องสิทธิในการเลี้ยงดูบุตรเป็นประเด็นใหญ่ที่ทั้งสองฝ่ายควรจะนำมาตกลงกันอยู่แล้ว
ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วหากเป็นการหย่าโดยความยินยอมทั้งสองฝ่ายจะต้องมาตกลงกันในเรื่องสิทธิในการเลี้ยงดูบุตรแต่ละคน
หากตกลงกันไม่ได้ ต้องให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดเรื่องสิทธิการเลี้ยงดู หรือในกรณีที่เป็นการหย่าโดยคำพิพากษาก็ให้ศาลที่พิจารณาคดีเป็นผู้ชี้ขาดเรื่องสิทธิการเลี้ยงดู ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520
ในส่วนของหลักเกณฑ์ที่ศาลมักจะนำมาใช้ชี้ขาดว่าฝ่ายใดควรได้สิทธิการเลี้ยงดูนั้น
มีองค์ประกอบหลายอย่างเช่น
- ความสามารถในการเลี้ยงดู
- ความสมัครใจของบุตร
- ในกรณีเด็กอายุน้อยมารดามักจะมีโอกาสได้สิทธิมากกว่า
- ความประพฤติของแต่ละฝ่าย ฯ เป็นต้น
ส่งท้าย
สุดท้ายนี้หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านที่จะสามารถนำความรู้ไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันหรือแก้ปัญหาที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่และช่วยให้ผู้อ่านหาทางออกสำหรับปัญหานั้นได้นะครับ
หากยังมีข้อสงสัยก็ควรจะรวบรวมข้อเท็จจริงพร้อมพยานหลักฐานทั้งหมดเข้าปรึกษาผู้รู้ เพื่อให้ได้คำตอบที่ละเอียดครบทุกประเด็นที่สงสัยและตรงกับข้อเท็จจริงของแต่ละคนมากขึ้นครับ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ






