เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมครับว่า ทำไมคดีแต่ละคดีศาลถึงพิพากษาลงโทษจำเลยต่างกัน บางคดีเป็นทำร้ายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290,295,296,297,298,391 บางคดีเป็นฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,289 ทั้งที่ข้อเท็จจริงในแต่ละคดีก็ใกล้เคียงกัน อาวุธก็แบบเดียวกันฯ วันนี้ผมจะมาอธิบายถึงหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยของศาลแบบง่ายๆ ว่ากรณีแบบไหนเป็นเจตนาฆ่า แบบไหนเป็นเจตนาทำร้าย ให้เพื่อนได้ลองศึกษากันดูครับ
โดยปกติแล้วการที่ศาลจะพิจารณาว่าการกระทำแบบไหนเป็นเจตนาฆ่าหรือเจตนาทำร้ายนั้น ศาลมักจะพิจารณาจากข้อเท็จจริงต่างๆ ในคดีเทียบกับคำพิพากษาของศาล
ฎีกาที่ได้วางหลักไว้ในแต่ละกรณีแตกต่างกันไป โดยมีหลักในการพิจารณาสำคัญๆ
เกณฑ์การพิจารณาของเจตนามีดังนี้ครับ
1.อาวุธที่ใช้ในการกระทำความผิด
- หากเป็นอาวุธที่มีความร้ายแรง เช่นปืนหรือมีดที่มีขนาดใหญ่ ถือว่ามีเจตนาฆ่า แต่หากเป็นเพียงอาวุธมีดธรรมดาถือว่ามีเจตนาทำร้าย ปรากฎตามคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้ครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 5664/2534
“...จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 3 เมตร ถูกที่บริเวณเอวของผู้เสียหายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ซึ่งหากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถือได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว...”
คำพิพากษาฎีกาที่ 1314/2553
“...อาวุธที่ใช้เป็นมีดสปาต้าขนาดยาวประมาณ 1 ศอก จัดว่าเป็นอาวุธมีดขนาดใหญ่ และบาดแผลของผู้เสียหายลึกถึงกระดูก ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร มีเลือดออกมาก เส้นเลือดแดงขาด บาดแผลเป็นเส้นโค้งครึ่งวงกลม เย็บแผลแล้วไม่มีเลือดออกเพิ่ม แสดงว่าจำเลยฟันผู้เสียหายโดยแรง จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้อื่น...”
คำพิพากษาฎีกาที่ 1190/2553
“...จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียว เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีไป ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยวิ่งไล่ตามไปทำร้ายผู้เสียหายอีก ซึ่งจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าใช้มีดฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวเพื่อช่วยเหลือเพื่อนที่ชกต่อยกับผู้เสียหาย โดยไม่ได้เลือกว่าจะฟันผู้เสียหายบริเวณใด หากจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายมาก่อน จำเลยสามารถวิ่งไล่ตามไปใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหายได้อีกโดยไม่ปรากฏว่ามีสิ่งใดมาขัดขวางไม่ให้จำเลยทำเช่นนั้น ประกอบกับพวกของจำเลยก็มีหลายคนสามารถวิ่งไล่ตามผู้เสียหายไปได้นอกจากนี้ขณะที่จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหาย ผู้เสียหายเพียงแต่ยกแขนขึ้นบังเท่านั้นไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด ปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณข้อศอกข้างขวายาวประมาณ 10 เซนติเมตร ซึ่งไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์ แสดงว่าจำเลยไม่ได้ใช้มีดฟันอย่างรุนแรง อีกทั้งจำเลยและผู้เสียหายไม่มีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนถึงขนาดจะต้องเอาชีวิต พฤติการณ์การกระทำของจำเลยมีเจตนาเพียงแต่จะทำร้ายเท่านั้น...”
แต่บางกรณีแม้ใช้อาวุธปืนก็ไม่ถือว่ามีเจตนาฆ่า เช่น ยกปืนขึ้นเล็งนานๆ แต่ไม่ยิงถือว่ามีเจตนาข่มขู่ ปรากฎตามคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้ครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 5/2529
“...จำเลยใช้ปืนจ้องไปทางผู้เสียหายเป็นเวลานานประมาณ15 วินาทีแต่ก็ไม่ได้ลั่นไกปืนยิงถ้าจำเลยมีเจตนาจะยิงผู้เสียหายก็ยิงได้ทันเป็นจำนวน1นัดก่อนที่ผู้เสียหายจะวิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังคนอื่นการกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงการจ้องปืนขู่ผู้เสียหาย...”
2.ลักษณะของบาดแผลและอวัยวะที่ถูกกระทำ
- ใช้อาวุธมีดกระทำต่ออวัยวะไม่สำคัญ แม้แผลยาวแต่ไม่ลึกถือว่ามีเจตนาทำร้าย ปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้ครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 5744/2555
“...ส่วนโจทก์ร่วมที่ 3 จำเลยใช้มีดแทงและฟันโจทก์ร่วมที่ 3 ตามโอกาสอำนวยไม่ได้เลือกแทงอวัยวะส่วนที่สำคัญของร่างกายทั้งมีดที่ใช้แทงและฟันไม่ใช่มีดขนาดใหญ่ แม้บาดแผลที่โจทก์ร่วมที่ 3 ถูกฟันด้านหลังยาวจากสะบัดขวาถึงเอวด้านซ้ายยาว 50 เซนติเมตร แต่ลึกเพียง 0.4 เซนติเมตร แสดงว่าไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่จะทำให้โจทก์ร่วมที่ 3 ถึงแก่ความตายได้ จำเลยกับพวกมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมที่ 3 เท่านั้น...”
- การใช้อาวุธมีดที่มีขนาดเล็กตามปกติถือว่ามีเพียงเจตนาทำร้าย แต่หากเป็นการกระทำต่ออวัยวะสำคัญด้วยความแรง หรือกระทำซ้ำๆ ถือว่ามีเจตนาฆ่า ปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้ครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 816/2520
“...ขณะที่ผู้เสียหายกำลังยืนดูมวยอยู่มิได้ระวังตัว จำเลยใช้มีดโกนปาดที่บริเวณคอผู้เสียหายมีบาดแผลยาวถึง 10 เซนติเมตร นายแพทย์สุทัศน์ (ผู้ชันสูตรบาดแผล) เบิกความว่า ที่คอที่หลอดคอกับเส้นโลหิตใหญ่เป็นอวัยวะสำคัญ บาดแผลของผู้เสียหายถูกเส้นโลหิตดำขาด แต่ไม่ถูกเส้นโลหิตแดง ถ้าหากเส้นโลหิตแดงใหญ่ขาดทำให้ถึงตายได้ การที่จำเลยเลือกทำร้ายผู้เสียหายที่อวัยวะสำคัญและกระทำโดยแรงมีบาดแผลฉกรรจ์ด้วยอาวุธมีดโกนชนิดพับได้อย่างที่ใช้กันในร้านตัดผมใบมีดยาว 5 นิ้วฟุต กว้าง 1 นิ้วมือเศษ ทั้งใบมีดและด้ามยาวคืบเศษ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แต่การกระทำของจำเลยไม่บรรลุผล เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย...”
คำพิพากษาฎีกาที่ 1119/2556
“...จำเลย ผู้เสียหายและผู้ตายต่างเมาสุราแล้วเป็นปากเสียงทะเลาะวิวาทกันในวงสุรา และต่อเนื่องมาจนเกิดเหตุจำเลยแทงผู้เสียหายและผู้ตายเป็นเรื่องต่างสมัครใจวิวาทเข้าทำร้ายกันเนื่องจากขาดสติเพราะเมาสุรา จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันตนโดยชอบหาได้ไม่ผู้ตายมีบาดแผลถึง 8 แผลโดยเฉพาะที่หน้าอกมีถึง 6 แผล และทะลุเข้าหัวใจ เป็นเหตุให้ถึงตายแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย...”
3.พฤติการณ์แห่งการกระทำอื่นๆ
- ขับรถชนผู้เสียหายด้วยความเร็วขณะผู้เสียหายอยู่ติดกำแพงถือว่ามีเจตนาฆ่าปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้ครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 8757/2563
“...จำเลยขับรถชนโจทก์ร่วมโดยแรง กระเด็นขึ้นไปอยู่บนฝากระโปรงรถ แล้วกลิ้งลงมาอยู่ระหว่างรถยนต์คันเกิดเหตุกับรั้วกำแพง เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสจำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่ารถที่จำเลยขับชนโจทก์ร่วมไปอันกับกำแพงรั้วเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมถึงแก่ความตายได้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า...”
- ใช้ก้อนหิวขว้างกระจกรถยนต์ขณะแล่นด้วยความเร็วถือว่ามีเจตนาฆ่า ปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้ครับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 1178/2539
“...จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ก้อนหินขนาดโน เท่ากำปั้นขว้างกระจกหน้ารถยนต์บรรทุกและรถยนต์โดยสารที่ผู้เสียหายทั้งสองกำลังขับอยู่คันละสองก้อนโดยไม่มีสาเหตุกันมาก่อน โดยประสงค์จะให้ผู้เสียหายทั้งสองเสียหลักในการขับรถและอาจขับรถยนต์พลิกคว่ำลงข้างทางหรือถูกรถยนต์คันอื่นที่ตามมาชนจนพลิกคว่ำหรือตกข้างทางซึ่งเมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นแล้วย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้เสียหายทั้งสองหรือผู้โดยสารในรถยนต์โดยสารอาจได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายได้ จำเลยทั้งสามจึงมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองและผู้อื่น เมื่อไม่ถึงแก่ความตายจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า...”
นี่ก็เป็นหลักเกณฑ์ที่ศาลจะมักจะใช้ในการพิจารณาว่ากรณีแบบไหนเป็นเจตนาฆ่าแบบไหนเป็นเจตนาทำร้ายเบื้องต้น ที่จะทำให้เราพอเข้าใจหลักในการวินิจฉัยของศาลได้ครับ แต่ก็อาจจะมีรายละเอียดเฉพาะคดีที่ทำให้คำพิพากษาแตกต่างไปจากเดิมได้บ้าง ซึ่งศาลก็จะพิจารณาเป็นรายคดีไป หวังว่าจะเป็นประโยชน์และสามารถช่วยคลายข้อสงสัยของเพื่อนๆ ผู้อ่านทุกท่านได้บ้างครับ
สุดท้ายนี้หากเพื่อนๆ เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์อย่างลืมให้กำลังใจผมและเพื่อนๆ ทนายผู้เขียนบทความคนอื่นๆ ได้ด้วยการ รีวิว กดไลค์ กดแชร์ ผ่านช่องต่าง ๆ ที่จัดไว้ให้ได้ครับ วันนี้ไปก่อน บ๊าย