การทวงหนี้ที่ถูกอย่างควรทำอย่างไร ลองมาดูกันครับ

เชื่อเหลือเกินว่าการให้คนอื่นยืมเงินนั้นเป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยทำกัน แต่เวลาที่เราจะทวงเงินคืนนั้นมันช่างยากเย็นซะเหลือเกิน เพราะนอกจากจะถูกควบคุมโดยกฏหมายทั่วไป เช่นประมวลกฏหมาย แพ่งฯ – อาญา แล้ว ในปัจจุบันได้มีการออก พระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 เพื่อใช้ในการควมคุมการทวงถามหนี้ของบุคคลทั่วไปอีกชั้นหนึ่ง และพระราชบัญญัติดังกล่าวก็มีบทลงโทษทางอาญาแก่ผู้ฝ่าฝืน หากเราเป็นเจ้าหนี้แล้วไปทวงหนี้ผิดวิธี เงินก็จะไม่ได้ แถมยังอาจจะมีความผิดอาญาเข้าไปอีกซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนปวดหัวไม่น้อย ในบทความนี้เลยอยากจะมาอธิบายถึงสาระสำคัญเกี่ยวกับการทวงหนี้ ตามกฏหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 ให้ได้อ่านกันครับ

10 ข้อห้ามในการทวงหนี้ ! 

 ข้อห้ามตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558

1. ในการทวงหนี้ห้ามผู้ทวงถามหนี้ติดต่อกับบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกหนี้

ห้ามผู้ทวงถามหนี้ติดต่อกับบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกหนี้เพื่อการทวงถามหนี้ เว้นแต่เป็นบุคคล 

ซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มาตรา 8

2. ในการทวงถามหนี้ต้องติดต่อกับลูกหนี้ตามสถานที่ ที่ลูกหนี้ได้ให้ไว้

สถานที่ที่ใช้ติดต่อกับลูกหนี้ ในกรณีที่ติดต่อโดยบุคคลหรือทางไปรษณีย์ ให้ติดต่อตามสถานที่ที่ลูกหนี้ 

หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้ได้แจ้งให้เป็นสถานที่ติดต่อ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มาตรา 9(1)

3. การทวงถามหนี้ต้องกระทำภายในระยะเวลาที่กำหนด

เวลาในการติดต่อเพื่องทวงหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อโดยบุคคล โทรศัพท์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยี สารสนเทศประเภทอื่น 

ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ให้ติดต่อได้ตั้งแต่เวลา 8.00 นาฬิกา ถึงเวลา 20.00 นาฬิกา และในวันหยุดราชการ เวลา 8.00 นาฬิกา ถึงเวลา 18.00 นาฬิกา 

ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มาตรา 9(2)

4. จำนวนครั้งในการทวงหนี้ต่อวันต้องไม่เกินกำหนด

โดยคณะกรรมการกำกับการทวงหนี้กำหนดว่าต้องไม่เกิน 1 ครั้งต่อวัน ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มาตรา 9(3)

5. ห้ามทวงหนี้โดยการ การข่มขู่ การใช้ความรุนแรง

การทวงหนี้นั้นห้ามกระทำโดยการข่มขู่ การใช้ความรุนแรง หรือการกระทําอื่นใดที่ทําให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย

 ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่น ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มาตรา 11(1)

6. ห้ามทวงหนี้โดยการดูหมิ่นลูกหนี้

การทวงหนี้ต้องกระด้วยวาจาที่สุภาพไม่ดูหมิ่นลูกหนี้ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มาตรา 11(2)

7. ห้ามทวงหนี้โดยการเปิดเผยความเป็นลูกหนี้ของลูกหนี้กับบุคคลอื่น

ห้ามทวงหนี้โดยการเปิดเผยความเป็นลูกหนี้ของลูกหนี้กับบุคคลอื่นทราบ ในการทวงหนี้ทางไปรษณียห้ามกระทำการใดที่สื่อให้ทราบว่า

เป็นการทวงถามหนี้อย่างชัดเจนเช่นการจ่าหน้าซองจดหมายว่า ”จดหมายทวงหนี้” ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มาตรา 11(3),(4),(5)

8. ห้ามทวงหนี้ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ

การทวงหนี้จะทำโดยวิธีอันเป็นเท็จเพื่อให้ลูกหนี้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของ หน่วยงานของรัฐ สำนักงานกฏหมาย หรือทำให้เชื่อว่าจะถูกยึดทรัพย์ไม่ได้ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มาตรา 12

9. ห้ามทวงหนี้ทวงหนี้โดยวิธีการอันไม่เป็นธรรม

ห้ามทวงหนี้โดยวิธีการอันไม่เป็นธรรมซึ่งได้แก่ เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่คณะกรรมการกำกับการทวงหนี้กำหนด หรือจูงใจให้ลูกหนี้ออกเช็คทั้งที่รู้ว่าลูกหนี้ไม่สามารถชำระได้ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มาตรา 13

10. ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐทวงหนี้ซึ่งมิใช่หนี้ของตนเอง

เจ้าหน้าที่ของรัฐจะทวงหนี้ไม่ได้เว้นแต่หนี้นั้นเป็นหนี้ที่ตนเองเป็นเจ้าหนี้ หรือเป็นหนี้ของ สามี ภริยา บุพการี 

หรือผู้สืบสันดานของตนเอง ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มาตรา 14

ต้องการค้นหาด้านกฎหมายใช่ไหม ? สามารถค้นหาบทความ, คำปรึกษาจริง, มาตราที่เกี่ยวข้อง คลิกที่นี่ !

โทษของการทวงหนี้แบบผิดกฎหมาย

การทวงหนี้ที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 มีโทษอย่างไรบ้าง : การทวงหนี้ที่ฝ่าฝืนข้อห้ามตามที่กฏหมายตามที่กล่าวมาในข้อ 1.1 – 1.10 นั้น พระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 ได้กำหนดโทษไว้ใน มาตรา 39 - 42 โดยมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ข้อห้ามตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฏหมายอาญา

แม้ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 194 จะกล่าวว่า “ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้” ก็ตาม แต่การบังคับชำระหนี้ในกรณีลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็ต้องกระทำโดยการใช้สิทธิทางศาลจะบังคับชำระหนี้หรือทวงถามให้ชำระหนี้โดยพลการไม่ได้ เพราะนอกจากจะมีความผิดตามพระราชบัญญัษติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 ตามที่กล่าวมาแล้ว ยังอาจมีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาเพิ่มเข้ามาด้วย เช่น ความผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย หมิ่นประมาท บุกรุกฯ เราลองมาดูตัวอย่างจากคำพิพากษาศาลฎีกากันครับ

ตัวอย่างความผิดของการทวงหนี้แบบผิดกฎหมาย

คำพิพากษาฎีกาที่ 3121/2552

“...การบังคับชำระหนี้ต้องดำเนินการตามกฎหมาย มิใช่เจ้าหนี้บุกรุกเข้าไปเอาทรัพย์สินของลูกหนี้ไปโดยพลการ การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ใช้เลื่อยตัดกุญแจแล้วเปิดประตูเข้าไปเอาเครื่องบดแป้งไฟฟ้าและรถจักรยานที่เก็บอยู่ภายในบ้านซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่บ้านพักของ ป. ลูกหนี้และไม่รู้ด้วยว่าเครื่องบดแป้งไฟฟ้าและรถจักรยานใช่ของ ป. หรือไม่ไปเพื่อตีชำระหนี้ จึงเป็นการเอาทรัพย์ไปโดยทุจริต จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์...”

คำพิพากษาฎีกาที่ 4882/2550

“...จำเลยไปหาผู้เสียหายโดยมีเจตนาเพื่อทวงหนี้ที่ผู้เสียหายค้างชำระ โดยก่อนเกิดเหตุจำเลยพยายามยกถังแก๊สที่ผู้เสียหายใช้หุงต้มในการขายก๋วยเตี๋ยวไปเพื่อการชำระหนี้ แต่จำเลยเอาไปไม่ได้เพราะสามีผู้เสียหายไม่ยอมให้เอาไป ต่อมาจำเลยกับผู้เสียหายก็โต้เถียงกันอีกเรื่องที่ผู้เสียหายไม่ชำระหนี้ให้จำเลย ทำให้จำเลยโกรธแค้นจึงเข้ากระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายและเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไปครึ่งเส้น แม้เพื่อชดเชยที่ผู้เสียหายไม่ยอมชำระหนี้ แต่การบังคับชำระหนี้ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย มิใช่กระชากสร้อยคอทองคำครึ่งเส้นของผู้เสียหายไปโดยพลการ...”

แม้การทวงหนี้จะดูเหมือนเป็นเรื่องที่ใครก็สามารถทำได้ แต่เมื่อมีกฏหมายกำหนดวิธีการ ข้อห้ามในการทวงหนี้ และกำหนดบทลงโทษของการทวงหนี้ที่ไม่ถูกวิธีไว้ เจ้าหนี้จึงต้องทวงหนี้ด้วยความระมัดระวังไม่ให้ผิดกฏหมาย ไม่เช่นนั้นนอกจากจะไม่ได้เงินคืนแล้วยังจะต้องมีคดีอาญาเป็นของแถมให้ต้องปวดหัวเพิ่มขึ้นไปอีกในภายหลัง ทางที่ดีควรจะทวงหนี้โดยผ่านผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการทวงหนี้จะปลอดภัยที่สุดนะครับ หากมีข้อสงสัยต้องการปรึกษาทนายความเพื่อหาทางออกกฎหมาย สามารถติดต่อผ่าน Legardy ได้ตลอด 24ชั่วโมงครับ