เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-22

คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว “บังคับคดี” อย่างไร? อายัด–ยึด–ขายทอดตลาด

หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ชนะคดีแล้วได้แค่กระดาษ” จริง ๆ หรือ? แล้วเราจะมีวิธีการและขั้นตอนอย่างไร หลังจากที่ศาลตัดสินให้เราชนะคดีแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ให้เราสักที 

พอเป็นแบบนี้แล้ว เราก็ต้องใช้ขั้นตอนทางกฎหมายที่เรียกว่า “บังคับคดี” เข้ามาช่วย เพื่อให้เจ้าหน้าที่บังคับคดีดำเนินการแทนเรา ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ การบังคับคดีเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะทำให้สิ่งที่ศาลตัดสินไว้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่มีคำพิพากษาอยู่บนกระดาษเท่านั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ชนะคดีให้ได้รับประโยชน์ตามกฎหมายด้วย 

ในคดีแพ่งเมื่อเรามีการฟ้องคดีกันในศาล เช่น ฟ้องเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ ศาลก็จะสืบพยานและพิจารณาคดี จนมีคำพิพากษาเพื่อตัดสินคดีว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายที่ชนะคดี ต่อมาศาลจะออก “คำบังคับ” ซึ่งคำบังคับก็คือ เอกสารที่ศาลออกเพื่อเป็นคำสั่งให้ฝ่ายที่แพ้คดีกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ให้ลูกหนี้ชำระหนี้ หรือให้ลูกหนี้คืนทรัพย์สิน หรือให้ชดใช้ค่าเสียหาย และในบางครั้งศาลอาจจะกำหนดระยะเวลาให้ลูกหนี้ชำระเงินไว้ 30 วัน ซึ่งถ้าหากฝ่ายที่แพ้ทำตามคำบังคับที่ศาลกำหนดเรื่องก็จะจบลงทันที 

แต่ถ้าครบกำหนดระยะเวลาแล้วฝ่ายที่แพ้กลับไม่ยอมทำตามคำพิพากษาสักที ก็เป็นปัญหาที่ฝ่ายที่ชนะต้องดำเนินการบังคับคดี ซึ่งแผนผังดังต่อไปนี้เป็นขั้นตอนเบื้องต้นว่ากว่าจะถึงขั้นตอนบังคับคดี ต้องผ่านกระบวนการใดบ้าง ช่วยให้เราทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น  

บังคับคดี.png

การบังคับคดีคืออะไร 

การบังคับคดี คือ กระบวนการทางกฎหมาย ที่ใช้เพื่อบังคับให้ลูกหนี้หรือฝ่ายที่แพ้คดี ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ไม่ว่าจะเป็นการชำระหนี้ การกระทำ หรือการงดเว้นไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง 

หากลูกหนี้ไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาทั้งหมดหรือบางส่วน ฝ่ายที่ชนะคดีหรือบุคคลที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้ ที่เรียกว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลให้มีการบังคับคดี โดยการยึดทรัพย์ หรือวิธีอื่น ๆ ภายในกำหนดระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่ง โดยให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมบังคับคดี เข้ามาดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 274   

คำพิพากษาฎีกาที่ 10731/2558 (ประชุมใหญ่) 

การนับระยะเวลา 10 ปี ในการร้องขอบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 ต้องเริ่มนับระยะจากวันมีคำพิพากษาของศาล ไม่ใช่เริ่มนับจากคดีถึงที่สุด 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5992/2556 

การร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ของการบังคับคดีให้ครบถ้วนภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา โดยเป็นหน้าที่ของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และขั้นต่อไปเจ้าหนี้ต้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดี จากนั้นเจ้าหนี้ต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งนี้ตาม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 และมาตรา 278 ดังนั้น การที่ผู้ร้องเพียงแต่ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีโดยมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปอีกจนพ้นกำหนดระยะเวลา 10 ปี สิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงสิ้นสุดลง

ประเภทของการบังคับคดีมีอะไรบ้าง 

การบังคับคดีที่เราต้องดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหลายวิธีด้วยกัน ขึ้นอยู่กับคดีของเราว่าเกี่ยวกับอะไร และขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของศาลว่ากำหนดให้ทำอย่างไรด้วย ซึ่งประเภทของการบังคับคดีมี ดังนี้

1. การยึดทรัพย์ 

ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ยึดได้ทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน บ้าน รถยนต์ เครื่องประดับ 

2. การอายัดทรัพย์สิน 

เป็นคำสั่งห้ามลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกจำหน่ายหรือโอนทรัพย์ เช่น อายัดเงินเดือน หรืออายัดเงินในบัญชีธนาคาร

3. การขายทอดตลาด

เป็นการนำทรัพย์สินที่ได้มาจากการยึดหรืออายัดไว้มาขายให้ผู้ที่เสนอราคาสูงสุด เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้

4. การขับไล่ หรือการรื้อถอน

เป็นการบังคับให้ลูกหนี้ออกจากสถานที่ที่ครอบครองอยู่ หรือรื้อถอนสิ่งที่ปลูกสร้าง

5. การกระทำอื่น ๆ

เป็นการบังคับคดีในรูปแบบอื่น ๆ ตามที่ศาลกำหนดในคำพิพากษา เช่น การห้ามไม่ให้จำเลยกระทำการบางอย่าง หรือการสั่งห้ามไม่ให้ทำนิติกรรมบางอย่าง


การบังคับคดีต้องทำอย่างไร

การบังคับคดีมีขั้นตอนและรายละเอียดหลายอย่าง จึงควรปรึกษาทนายความเพื่อให้ทำถูกต้องตามกฎหมาย ทั้ง “การยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ และขายทอดตลาด” ของลูกหนี้ ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีวิธีดำเนินการต่างกัน ถ้าเจ้าหนี้เข้าใจขั้นตอนเหล่านี้ดี ก็จะสามารถดำเนินการได้ถูกต้องและได้เงินคืนเร็วขึ้น 

1. การยึดทรัพย์สินคืออะไร

การยึดทรัพย์สิน คือการนำเอาทรัพย์สินของลูกหนี้ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ มาไว้ในการดูแลของเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมาย 

ทรัพย์สินที่อาจจะถูกยึดได้ เช่น ที่ดิน บ้าน รถยนต์ เครื่องประดับ หรือทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา             

วิธีการยึดทรัพย์ มีดังนี้

1.1 ขอออกหมายบังคับคดี

หลังจากที่ลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ตามคำบังคับของศาล ถ้าหากเจ้าหนี้ต้องการบังคับคดีจะต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี เพื่อตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้นำยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 และมาตรา 275 

1.2 การสืบทรัพย์สินของลูกหนี้

การสืบทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายเจ้าหนี้ที่ต้องดำเนินการสืบทรัพย์สินของลูกหนี้ด้วยตนเอง ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีแต่อย่างใด ดังนั้นจึงต้องให้ทนายความไปตามสืบว่าลูกหนี้มีที่ดิน บ้าน อยู่ที่ไหนบ้าง และเตรียมเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับทรัพย์สินเพื่อประกอบการยื่นเรื่องยึดทรัพย์สิน เช่น โฉนดที่ดินของลูกหนี้ 

1.3 การตั้งเรื่องบังคับคดีกับพนักงานบังคับคดี

การตั้งเรื่องบังคับคดีกับพนักงานบังคับคดี เป็นสิ่งที่ฝ่ายเจ้าหนี้ต้องทำเองพร้อมกับยื่นเอกสารต่าง ๆ ประกอบการยึดทรัพย์สิน ขั้นตอนนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่เป็นหน้าที่ของเจ้าหนี้ที่ต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดี จากนั้นเจ้าหนี้ต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

1.4 เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์สิน

หลังจากที่ออกหมายบังคับคดีแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจในการดำเนินการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ และถือว่าผู้แทนของเจ้าหนี้ในการรับเงินหรือรับทรัพย์สินที่ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกนำมาวางเพื่อชำระหนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278

และหลังจากที่ดำเนินการยึดทรัพย์สินเสร็จแล้ว จะมีการดำเนินการขายทอดตลาดที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ต้องดำเนินการต่อไป

2. การอายัดทรัพย์คืออะไร

การอายัดทรัพย์คือ วิธีการบังคับคดีอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่การบังคับเอากับทรัพย์สินของลูกหนี้โดยตรง แต่เป็นการบังคับเอาจากสิทธิเรียกร้องอันเป็นเงินของลูกหนี้ และเป็นคำสั่งที่ห้ามบุคคลภายนอกมิได้ชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ 

เช่น การอายัดเงินเดือนของลูกหนี้ และให้นายจ้างของลูกหนี้ส่งเงินเดือนของลูกหนี้ให้กับสำนักงานบังคับคดี และสำนักงานบังคับคดีจะนำเงินดังกล่าวมาชำระให้กับเจ้าหนี้อีกที ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 316

ทรัพย์สินของลูกหนี้ที่สามารถอายัด

  1. เงินเดือน ค่าจ้าง หรือรายได้ที่มีลักษณะจ่ายเพื่อการตอบแทนการทำงานเป็นรายเดือน สามารถอายัดได้ต่อเมื่อมีเงินคงเหลือไม่น้อยกว่า 20,000 บาท และอายัดได้ไม่เกินร้อยละ 30
  2. โบนัส สามารถอายัดได้ไม่เกินร้อยละ 50 
  3. เงินที่ตอบแทนกรณีออกจากงาน สามารถอายัดได้ไม่เกิน 300,000 บาท หรือตามเจ้าหน้าที่บังคับคดีเห็นสมควร
  4. เงินตอบแทนจากการทำงานเป็นครั้งคราว สามารถอายัดได้ไม่เกินร้อยละ 30 
  5. เงินฝากในบัญชีธนาคาร
  6. เงินปันผลจากหุ้น
  7. เงินค่างวดตามสัญญาจ้าง
  8. เงินค่าเช่าทรัพย์สิน 

อ้างอิงเพิ่มเติมได้จาก:  พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉบับที่ 30 พ.ศ.2560

วิธีการอายัดทรัพย์สิน

2.1 ขอออกหมายบังคับคดี

ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี เพื่อขออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 

2.2 การสืบสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้

เป็นหน้าที่ของฝ่ายเจ้าหนี้ที่ต้องดำเนินการสืบของข้อมูลลูกหนี้ เมื่อเจ้าหนี้สืบทราบว่าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องอยู่กับบุคคลภายนอก  เช่น ทราบว่าลูกหนี้มีเงินฝากอยู่ในบัญชีธนาคาร  หรือทราบว่าทำงานกับบริษัทไหน หรือทราบว่าลูกหนี้มีสิทธิรับเงินตามสัญญาจ้าง

2.3 การตั้งเรื่องบังคับคดีกับพนักงานบังคับคดี

เจ้าหนี้มีหน้าที่จะต้องไปตั้งเรื่องกับเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการ อายัดเงินของลูกหนี้ เช่น เงินในบัญชี เงินเดือน เงินโบนัส หรือเงินค่าจ้าง 

2.4 เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการอายัดเงินของลูกหนี้

เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการอายัดเงินของลูกหนี้ โดยหลังจากที่เจ้าพนักงานตรวจคำร้องแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดี ก็จะมีเอกสารคำสั่งแจ้งการอายัดสิทธิเรียกร้องไปยังลูกหนี้ และบุคคลภายนอก 

เมื่อบุคคลดังกล่าวรับทราบคำสั่งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว จะต้องส่งเงินมาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีแทน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 316 และเจ้าพนักงานบังคับคดีจะนำเงินที่ได้ชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ต่อไปตามขั้นตอน  

หากบุคคลภายนอกที่ได้รับคำสั่งอายัดจากจากเจ้าพนักงานบังคับคดี พบว่าคำสั่งอายัดไม่ถูกต้อง ก็สามารถยื่นโต้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งอายัดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 325

3. การขายทอดตลาดคืออะไร

การขายทอดตลาด คือ กระบวนการหลังจากที่ได้ยึดทรัพย์หรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าว 

ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 331 วรรคหนึ่ง โดยการขายทอดตลาดจะดำเนินการขายผ่านสำนักงานบังคับ และจะขายให้แก่ผู้ชนะที่ให้ราคาสูงสุด เมื่อขายได้เรียบร้อยแล้วจะนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา 

วิธีการขายทอดตลาด

3.1 เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีในการดำเนินการขายทอดตลาด 

เป็นไปตามหลักกฎหมายในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

3.2 เจ้าพนักงานบังคับคดีจะแจ้งผู้มีส่วนได้เสียให้ทราบถึงการขายทอดตลาด 

เช่น ลูกหนี้ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับลูกหนี้ และนายทะเบียน พร้อมทั้งแจ้งกำหนดวัน และเวลาในการขายทอดตลาด

3.3 เจ้าพนักงานบังคับคดีจะประกาศการขายทอดตลาด 

พร้อมทั้งแสดงรายละเอียดของทรัพย์ที่จะขาย และจะมีการปิดประกาศขายไว้โดยเปิดเผยไว้ที่สถานที่ขาย สถานที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่ 

3.4 ผู้มีส่วนได้เสียสามารถสู้ราคาเอง หรือจะจัดหาบุคคลอื่นให้เข้าสู้ราคาก็ได้ 

เมื่อขายได้แล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเคาะไม้ให้แก่ผู้ให้เสนอราคาสูงสุด และเป็นผู้ชนะที่ได้ซื้อทรัพย์สินนั้น

3.5 ผู้ชนะที่เสนอราคาสูงสุด ต้องชำระเงินค่าซื้อทรัพย์สินตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด

ในกรณีที่เป็นอสังหาริมทรัพย์จะต้องมีการจดทะเบียนเพื่อเปลี่ยนแปลงสิทธิด้วย

3.6 เมื่อกระบวนการขายทอดตลาดเสร็จสิ้นแล้ว 

เจ้าพนักงานบังคับคดีจะนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระให้กับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ถ้ายอดเงินในการขายไม่เพียงพอในการชำระหนี้เจ้าหนี้จะต้องดำเนินการสืบทรัพย์และบังคับคดีกันต่อไป

สรุป 

การบังคับคดี คือขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรมที่ทำให้คำพิพากษาเกิดผลจริง 

เจ้าหนี้ต้องรีบปรึกษาทนายความให้ดำเนินการบังคับคดีให้ครบขั้นตอนภายในระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา เพื่อไม่ให้สิทธิบังคับคดีสิ้นสุดลง เพราะถ้าหากช้า หรือสืบทรัพย์สินของลูกหนี้ไม่พบสักที อาจมีโอกาสที่จะไม่ได้รับชำระหนี้ได้

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “