เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-10

ฟ้องคดีผู้บริโภค ขั้นตอน ค่าธรรมเนียม หลักฐาน ให้ชนะไว

การดำรงชีวิตของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า การใช้บริการต่าง ๆ เช่น การขนส่ง การเงินการธนาคาร ที่อยู่อาศัย อาหารและยา โรงพยาบาล เครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของการบริโภคทั้งสิ้น ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจึงเป็นผู้บริโภค ส่วนผู้ขาย ผู้ผลิตเพื่อขาย หรือผู้ให้บริการ รวมถึงผู้ประกอบกิจการโฆษณาก็คือผู้ประกอบธุรกิจ นั้นเอง

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้ประกอบธุรกิจหรือฝ่ายผู้บริโภคก็ตาม เชื่อว่าต้องเคยประสบปัญหาเกี่ยวกับสินค้า  และบริการมากน้อยแตกต่างกันไป และเมื่อตกลงกันไม่ได้ก็จะเป็นคดีผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันมีคดีผู้บริโภคเกิดขึ้นจำนวนมาก ดังนั้น การฟ้องร้องดำเนินคดี หรือตกเป็นผู้ถูกฟ้อง มีขั้นตอนอย่างไร ค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ หลักฐานต้องใช้อะไรบ้าง หรืออยากชนะคดีให้ไว ต้องทำอย่างไร ในบทความนี้มีคำตอบครับ

ความหมายของคดีผู้บริโภค

พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 3 บัญญัติไว้ว่า “คดีผู้บริโภค” หมายความว่า คดีแพ่งระหว่างผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค หรือตามกฎหมายอื่น กับผู้ประกอบธุรกิจซึ่งพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องมาจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ หรือคดีแพ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย เช่น ใช้บัตรเครดิตแล้วไม่จ่ายหนี้ตามสัญญาธนาคารจึงฟ้องร้องดำเนินคดี หรือซื้อน้ำผลไม้ดื่มแล้วท้องเสียอาเจียนเนื่องจากมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6213/2561 วินิจฉัยว่า ผู้ค้ำประกันเป็นผู้บริโภค ซึ่งไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551

ในกรณีมีปัญหาว่าคดีใดเป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2140/2559 

พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 8 บัญญัติไว้ว่าในกรณีมีปัญหาว่าคดีใดเป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่ ให้ประธานศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัย คําวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด 

ตัวอย่างคำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์ที่ 6/2562 

จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อจึงอยู่ในฐานะเป็นผู้ขายและเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ส่วนโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อเครื่องถ่ายเอกสารไปจากจำเลยเพื่อนำไปรับจ้างถ่ายเอกสาร อันมีลักษณะเป็นการประกอบอาชีพและไม่ปรากฏว่ากิจการของโจทก์เป็นกิจการค้าขนาดใหญ่ พฤติการณ์แห่งคดีในชั้นนี้ฟังไม่ได้ว่า โจทก์แสวงประโยชน์โดยตรงทางธุรกิจจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้ซื้อและเป็นผู้บริโภคตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว 

ตัวอย่างคำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์ว่าเป็นคดีผู้บริโภค การกู้ยืมเงิน 

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์ ที่ 6/2562, การให้สินเชื่อบัตรเครดิต 

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์ที่ 3/2551, การให้บริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาล คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์ที่ 8/2551, การใช้โทรศัพท์ การขนส่ง การรับจ้างก่อสร้างอาคาร 

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์ที่ 32/2551, 21/2552, 420/2557


บุคคลที่มีอำนาจฟ้องคดีผู้บริโภค

  1. บุคคลทั่วไป หมายถึง บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล
  2. คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หมายถึง คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
  3. เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หมายถึง เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
  4. สมาคมที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคกำหนด หมายถึง สมาคมที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
  5. มูลนิธิ หมายถึง มูลนิธิที่จดทะเบียนและมีฐานะเป็นนิติบุคคลคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
  6. สภาองค์กรของผู้บริโภค หมายถึง สภาขององค์กรของผู้บริโภคที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562

อำนาจศาล และเขตอำนาจศาล  

อำนาจศาล 

ได้แก่ กรณีทุนทรัพย์ไม่เกิน 300,000 บาท ฟ้องคดีต่อศาลแขวง ท้องที่ใดไม่มีศาลแขวงก็ฟ้องที่ศาลจังหวัด ส่วนกรณีทุนทรัพย์เกิน 300,000 บาท ก็ฟ้องที่ศาลจังหวัด ศาลแพ่ง แล้วแต่กรณี

เขตศาลที่จะรับคำฟ้อง แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้

  1. กรณีผู้บริโภคเป็นโจทก์ให้ฟ้องคดีต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3287/2537 ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงมิใช่คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 ทวิ หากแต่เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคลซึ่งต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาตามมาตรา 4 (1) 
  2. กรณีผู้ประกอบธุรกิจเป็นโจทก์ ให้เสนอคำฟ้องต่อศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 17 บัญญัติไว้ว่าในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจจะฟ้องผู้บริโภคเป็นคดีผู้บริโภค และผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิเสนอคําฟ้องต่อศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลําเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลอื่นได้ด้วย ให้ผู้ประกอบธุรกิจเสนอคําฟ้องต่อศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลําเนาอยู่ในเขตศาลได้เพียงแห่งเดียว

ค่าฤชาธรรมเนียม

เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคได้เข้าถึงความยุติธรรม ผู้บริโภคและผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคจึงได้ยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 18 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย การยื่นคําฟ้องตลอดจนการดําเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดีผู้บริโภค ซึ่งดําเนินการโดยผู้บริโภคหรือผู้มีอํานาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด

ในกรณีผู้ประกอบธุรกิจฟ้องคดีผู้บริโภคจะไม่ได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งหากไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ ก็คงต้องใช้วิธียื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งยกเว้นได้เฉพาะค่าธรรมเนียมศาลไม่รวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมอย่างอื่น

การฟ้องคดีผู้บริโภค

ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 20 บัญญัติว่า การฟ้องคดีผู้บริโภค โจทก์จะฟ้องด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้ ในกรณีที่โจทก์ประสงค์จะฟ้องด้วยวาจา ให้เจ้าพนักงานคดีจัดให้มีการบันทึกรายละเอียดแห่งคําฟ้อง แล้วให้โจทก์ลงลายมือชื่อไว้เป็นสําคัญ 

คําฟ้องต้องมีข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีรวมทั้งคําขอบังคับชัดเจนพอที่จะทําให้เข้าใจได้หากศาลเห็นว่าคําฟ้องนั้นไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสําคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคําสั่งให้โจทก์แก้ไขคําฟ้องในส่วนนั้น ให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้

การฟ้องคดีผู้บริโภคจึงแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้ 

1. คำฟ้องเป็นหนังสือ โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี และคำขอบังคับให้ชัดเจนเข้าใจได้ โดยใช้แบบพิมพ์คำฟ้อง แบบ ผบ.1

2. คำฟ้องด้วยวาจา ต้องไปพบเจ้าพนักงานคดีเพื่อแจ้งว่าจะฟ้องคดีผู้บริโภคด้วยวาจา จากนั้นเจ้าพนักงานคดีจะจดบันทึกรายละเอียดลงในแบบพิมพ์คำฟ้อง แบบ ผบ.1 และเมื่อศาลสั่งรับคำฟ้องแล้ว ก็จะกำหนดวันนัดพิจารณาคดีซึ่งต้องไม่เกิน 30 วัน ตามข้อกำหนดประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดีในคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ข้อ 9 

การพิจารณาคดี

การพิจารณาคดีผู้บริโภค ศาลจะดำเนินกระบวนพิจารณาในวันเดียวกัน 3 กรณี ดังนี้ 

1. การไกล่เกลี่ย 

หมายถึง คู่ความสมัครใจตกลงกันโดยให้มีผู้ไกล่เกลี่ยทำหน้าที่เป็นคนกลาง หาจุดร่วมยุติข้อพิพาทต่อกัน ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 25 ซึ่งผู้มีอำนาจไกล่เกลี่ย คือ ศาล เจ้าพนักงานคดี ผู้ประนีประนอมที่ศาลตั้ง หรือบุคคลที่คู่ความตกลงกัน ทั้งนี้ หากตกลงกันได้ก็จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเพื่อให้ศาลพิพากษาตามยอม หรือถ้าคู่ความตกลงกันได้เองและโจทก์ จะถอนฟ้องก็ดำเนินการได้เช่นเดียวกัน ซึ่งวิธีการไกล่เกลี่ยนั้น หากคู่ความพิจารณาแล้วสามารถตกลงกันได้ก็ควรดำเนินการไกล่เกลี่ยเพื่อความสะดวก รวดเร็ว และยุติข้อพิพาทได้โดยไม่เสียเวลา

2. การให้การ 

ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 25 จำเลยจะต้องให้การในวันนัดพิจารณาหรือจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือก่อนวันนัดพิจารณาก็ได้ ดังนั้น ถ้าจำเลยไม่ยื่นคำให้การจะถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ 

อย่างไรก็ดี ได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 6630/2542 วินิจฉัยว่า ผู้แทนของจำเลยหรือทนายความถือว่าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (11) ดังนั้น จึงมีสิทธิยื่นคำให้การได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามในส่วนของจำเลยนั้นจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้เช่นเดียวกัน

3. การสืบพยาน 

คือการแสวงหาข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์และพยานจำเลย เพื่อนำไปสู่การที่ศาลจะพิพากษาตัดสินคดี ซึ่งต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานเป็นสำคัญ ซึ่งภาระการพิสูจน์นั้นหากศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงอยู่ในความรู้เห็นของผู้ประกอบธุรกิจ โดยหลักแล้วภาระการพิสูจน์ก็จะตกอยู่กับฝ่ายผู้ประกอบธุรกิจ ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 29

สรุปแล้วในวันนัดพิจารณานัดแรกวันนี้ คู่ความทั้งสองฝ่ายต้องมาศาล ทั้งนี้ หากจำเลยไม่มาศาลตามนัดและไม่ได้ยื่นคำให้การ หรือจำเลยมาศาลตามนัด แต่ไม่ติดใจยื่นคำให้การ ย่อมถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ 

ดังนั้น ในวันนัดพิจารณานัดแรก โจทก์ควรต้องไปด้วยทุกครั้ง ซึ่งศาลมีอำนาจชี้ขาดตัดสินคดีโดยสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียวได้เลย เพราะจะรวดเร็วและชนะคดีได้ไว ไม่เสียเวลานั่นเอง คำพิพากษาฎีกาที่ 3354/2565 เมื่อจำเลย ไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ถือว่าขาดนัดยื่นคำให้การ ที่ศาลให้โจทก์สืบพยานไปฝ่ายเดียวและมีคำพิพากษา เป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้ว

คำพิพากษา

มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ กรณีที่ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษผู้ประกอบธุรกิจได้ไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนด 

แต่ถ้าค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดไม่เกินห้าหมื่นบาท ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ไม่เกินห้าเท่า ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 42 

คำพิพากษาฎีกาที่ 1455/2562 เมื่อคดีไม่ปรากฏความว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีการกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่โจทก์ หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบของตน อันเป็นเหตุที่จะกำหนดให้รับผิดในค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 42

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับผู้อ่าน หากยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถเข้าไปตั้งคำถามผ่านช่องทางที่แพลตฟอร์ม Legardy หรือรวบรวมข้อเท็จจริงเข้าปรึกษากับทนายความ ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นครับ

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “