
เมื่อเจอปัญหาที่ต้องฟ้องคดี หลายคนมักสงสัยว่าควรเลือกฟ้องคดีแพ่งหรือฟ้องคดีอาญาดี คำตอบไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกหรือความต้องการแค่ฝ่ายเดียว แต่ต้องดูที่ลักษณะของเหตุการณ์ วัตถุประสงค์ที่แท้จริง และผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้น
ในชีวิตประจำวัน เราอาจเจอสถานการณ์ที่คนอื่นทำให้เราเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการผิดสัญญา การถูกโกง หรือการถูกทำร้าย คำถามแรกที่เกิดขึ้นมักจะเป็น "ฟ้องได้ไหม ฟ้องอย่างไร" แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ "ฟ้องแบบไหนจึงจะได้ผลดีที่สุด"
คดีแพ่งและคดีอาญาเป็นเส้นทางที่แตกต่างกันมาก ทั้งเรื่องวัตถุประสงค์ ขั้นตอน ระยะเวลา ค่าใช้จ่าย และผลลัพธ์ที่ได้รับ การเลือกผิดเส้นทางอาจทำให้เสียเวลาและเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
คดีแพ่งและคดีอาญาต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างหลักระหว่างคดีแพ่งและคดีอาญาอยู่ที่วัตถุประสงค์ คดีแพ่งมุ่งเน้นการชดเชยความเสียหายและคืนสิทธิให้ผู้เสียหาย ขณะที่คดีอาญามุ่งลงโทษผู้กระทำผิดเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม การเข้าใจจุดนี้จะช่วยให้เลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์
คดีแพ่งคืออะไร?
คดีแพ่งคือคดีที่เกิดจากข้อพิพาทระหว่างบุคคลสองฝ่าย เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแพ่ง โดยฝ่ายหนึ่งอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการกระทำของอีกฝ่าย และต้องการให้ชดใช้หรือแก้ไข ลักษณะสำคัญของคดีแพ่งคือเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างคู่กรณี ไม่เกี่ยวข้องกับความผิดที่กระทบต่อสังคมโดยรวม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการเสียหายที่เกิดขึ้น ประยุกต์กับเหตุการณ์จริงได้เช่น กรณีรถชนกัน ผู้ก่อเหตุต้องชดใช้ค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล และค่าเสียหายอื่นๆ
ประเภทของคดีแพ่งที่พบบ่อย
- คดีผิดสัญญา
- คดีการกู้ยืมเงิน
- คดีเช่าซื้อ
- คดีอุบัติเหตุ
- คดีการก่อสร้าง
- คดีมรดก
- คดีครอบครัว เป็นต้น
อายุความคดีแพ่งมีกี่ปี
ขึ้นอยู่กับประเภทของคดี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดดังนี้
- อายุความ 1 ปี เช่น คดีหมิ่นประมาท คดีการล่วงละเมิด
- อายุความ 2 ปี เช่น คดีเรียกค่าจ้าง ค่าขนส่ง ค่าเช่าบ้าน
- อายุความ 3 ปี เช่น คดีละเมิดทั่วไป การเรียกค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ
- อายุความ 5 ปี เช่น คดีเรียกดอกเบี้ย การผ่อนชำระเป็นงวด
- อายุความ 10 ปี เช่น คดีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คดีทั่วไปที่ไม่ได้กำหนดไว้เป็นพิเศษ
คดีแพ่งติดคุกไหม
คำตอบที่ชัดเจนคือ ไม่ติดคุก เพราะคดีแพ่งไม่มีโทษทางอาญา การลงโทษสูงสุดคือการสั่งให้จำเลยชำระเงิน คืนทรัพย์สิน หรือปฏิบัติตามข้อผูกพันที่ศาลสั่ง ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ก็จะมีการบังคับคดีโดยการยึดทรัพย์สินมาขายทอดตลาด
คดีแพ่งร้ายแรงไหม
เมื่อเทียบกับคดีอาญา ถือว่าไม่ร้ายแรง เพราะไม่มีการจำคุกหรือลงโทษทางกาย แต่ผลกระทบทางการเงินอาจสูงมาก เช่น กรณีถูกฟ้องให้จ่ายค่าเสียหายหลายล้านบาท หรือต้องคืนที่ดินที่มีมูลค่าสูง
คดีแพ่งมีหมายจับไหม
ไม่มีหมายจับ เพราะคดีแพ่งไม่ใช่คดีอาญา แต่จะมีหมายศาลคดีแพ่งเรียกให้มาชี้แจงหรือให้การต่อศาล หากไม่ไปตามหมาย ศาลอาจพิพากษาให้แพ้คดีโดยไม่ได้ฟังปากคำแก้ต่าง
คดีอาญาคืออะไร? เมื่อไหร่ควรเลือกฟ้อง
คดีอาญาเป็นคดีที่เกิดจากการกระทำที่กฎหมายอาญากำหนดว่าเป็นความผิด ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ไม่ใช่แค่ความเสียหายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง วัตถุประสงค์หลักคือการลงโทษผู้กระทำผิดและป้องปรามไม่ให้เกิดความผิดซ้ำ
คดีอาญา มี อะไรบ้าง
สามารถแบ่งตามลักษณะการกระทำผิดได้หลายประเภท
- คดีเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย เช่น ฆาตกรรม ทำร้ายร่างกาย ข่มขืน กระทำอนาจาร ลักพาตัว
- คดีเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ วิ่งราว ยักยอก ฉ้อโกง กรรโชก
- คดีเกี่ยวกับเอกสาร เช่น ปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม
- คดีเกี่ยวกับยาเสพติด เช่น ผลิต จำหน่าย ครอบครอง หรือใช้ยาเสพติด
- คดีเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย เช่น หมิ่นประมาท ชุมนุมผิดกฎหมาย
- คดีเกี่ยวกับความมั่นคง เช่น การก่อการร้าย การกบฏ มาตรการต่อต้านรัฐ
โทษทางอาญามีอะไรบ้าง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 กำหนดโทษหลักไว้ 5 ประเภท นี่คือโทษทางอาญา 5 อย่าง
- ประหารชีวิต - สำหรับความผิดร้ายแรงที่สุด เช่น ฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
- จำคุก - แบ่งเป็นจำคุกตลอดชีวิต และโทษจำคุกมีกำหนด และเมื่อรวมหลายกระทงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เพดานรวมไม่เกิน 50 ปี
- กักขัง - ไม่เกิน 1 เดือน สำหรับความผิดเล็กน้อย
- ปรับ - ชำระเงินตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด อาจเป็นหลักพัน หลักหมื่น หรือหลักแสน
- ริบทรัพย์สิน - ยึดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดหรือใช้ในการกระทำผิด
นอกจากนี้ยังมีโทษเสริม เช่น ริบใบอนุญาต ห้ามประกอบอาชีพ เนรเทศ และการลงประกาศในหนังสือพิมพ์
อายุความคดีอาญา
ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 กำหนดดังนี้
- อายุความ 1 ปี - ความผิดที่มีโทษปรับอย่างเดียว
- อายุความ 5 ปี - ความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ
- อายุความ 10 ปี - ความผิดที่มีโทษจำคุกเกิน 3 ปี แต่ไม่เกิน 7 ปี
- อายุความ 15 ปี - ความผิดที่มีโทษจำคุกเกิน 7 ปี
- อายุความ 20 ปี - ความผิดที่มีโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก 20 ปีขึ้นไป
คดีอาญายอมความได้ไหม
คำตอบขึ้นอยู่กับประเภทของความผิด
ความผิดที่ยอมความได้ เช่น หมิ่นประมาท ทำร้ายร่างกายไม่ถึงขั้นอันตราย ลักทรัพย์ระหว่างญาติ ฉ้อโกงในครอบครัว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา39 บัญญัติว่า เมื่อผู้เสียหายยอมความแล้ว การดำเนินคดีจะสิ้นสุดลง
ความผิดที่ยอมความไม่ได้ เช่น ฆาตกรรม ข่มขืน ค้ายาเสพติด ฉ้อโกงประชาชน เพราะกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม
(บทความที่เกี่ยวข้อง) อายุความในคดีต่างๆ วิธีการนับอายุความคดีแพ่ง คดีอาญา ตามกฎหมาย
3 เกณฑ์ในการเลือกวิธีเลือกฟ้องคดีแพ่งหรือคดีอาญา

การตัดสินใจเลือกระหว่างฟ้องคดีแพ่งหรือคดีอาญาไม่ควรขึ้นอยู่กับอารมณ์หรือความโกรธแค่ฝ่ายเดียว แต่ต้องวิเคราะห์อย่างเป็นระบบผ่าน 5 เกณฑ์หลัก ได้แก่ ลักษณะของเหตุการณ์ วัตถุประสงค์ที่แท้จริง ข้อจำกัดด้านเวลาและงบประมาณ โอกาสชนะคดี และผลกระทบระยะยาว การประเมินครบทั้ง 5 ด้านจะช่วยให้เลือกเส้นทางที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
การเลือกใช้กลไกทางกฎหมายที่เหมาะสมเป็นศิลปะที่ต้องอาศัยทั้งความรู้และประสบการณ์ ไม่ใช่การตัดสินใจแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะแต่ละเส้นทางมีข้อได้เปรียบและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การวิเคราะห์อย่างรอบคอบจะช่วยประหยัดทั้งเวลา เงิน และความพยายาม
เกณฑ์ที่ 1 ประเภทความเสียหายและหลักฐาน
ขั้นตอนแรกในการตัดสินใจคือการวิเคราะห์ลักษณะของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าเข้าข่ายเป็นกฎหมายแพ่งหรือกฎหมายอาญา หรือทั้งคู่
กรณีที่เหมาะกับคดีแพ่ง มักเป็นเรื่องการผิดสัญญา การไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง หรือความเสียหายที่เกิดจากความประมาท เช่น การผิดนัดส่งมอบสินค้า การก่อสร้างไม่ตรงแบบ หรืออุบัติเหตุทางจราจร อายุความคดีแพ่ง ผิดสัญญา โดยทั่วไปจะเป็น 10 ปี ให้เวลาเพียงพอในการรวบรวมหลักฐาน
กรณีที่เหมาะกับคดีอาญา จะเป็นการกระทำที่มีเจตนาร้าย หลอกลวง หรือใช้ความรุนแรง เช่น การฉ้อโกงด้วยการสร้างบริษัทปลอม การขายที่ดินที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ หรือการทำร้ายร่างกาย ลักษณะเด่นคือมีการวางแผนล่วงหน้าและกระทำต่อหลายคน
หลักฐานที่ต้องมี สำหรับคดีแพ่ง ต้องพิสูจน์ความเสียหายและความเชื่อมโยงกับการกระทำของจำเลย สำหรับคดีอาญา ต้องพิสูจน์เจตนาและการกระทำที่ตรงตามองค์ประกอบของความผิด มาตรฐานการพิสูจน์ในคดีอาญาสูงกว่า ต้อง "เหนือข้อสงสัยอันสมควร"
เกณฑ์ที่ 2 วัตถุประสงค์ของการฟ้อง
หากต้องการเงินหรือทรัพย์สินคืน คดีแพ่งจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะศาลสามารถสั่งให้จำเลยชำระเงิน คืนทรัพย์สิน หรือปฏิบัติตามสัญญาได้โดยตรง กระบวนการเร็วกว่าและผลลัพธ์ชัดเจน แต่ต้องแน่ใจว่าจำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอ
หากต้องการความยุติธรรมและป้องปราม คดีอาญาจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะผู้กระทำผิดจะต้องรับโทษทางอาญาจริง ทำให้เกิดผลป้องปรามต่อตัวเองและคนอื่น แต่ไม่ได้เงินชดเชยโดยตรง
กรณีฟ้องทั้งแพ่งและอาญา สามารถพิจารณาคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 บัญญัติไว้ว่า การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจะฟ้องต่อศาลซึ่งพิจารณาคดีอาญาหรือต่อศาลที่มีอำนาจชำระคดีแพ่งก็ได้ ประยุกต์ใช้ในกรณีที่ต้องการทั้งการลงโทษและการชดเชย
เกณฑ์ที่ 3 ระยะเวลาและงบประมาณที่มี
ด้านเวลา
คดีแพ่งโดยเฉลี่ยใช้เวลา 6 เดือน - 2 ปี ขึ้นอยู่กับความซับซ้อน สามารถควบคุมจังหวะได้เอง และเจรจายอมความได้ตลอดเวลา
คดีอาญาใช้เวลา 2-5 ปี หรือมากกว่า เพราะต้องผ่านขั้นสอบสวน อัยการ และศาล
ด้านงบประมาณ
คดีแพ่งต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ประกอบด้วย ค่าทนายความ (หลักหมื่น-หลักแสน) ค่าธรรมเนียมศาล (ร้อยละของจำนวนเงินที่ฟ้อง) ค่าส่งหมาย และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
คดีอาญารัฐออกให้ แต่อาจต้องจ้างทนายสำหรับส่วนแพ่งเพิ่มเติม
อ่านบทความเพิ่มเติม -- ชนะคดีไปแล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆจะได้คืนไหม?
เมื่อไหร่ควรฟ้องคดีแพ่ง?

คดีแพ่งเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว โดยเฉพาะการได้รับเงินหรือทรัพย์สินคืน กรณีที่เหมาะสมมากที่สุดคือข้อพิพาทเรื่องสัญญา การเรียกหนี้ และความเสียหายที่สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้
7 กรณีที่ฟ้องคดีแพ่งดีกว่า
กรณีผิดสัญญาทางการค้า เช่น การไม่ส่งมอบสินค้า การส่งมอบไม่ตรงคุณภาพ หรือการผิดกำหนดเวลา เป็นกรณีที่อายุความคดีแพ่ง ผิดสัญญา 10 ปี ให้เวลาเพียงพอในการรวบรวมหลักฐาน และผลลัพธ์ที่ต้องการคือการได้รับเงินหรือสินค้าชดเชย
- คดีหนี้สินและการเงิน เช่น การกู้เงินไม่คืน การค้ำประกันที่ต้องรับผิดชอบ หรือการเช่าซื้อที่ไม่จ่ายตามกำหนด กรณีเหล่านี้มีหลักฐานทางการเงินชัดเจน และวัตถุประสงค์หลักคือการได้เงินคืน
- ข้อพิพาทเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เช่น การขายที่ดินซ้ำสอง การก่อสร้างไม่ตรงแบบ หรือการไม่โอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญา คดีแพ่งสามารถสั่งให้โอนกรรมสิทธิ์หรือชดใช้ค่าเสียหายได้โดยตรง
- อุบัติเหตุและการประมาทเลินเล่อ เช่น รถชนกัน สิ่งตกใส่ หรือน้ำท่วมจากการก่อสร้าง กรณีที่ไม่มีเจตนาทำร้าย แต่เกิดจากความประมาท อายุความคดีแพ่ง 3 ปี และสามารถเรียกค่าเสียหายที่คำนวณได้ชัดเจน
- ข้อพิพาทครอบครัวและมรดก เช่น การแบ่งมรดกไม่เป็นธรรม การไม่ให้เลี้ยงดูบุตร หรือการฟ้องหย่า คดีแพ่งสามารถแก้ไขสถานะทางกฎหมายและจัดสรรทรัพย์สินได้
- การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การใช้เครื่องหมายการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต การคัดลอกลิขสิทธิ์ หรือการล่วงล้ำสิทธิบัตร คดีแพ่งสามารถสั่งให้หยุดการละเมิดและจ่ายค่าเสียหายได้
- ข้อพิพาทเรื่องการจ้างงานและแรงงาน เช่น การไม่จ่ายค่าจ้าง การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หรือการไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย กรณีที่ไม่ถึงขั้นเป็นอาชญากรรม
ข้อดีของการฟ้องคดีแพ่ง
ความรวดเร็วในการดำเนินคดี
เป็นข้อได้เปรียบหลักของคดีแพ่ง เพราะไม่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่รัฐสอบสวน สามารถจ้างทนายฟ้องได้ทันที และควบคุมจังหวะการดำเนินคดีได้เอง รวมถึงการเจรจายอมความได้ตลอดเวลา
ผลลัพธ์จับต้องได้
คดีแพ่งให้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สิน หรือการปฏิบัติตามข้อผูกพัน ไม่เหมือนคดีอาญาที่แม้ชนะแล้วก็ได้แค่ความพอใจที่ผู้กระทำผิดถูกลงโทษ
สามารถตัดสินใจได้เอง
ผู้ฟ้องสามารถตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้เอง เช่น การเลือกทนาย การเจรจาประนีประนอม หรือการถอนฟ้อง ไม่ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายหรือความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่รัฐ
คาดการณ์ค่าใช้จ่ายได้
แม้จะต้องออกเงินเอง แต่สามารถประมาณการและวางแผนงบประมาณได้ล่วงหน้า รวมถึงมีโอกาสได้เงินค่าใช้จ่ายคืนหากชนะคดี
ข้อเสียการฟ้องคดีแพ่ง ที่ต้องพิจารณา
คดีแพ่งติดคุกไหม
คำตอบคือไม่ติดคุก ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือไม่รุนแรงเกินไป ข้อเสียคือไม่มีผลป้องปราม ผู้กระทำผิดอาจกล้าทำผิดซ้ำเพราะรู้ว่าแค่จ่ายเงิน
การบังคับคดีที่ยุ่งยาก
แม้จะชนะคดีแล้ว แต่ถ้าจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตาม การบังคับคดีอาจใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยเฉพาะหากจำเลยไม่มีทรัพย์สินหรือซ่อนทรัพย์สิน
ข้อจำกัดเรื่องอายุความ อายุความคดีแพ่งมีกี่ปี
ขึ้นอยู่กับประเภท แต่โดยทั่วไปสั้นกว่าคดีอาญา หากพลาดเวลา จะคดีแพ่งหมดอายุความ ฟ้องได้ไหม คำตอบคือฟ้องไม่ได้
ค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุนก่อน
ต้องจ่ายค่าทนาย ค่าศาล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก่อนที่จะรู้ผลคดี หากแพ้อาจไม่ได้เงินคืน และอาจต้องจ่ายค่าใช้จ่ายให้อีกฝ่ายด้วย
การไม่มีหมายจับ คดีแพ่งมีหมายจับไหม
คำตอบคือไม่มี จึงไม่สามารถบังคับให้จำเลยมาศาลได้ หากจำเลยหลบหนี การดำเนินคดีจะยากลำบาก
เมื่อไหร่ควรฟ้องคดีอาญา?

คดีอาญาเหมาะกับสถานการณ์ที่มีการกระทำอันเป็นอาชญากรรม มีเจตนาร้าย หรือกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยเฉพาะกรณีที่ต้องการให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษทางอาญาและสร้างผลป้องปราม การเลือกเส้นทางนี้เหมาะกับการกระทำที่มีความร้ายแรง มีผู้เสียหายหลายคน หรือมีการใช้ความรุนแรง การหลอกลวง และการคุกคาม
8 กรณีที่ฟ้องคดีอาญาเหมาะสม
การฉ้อโกงและหลอกลวงที่มีผู้เสียหายหลายคน เช่น การสร้างบริษัทลงทุนปลอม การขายหุ้นที่ไม่มีอยู่จริง หรือการโฆษณาเท็จเพื่อหาผลประโยชน์ กรณีเหล่านี้เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนที่มีโทษทางอาญาร้ายแรง และมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง
- การใช้ความรุนแรงหรือการคุกคาม เช่น การทำร้ายร่างกาย การข่มขู่ หรือการลักพาตัว กรณีที่มีการใช้กำลังหรือการข่มขู่ด้วยอาวุธ เป็นการกระทำที่กระทบต่อความปลอดภัยส่วนบุคคลและสังคม
- การกระทำที่เกี่ยวกับยาเสพติด เช่น การผลิต จำหน่าย หรือครอบครองยาเสพติด เป็นความผิดที่รัฐให้ความสำคัญสูง และมีโทษทางอาญาที่หนักมาก
- การปลอมแปลงเอกสารสำคัญ เช่น การทำบัตรประชาชนปลอม การปลอมลายมือชื่อ หรือการใช้เอกสารราชการปลอม กรณีเหล่านี้กระทบต่อระบบการบริหารราชการแผ่นดิน
- คดีเกี่ยวกับเพศและศีลธรรม เช่น การข่มขืน การกระทำอนาจาร หรือการค้าประเวณี เป็นการกระทำที่กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และไม่สามารถแก้ไขด้วยการชดใช้เงินได้
- การลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ โดยเฉพาะกรณีที่มีการใช้ความรุนแรง การบุกเข้าไปในบ้าน หรือการกระทำต่อผู้สูงอายุและเด็ก เป็นการกระทำที่สร้างความหวาดกลัวในสังคม
- การกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ เช่น การก่อการร้าย การกบฏ หรือการทรยศต่อชาติ เป็นความผิดที่ร้ายแรงที่สุดและมีโทษทางอาญาสูงสุด
- การกระทำซ้ำหรือเป็นอาชญากรรมต่อเนื่อง แม้จะเป็นความผิดไม่ร้ายแรง แต่หากมีการกระทำซ้ำบ่อยครั้ง เช่น การลักขโมยเป็นอาชีพ การโกงซ้ำๆ การฟ้องคดีอาญาจะช่วยสร้างผลป้องปราม
ข้อดีของการฟ้องคดีอาญา
มีระบบยุติธรรมคอยช่วยเหลือ
เป็นข้อได้เปรียบหลักของคดีอาญา เพราะมีตำรวจ อัยการ และระบบยุติธรรมเข้ามาช่วย ไม่ต้องพึ่งพาความสามารถส่วนตัวในการหาหลักฐานหรือติดตามผู้กระทำผิด
การลงโทษที่เหมาะสม
รวมถึงการจำคุก ปรับ และริบทรัพย์สิน ซึ่งสร้างความกลัวและป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิดซ้ำ ทั้งต่อตัวผู้กระทำผิดเองและคนอื่นในสังคม
การไม่ต้องออกค่าใช้จ่าย
รัฐจะเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ตั้งแต่การสอบสวน การฟ้องร้อง ไปจนถึงการพิจารณาในศาล
ข้อเสียการฟ้องคดีอาญา
ใช้เวลานาน
เป็นข้อเสียหลักของคดีอาญา เพราะต้องผ่านขั้นตอนหลายชั้น ตั้งแต่การสอบสวน การส่งสำนวนให้อัยการ การพิจารณาของอัยการ และการพิจารณาคดีในศาล อาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้คำตอบ
ไม่สามารถควบคุมกระบวนการได้
เมื่อแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร ผู้เสียหายไม่สามารถสั่งให้เร่งหรือหยุดการดำเนินการได้
มีโอกาสที่จะไม่ฟ้อง
หากอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอหรือไม่มีความผิดตามกฎหมาย อาจสั่งไม่ฟ้อง ทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
การไม่ได้เงินชดเชยโดยตรง
คดีอาญามุ่งเน้นการลงโทษ ไม่ใช่การชดเชยความเสียหาย แม้ผู้กระทำผิดจะถูกจำคุก แต่ผู้เสียหายก็ไม่ได้เงินหรือทรัพย์สินคืน
ข้อจำกัดเรื่องการยอมความ
คดีอาญายอมความได้ไหม คำตอบคือ บางคดีเท่านั้น ความผิดร้ายแรงหรือที่กระทบต่อสังคมไม่สามารถยอมความได้ ทำให้ไม่มีความยืดหยุ่นในการเจรจาแก้ปัญหา
เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและระยะเวลา: ฟ้องคดีแพ่ง vs อาญา
เนื้อหานี้รองรับเฉพาะใน Lark Docs
ฟ้องคดีแพ่งและอาญาพร้อมกันได้ไหม? กฎหมายอนุญาตหรือไม่

การฟ้องคดีแพ่งและอาญาพร้อมกันเป็นสิทธิที่กฎหมายให้ไว้ เมื่อเหตุการณ์เดียวกันมีองค์ประกอบครบทั้งความผิดแพ่งและอาญา ผู้เสียหายสามารถเลือกฟ้องทั้งสองแบบได้ เพื่อให้ได้ทั้งการลงโทษผู้กระทำผิดและการชดเชยความเสียหาย แต่ต้องพิจารณาเรื่องระยะเวลา ค่าใช้จ่าย และกลยุทธ์ที่เหมาะสม
ในชีวิตจริง มีหลายสถานการณ์ที่เหตุการณ์เดียวกันอาจเป็นได้ทั้งความผิดทางแพ่งและอาญาพร้อมกัน เช่น การฉ้อโกงที่ทำให้เสียทรัพย์สิน ซึ่งเป็นทั้งการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและอาชญากรรมต่อสังคม การขายที่ดินปลอมที่เป็นทั้งการผิดสัญญาและการหลอกลวง หรือการใช้เช็คเด้งที่เป็นทั้งการผิดสัญญาและความผิดตามกฎหมาย
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ครบถ้วน ทั้งการได้รับความยุติธรรมในรูปของการลงโทษผู้กระทำผิด และการได้รับการชดเชยความเสียหายในรูปของเงินหรือทรัพย์สิน การเข้าใจหลักการและข้อจำกัดของการฟ้องคู่ขนานจะช่วยให้วางแผนการดำเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เงื่อนไขการฟ้องคู่ขนาน ตามกฎหมายไทย
กฎหมายไทยมีหลักการชัดเจนเกี่ยวกับการฟ้องคดีทั้งสองประเภทพร้อมกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 45 บัญญัติไว้ว่า คดีเรื่องใดถึงแม้ว่าได้ฟ้องในทางอาญาแล้ว ก็ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะฟ้องในทางแพ่งอีก ประยุกต์กับเหตุการณ์จริงได้ว่า การดำเนินคดีทางใดทางหนึ่งไม่ได้ป้องกันการดำเนินคดีอีกทางหนึ่ง
หลักการสำคัญประการแรกคือเรื่องอายุความที่แยกกันนับ อายุความคดีแพ่งและอายุความคดีอาญาจะนับแยกกันอย่างอิสระ การฟ้องคดีหนึ่งไม่ได้ระงับหรือตัดอายุความของอีกคดีหนึ่งโดยอัตโนมัติ ดังนั้นต้องติดตามและวางแผนการฟ้องแต่ละคดีให้ทันเวลา
เงื่อนไขพื้นฐานที่สำคัญคือต้องมีเหตุการณ์เดียวกันที่มีองค์ประกอบครบทั้งความผิดแพ่งและอาญา ไม่สามารถนำเหตุการณ์ที่เป็นเพียงความผิดแพ่งมาฟ้องเป็นคดีอาญาได้ และในทางกลับกัน ความผิดอาญาที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทางแพ่งก็ไม่สามารถฟ้องคดีแพ่งได้
ตัวอย่างกรณีที่สามารถฟ้องทั้งสองประเภทได้ เช่น การฉ้อโกงเงินลงทุน ซึ่งเป็นทั้งความผิดอาญาเรื่องฉ้อโกงประชาชนและความผิดแพ่งเรื่องการละเมิด การขายสินค้าปลอมที่เป็นทั้งความผิดอาญาเรื่องการปลอมแปลงและความผิดแพ่งเรื่องการผิดสัญญา หรือการทำร้ายร่างกายที่เป็นทั้งความผิดอาญาและการละเมิดที่ต้องชดใช้ค่ารักษาพยาบาล
คำถามที่ถามบ่อย ฟ้องคดีแพ่งหรือคดีอาญาดี
คำถามเหล่านี้เป็นข้อสงสัยพื้นฐานที่ผู้คนมักมีเมื่อต้องตัดสินใจฟ้องคดีแพ่งหรือคดีอาญา การทำความเข้าใจคำตอบจะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและมีข้อมูลครบถ้วน โดยครอบคลุมตั้งแต่เรื่องเวลา ค่าใช้จ่าย ไปจนถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังได้
คดีแพ่งติดคุกไหม?
คดีแพ่งติดคุกไหม คำตอบคือ ไม่ติดคุก เด็ดขาด คดีแพ่งไม่มีโทษทางอาญา การลงโทษสูงสุดคือการสั่งให้จำเลยชำระเงิน คืนทรัพย์สิน หรือปฏิบัติตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม จะมีการบังคับคดีโดยการยึดทรัพย์สินมาขายทอดตลาด แต่ไม่มีการจำคุก
เหตุผลที่คดีแพ่งไม่ติดคุกเพราะเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนด้วยกัน ไม่ใช่การกระทำที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม วัตถุประสงค์หลักคือการชดเชยความเสียหายและคืนสิทธิให้ผู้เสียหาย ไม่ใช่การลงโทษ
คดีอาญายอมความได้ไหม?
คดีอาญายอมความได้ไหม คำตอบขึ้นอยู่กับประเภทของความผิด ความผิดบางประเภทสามารถยอมความได้ เช่น หมิ่นประมาท ทำร้ายร่างกายไม่ถึงขั้นอันตราย ลักทรัพย์ระหว่างญาติ และฉ้อโกงในครอบครัว
ความผิดที่ยอมความไม่ได้ เช่น ฆาตกรรม ข่มขืน ค้ายาเสพติด ฉ้อโกงประชาชน เพราะกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม การยอมความต้องทำก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด และเมื่อยอมความแล้วการดำเนินคดีจะสิ้นสุดลง
อายุความคดีแพ่งกี่ปี?
อายุความคดีแพ่งมีกี่ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของคดี โดยแบ่งเป็น อายุความ 1 ปี เช่น คดีหมิ่นประมาท การล่วงละเมิด อายุความ 2 ปี เช่น คดีเรียกค่าจ้าง ค่าเช่า “อายุความคดีละเมิด 1 ปี (แต่ไม่เกิน 10 ปี) ตาม ป.พ.พ. ม.448” อายุความ 5 ปี เช่น คดีเรียกดอกเบี้ย การผ่อนชำระ และอายุความ 10 ปี เช่น คดีทั่วไปที่ไม่ได้กำหนดไว้เป็นพิเศษ
อายุความคดีแพ่ง ผิดสัญญา โดยทั่วไปจะเป็น 10 ปี นับจากวันที่มีสิทธิฟ้องได้ แต่ถ้าเป็นการผิดสัญญาที่มีการผ่อนชำระเป็นงวด จะมีอายุความ 5 ปี นับจากวันครบกำหนดของแต่ละงวด
โทษทางอาญามีอะไรบ้าง?
โทษทางอาญามีอะไรบ้าง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 กำหนดไว้ 5 ประเภท ซึ่งเป็นโทษทางอาญา 5 อย่าง คือ ประหารชีวิต สำหรับความผิดร้ายแรงที่สุด จำคุก แบ่งเป็นจำคุกตลอดชีวิตและจำคุกมีกำหนด กักขัง ไม่เกิน 1 เดือน สำหรับความผิดเล็กน้อย ปรับ ชำระเงินตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด และริบทรัพย์สิน ยึดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดหรือใช้ในการกระทำผิด
โทษทางอาญามีกี่ประเภท รวมทั้งหมด 5 ประเภทหลัก แต่ยังมีโทษเสริมอื่นๆ เช่น ริบใบอนุญาต ห้ามประกอบอาชีพ เนรเทศ และการลงประกาศในหนังสือพิมพ์
คดีแพ่งมีหมายจับไหม?
คดีแพ่งมีหมายจับไหม คำตอบคือ ไม่มีหมายจับ เพราะคดีแพ่งไม่ใช่คดีอาญา จึงไม่มีการจับกุมหรือควบคุมตัว แต่จะมีหมายศาลคดีแพ่งเรียกให้มาชี้แจงหรือให้การต่อศาล
หากผู้ถูกฟ้องไม่ไปตามหมายศาลคดีแพ่ง ศาลอาจพิพากษาให้แพ้คดีโดยไม่ได้ฟังปากคำแก้ต่าง หรือถือว่ายอมรับในข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้าง แต่ไม่มีการบังคับจับตัวมาศาลเหมือนคดีอาญา
ทำให้เสียทรัพย์เป็นแพ่งหรืออาญา?
ทำให้เสียทรัพย์ เป็น แพ่ง หรือ อาญา ขึ้นอยู่กับวิธีการและเจตนา หากเป็นการประมาทเลินเล่อหรือผิดสัญญา เช่น การก่อสร้างผิดแบบ การส่งสินค้าผิดคุณภาพ มักจะเป็นคดีแพ่ง
หากมีเจตนาหลอกลวงหรือทำร้าย เช่น การขายของปลอม การฉ้อโกงเงินลงทุน การขายที่ดินที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ จะเป็นคดีอาญา บางกรณีอาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับมุมมองและหลักฐาน
คดีแพ่งหมดอายุความฟ้องได้ไหม?
คดีแพ่งหมดอายุความ ฟ้องได้ไหม คำตอบคือ ฟ้องไม่ได้ เว้นแต่จะมีเหตุระงับหรือตัดอายุความตามที่กฎหมายกำหนด เช่น การที่ลูกหนี้ยอมรับหนี้เป็นหนังสือ การจ่ายดอกเบี้ย หรือการที่เจ้าหนี้ไม่สามารถใช้สิทธิได้เพราะเหตุสุดวิสัย
การระงับอายุความจะเกิดขึ้นเมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาล การที่คู่สัญญาอยู่ต่างประเทศโดยไม่มีตัวแทนในประเทศไทย หรือมีเหตุขัดข้องตามกฎหมาย
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาคืออะไร?
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา คือการฟ้องคดีแพ่งและอาญาจากเหตุการณ์เดียวกัน เมื่อการกระทำนั้นเป็นได้ทั้งความผิดแพ่งและอาญา ตัวอย่างเช่น การฉ้อโกงที่ทำให้เสียเงิน ซึ่งเป็นทั้งความผิดอาญาเรื่องฉ้อโกงและความผิดแพ่งเรื่องการละเมิด
ประโยชน์ของการฟ้องแบบนี้คือได้ทั้งการลงโทษผู้กระทำผิดและการชดเชยความเสียหาย แต่ต้องพิจารณาเรื่องเวลา ค่าใช้จ่าย และความแข็งแกร่งของหลักฐานในแต่ละคดี
ค่าใช้จ่ายฟ้องคดีแพ่งเท่าไร?
ค่าใช้จ่ายฟ้องคดีแพ่งประกอบด้วย ค่าทนายความ 50,000-300,000 บาท ค่าธรรมเนียมศาล 500-50,000 บาท ตามจำนวนเงินที่ฟ้อง ค่าส่งหมาย 500-5,000 บาท และค่าเอกสารอื่นๆ 5,000-20,000 บาท
รวมทั้งหมดสำหรับคดีเล็ก ประมาณ 80,000-150,000 บาท คดีกลาง 150,000-300,000 บาท และคดีใหญ่ 500,000-1,500,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนของคดี
คดีแพ่งและอาญาต่างกันอย่างไร?
คดีแพ่งมุ่งเน้นการชดเชยความเสียหายให้ผู้เสียหาย ใช้เวลา 8-20 เดือน ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง และไม่มีโทษทางอาญา คดีอาญามุ่งเน้นการลงโทษผู้กระทำผิดเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ใช้เวลา 2-5 ปี รัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และมีโทษทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนด
ความแตกต่างหลักอยู่ที่วัตถุประสงค์ ผู้ดำเนินคดี ระยะเวลา ค่าใช้จ่าย และผลลัพธ์ที่ได้รับ การเลือกระหว่างสองเส้นทางต้องดูที่เป้าหมายที่แท้จริงและข้อจำกัดต่างๆ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3330/2566 (คดีหลอกลงทุนโรงเรียนกวดวิชา – ฟ้องทั้งอาญาและแพ่งในคดีเดียวกัน)
คำพิพากษาฉบับเต็ม: ไม่มีเผยแพร่เป็นสาธารณะ เนื่องจากเป็นคดีใหม่ (สรุปจากเนื้อหาในคำพิพากษา)
สรุปคำพิพากษา: คดีนี้ผู้เสียหายถูกจำเลยสองคน (สามีภรรยา) หลอกให้ร่วมลงทุนในกิจการโรงเรียนกวดวิชา โดย จำเลยที่ 2 อวดอ้างตนว่าเป็นอาจารย์ที่มีคุณวุฒิสูงและมีความเชี่ยวชาญ (เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผู้เสียหายลงทุน) ผู้เสียหายได้ตรวจสอบกิจการบางส่วน เห็นว่ามีการเปิดสอนจริงและมีรายได้อยู่บ้างจึงเชื่อถือ นำเงินมาลงทุนตามคำชักชวน ภายหลังธุรกิจดังกล่าวล้มเหลวและพบว่าจำเลยให้ข้อมูลอันเป็นเท็จหลายประการ (ทั้งเรื่องคุณวุฒิของจำเลยที่ 2 และฐานะการเงินของกิจการ) ผู้เสียหายจึงยื่นฟ้องคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงด้วยตนเอง (ราษฎรเป็นโจทก์) พร้อมเรียกเงินลงทุนที่สูญไปคืนในส่วนแพ่งในคดีเดียวกัน
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาหลอกลวงตั้งแต่ต้น ใช้ความน่าเชื่อถือเท็จมาชักชวนให้ลงทุน เมื่อได้เงินไปแล้วก็นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์และกิจการไม่เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง ผู้เสียหายได้รับความเสียหายจริง ศาลจึงพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานฉ้อโกง ให้ลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และให้รับผิดในทางแพ่งชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายด้วย ในกระบวนพิจารณาคดีนี้มีข้อสังเกตว่าศาล ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมศาลในส่วนคดีอาญา (เพราะคดีอาญาราษฎรเป็นโจทก์ไม่มีค่าธรรมเนียม) แต่ ในส่วนคำขอแพ่งโจทก์ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาล เนื่องจากเป็นการเรียกร้องทางแพ่งควบในคดีอาญา ทั้งนี้ ผลคดีคือศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอลงอาญา และให้ใช้เงินคืนผู้เสียหายตามจำนวนที่ศาลกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2568 (หลอกลงทุนแชร์ออนไลน์ – คดีอาญาพ่วงคดีแพ่งในฐานฉ้อโกงประชาชน)
คำพิพากษาฉบับเต็ม: (มีการเผยแพร่เนื้อหาโดยสรุป) โจทก์ทั้งสองโอนเงินให้แก่จำเลยทั้งสองเพราะเชื่อกลอุบายหลอกลวงตั้งแต่ต้น โดยใช้ผลประโยชน์ตอบแทนอัตราสูงเป็นเครื่องล่อใจ ซึ่งเป็นวิธีการหลอกลวงของจำเลยทั้งสอง อีกทั้งจำเลยทั้งสองได้ปกปิดความจริงที่ควรบอกให้โจทก์ทั้งสองทราบว่าจำเลยไม่ได้ลงทุนทำกิจการใดๆ ที่จะให้ผลตอบแทนเพียงพอตามที่กล่าวอ้าง โดยโจทก์ทั้งสองมิได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือรู้เห็นในการกระทำผิดนั้นแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย มีอำนาจฟ้องจำเลยฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองที่โพสต์ชักชวนในกลุ่มไลน์และเสนอผลตอบแทนสูง ทำให้โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อโอนเงินหลายครั้ง รวมความเสียหาย 8 กรรม (โจทก์ที่ 1 โอน 5 ครั้ง, โจทก์ที่ 2 โอน 3 ครั้ง) การหลอกลวงแต่ละครั้งถือเป็นความผิดสำเร็จแยกกันไปตามแต่ละการโอนเงิน ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน (มาตรา 343 ประกอบ 83) รวมโทษหลายกรรม และให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายทั้งสองตามจำนวนที่ศาลกำหนด
สรุปคำพิพากษา: คดีนี้จำเลยชายหญิงสองคนจัดตั้งกลุ่มแชร์ออนไลน์ (วงออมเงิน) ทางแอปพลิเคชันไลน์ ชักชวนบุคคลทั่วไปให้มาร่วมลงทุนออมเงินกับตนโดยเสนอดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนในอัตราสูงผิดปกติ (เช่น 12% ใน 9 วัน, 30% ใน 20 วัน เป็นต้น) เพื่อจูงใจ ผู้เสียหาย (โจทก์ที่ 1 และที่ 2) หลงเชื่อโอนเงินเข้าร่วมลงทุนหลายครั้ง ช่วงแรกจำเลยจ่ายผลตอบแทนบางส่วนเพื่อให้ตายใจ แต่ต่อมาก็หยุดจ่ายและเชิดเงินหนี ผู้เสียหายทั้งสองคนรวมตัวฟ้องคดีอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน (เพราะมีลักษณะชักชวนคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะบุคคล) พร้อมเรียกค่าสินไหมทดแทนในคดี
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้เสียหายทั้งสองเป็น “ผู้เสียหายโดยนิตินัย” ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน (แม้กฎหมายจะเอาผิดเพื่อคุ้มครองประชาชนส่วนรวม แต่ผู้เสียหายโดยตรงก็มีสิทธิฟ้องได้เองเพราะถูกหลอกและเสียทรัพย์สินของตน) ประกอบกับข้อเท็จจริงชัดเจนว่าจำเลยทั้งสองหลอกลวงด้วยวิธีเสนอผลตอบแทนสูงเกินจริงและปิดบังความจริงที่ว่าตนไม่ได้ลงทุนจริง (ใช้เงินคนหลังจ่ายคนก่อนแบบแชร์ลูกโซ่) ทำให้ผู้เสียหายโอนเงินให้หลายครั้ง ศาลจึงพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน แต่ละการหลอกลวงถือเป็นกรรมแยกกัน ลงโทษจำคุกหลายกระทงรวมกัน (ตามมาตรา 91) ทั้งสิ้นหลายสิบปี และเนื่องจากโทษรวมเกิน 20 ปี จึงกำหนดโทษให้จำคุกสูงสุดเท่าที่กฎหมายให้ลงได้ (20 ปี) และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินแก่ผู้เสียหายในส่วนค่าสินไหมทดแทน ด้วย โดยคดีนี้ศาลได้ยกฟ้องข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ที่อัยการบรรยายเพิ่มมา เพราะเห็นว่าการโพสต์ข้อความหลอกลวงดังกล่าวแม้ผิดฉ้อโกงประชาชน แต่ไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายคอมพิวเตอร์
สรุป
การตัดสินใจระหว่างฟ้องคดีแพ่งหรือคดีอาญาไม่มีคำตอบที่สมบูรณ์แบบ แต่ละเส้นทางมีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่ต้องยอมรับ การเลือกที่ถูกต้องคือการเลือกที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความสามารถของตัวเอง
คดีแพ่งไม่รับประกันว่าจะได้เงินคืน แม้จะชนะคดี หากจำเลยไม่มีทรัพย์สิน การบังคับคดีอาจเป็นไปไม่ได้ ค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปอาจไม่คุ้มกับผลที่ได้รับ
คดีอาญาไม่รับประกันว่าจะได้รับความยุติธรรม กระบวนการยาวนานและผลลัพธ์ไม่แน่นอน หากอัยการสั่งไม่ฟ้องหรือศาลพิพากษาให้ปล่อยตัว เวลาที่เสียไปจะไม่มีใครชดเชยให้
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ







