
รู้จักกับการฟ้องคดีผู้บริโภค

ในยุคที่การซื้อขายและบริการเกิดขึ้นเพียงปลายนิ้ว การถูกละเมิดสิทธิในฐานะผู้บริโภคจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการสั่งของออนไลน์แล้วไม่ได้รับสินค้า การถูกเก็บค่าบริการเกินจริง หรือการทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ หลายคนอาจเลือกที่จะปล่อยผ่าน เพราะคิดว่าการฟ้องคดีเป็นเรื่องยุ่งยากและทำให้เสียเวลา มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ความจริงแล้วคดีผู้บริโภคนั้นเป็นช่องทางที่ศาลเปิดให้ประชาชนใช้สิทธิได้ง่าย สะดวกและแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย
คดีผู้บริโภค คืออะไร
ก่อนไปถึงขั้นตอนในศาล สิ่งแรกที่ควรทำคือการตรวจสอบว่าคดีของเราจัดอยู่ในกลุ่มคดีผู้บริโภคหรือไม่
ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 3 ได้ให้ความหมายว่า คดีผู้บริโภค คือ คดีแพ่งระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจซึ่งได้พิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องมาจากการบริโภคสินค้าหรือใช้บริการสินค้านั้นๆ
การออกกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ การลดช่องว่างในอำนาจระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ผู้บริโภคมักอยู่ในฐานะที่อ่อนแอกว่า ทั้งด้านข้อมูล เงื่อนไขสัญญา และทรัพยากรทางกฎหมาย หลักการนี้จึงเป็นรากฐานของพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ซึ่งมุ่งให้ศาลเข้ามาช่วยเหลืออย่างเป็นธรรมเพื่อให้ความยุติธรรมเข้าถึงได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ในเชิงทฤษฎี
หนึ่งในจุดเด่นของคดีผู้บริโภค คือ ศาลช่วยผู้บริโภคตั้งแต่ต้นจนจบ กฎหมายเปิดทางให้ผู้บริโภคสามารถยื่นฟ้องคดีได้ทั้งในรูปแบบหนังสือและการยื่นฟ้องด้วยวาจา
ตาม มาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 หากผู้บริโภคประสงค์ยื่นฟ้อง
ด้วยวาจา เจ้าพนักงานคดีจะเป็นผู้ช่วยบันทึกรายละเอียดคำฟ้องให้ครบถ้วน จากนั้นให้ผู้บริโภคลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ
โดยคำฟ้องดังกล่าวต้องมีการระบุข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าเกิดความเสียหายอย่างไร และมีคำขอบังคับเพื่อให้ผู้ประกอบการหรือจำเลยชดใช้ในประเด็นใดบ้าง
ดังนั้น ผู้บริโภคจึงไม่จำเป็นต้องมีทนายความตั้งแต่ต้น หากไม่สะดวกในการจัดทำเอกสารด้วยตนเอง สามารถรวบรวมเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องไปพบเจ้าพนักงานคดีในแผนกคดีผู้บริโภค เพื่อให้ช่วยจัดเตรียมคำฟ้องและเอกสารประกอบต่างๆ ยื่นต่อศาลในขั้นตอนถัดไปได้
ในส่วนของศาลที่มีอำนาจพิจารณา ผู้บริโภคสามารถยื่นฟ้องคดีผู้บริโภคได้ที่ศาลจังหวัดหรือศาลแขวง
ที่ซึ่งมีมูลคดีอยู่ในอำนาจของเขตศาลนั้น โดยทั่วไป
- หากมูลค่าความเสียหายไม่เกิน 300,000 บาท ให้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวง
- หากมูลค่าความเสียหายเกิน 300,000 บาท ให้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัด
เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียม ได้แก่
- บัตรประชาชน
- หลักฐานการซื้อขาย เช่น ใบเสร็จ / สลิปการโอนเงิน / สัญญา / โฆษณา/ แชตหรือข้อความที่ได้ตกลงกันในการซื้อขายกับผู้ประกอบการ
- หลักฐานแสดงความเสียหาย เช่น ภาพสินค้า / ใบรับซ่อม / หนังสือที่ร้องเรียนต่อหน่วยงานราชการ (ถ้ามี)
ซึ่งหากมีการร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มาก่อน ศาลมักมองว่าเป็นการแสดงเจตนาดีของผู้เสียหาย ซึ่งช่วยให้กระบวนการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว
💭 ปรึกษาทนายเบื้องต้นฟรี ง่ายๆผ่านทาง Free Q&A ของ Legardy โดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวตน
ตาม มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551
คดีผู้บริโภค ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล
กล่าวคือ ในคดีที่ผู้บริโภคเป็นโจทก์ จะได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมศาล ถือเป็นช่องทางที่ลดภาระค่าใช้จ่ายและเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนยุติธรรมได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิทธิที่กฎหมายเปิดให้ผู้บริโภคฟ้องคดีโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ไม่ได้หมายความว่าสามารถใช้สิทธินั้นโดยไม่จำกัด หากภายหลังพิสูจน์ได้ว่าคดีที่นำมาฟ้องเป็นการฟ้องโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือเรียกร้องค่าเสียหายเกินจริง หรือมีพฤติการณ์อื่นที่ศาลเห็นว่าไม่เหมาะสม
ศาลอาจมีคำสั่งให้ผู้บริโภคนั้น ชำระค่าธรรมเนียมศาลที่เคยได้รับการยกเว้นนั้นคืนทั้งหมด หรือคืนเพียงบางส่วนก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลในแต่ละกรณี
นอกจากขั้นตอนการฟ้อง ผู้บริโภคยังควรรู้สิทธิขั้นพื้นฐานที่กฎหมายให้การคุ้มครองไว้ เช่น
- สิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ครบถ้วน (มาตรา 4 (1) พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคฯ)
- สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากสินค้าและบริการ (มาตรา 4 (2) พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคฯ)
- สิทธิในการเลือกสินค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม (มาตรา 4 (3) พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคฯ)
- สิทธิในการได้รับพิจารณาเยียวยาเมื่อถูกละเมิด (มาตรา 4 (5) พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคฯ)
สิทธิเหล่านี้ไม่ใช่เพียงถ้อยคำในกฎหมาย แต่เป็นหลักประกันที่ศาลใช้ตีความเพื่อปกป้องผู้บริโภคในทุกคดี
ดังนั้น การรู้จักใช้สิทธิตั้งแต่ก่อนฟ้องคดี ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปกป้องสิทธิผู้บริโภคที่สำคัญ ผู้บริโภคควรเก็บหลักฐานทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มติดต่อผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นใบเสนอราคา แชต หรือใบรับประกันสินค้า เพราะเอกสารเหล่านี้จะเป็นพยานที่ศาลให้ความสำคัญ
นอกจากนี้ การแจ้งเรื่องต่อหน่วยงาน อย่างเช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) , กรมการค้าภายใน หรือศูนย์ดำรงธรรมในพื้นที่ เพื่อทำการไกล่เกลี่ยเบื้องต้น ซึ่งบางกรณีสามารถจบได้โดยไม่ต้องขึ้นศาล
ทั้งนี้ หน่วยงานสำคัญ อย่างเช่น สคบ.มีอำนาจเรียกผู้ประกอบการมาเจรจา และหากพบว่ามีการกระทำผิดจริง ยังสามารถส่งเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องแทนผู้บริโภคได้อีกด้วย แถมยังช่วยให้มีเอกสารรับรองว่าได้พยายามแก้ปัญหาก่อนเข้าสู่ศาล ซึ่งช่วยเพิ่มน้ำหนักทางคดีได้มากในภายหลัง
⚖️ อ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
ขั้นตอนทางศาล

- เมื่อยื่นฟ้องแล้ว ศาลจะไต่สวนมูลฟ้องเบื้องต้นว่ามีเหตุเพียงพอหรือไม่
- หากเห็นว่าคดีมีมูลศาลจะรับไว้พิจารณาและนัดไกล่เกลี่ยก่อน
- หากตกลงกันไม่ได้ จึงเข้าสู่ขั้นตอนการสืบพยาน
ซึ่งศาลจะอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคเป็นพิเศษ ทั้งการใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย และช่วยสอบประเด็นที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน
กรณีที่มีผู้บริโภคจำนวนมากได้รับความเสียหายลักษณะเดียวกัน
เช่น ค่าบริการโทรศัพท์ถูกคิดเกินจริง หรือบริษัททัวร์ยกเลิกการเดินทางโดยไม่คืนเงิน ผู้บริโภคสามารถรวมกลุ่มกันฟ้องแบบคดีผู้บริโภคหมู่ได้ ซึ่งกฎหมายเปิดช่องไว้ให้ศาลดำเนินการเพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของทุกฝ่าย คดีลักษณะนี้มักจบเร็ว
เพราะศาลสามารถตัดสินผลให้ครอบคลุมผู้เสียหายทั้งหมดโดยไม่ต้องฟ้องซ้ำรายบุคคล
"หลักฐาน" คือ หัวใจของคดีผู้บริโภค
คดีผู้บริโภคนั้นจะเดินเร็วหรือช้าอยู่ที่หลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น และใครเป็นฝ่ายเสียหาย
ผู้บริโภคควรรวบรวมหลักฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นลำดับ ตั้งแต่การซื้อขาย การผิดสัญญา ไปจนถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นที่แสดงให้เห็นว่าเกิดความเสียหายขึ้นจริง
- หลักฐานการซื้อขาย เช่น สลิปการโอนเงิน แชตยืนยันการสั่งซื้อ หรือภาพโฆษณาที่ผู้บริโภคได้เจอก่อนทำการซื้อสินค้า เป็นต้น
- หลักฐานการผิดสัญญา เช่น ข้อความร้านที่เลื่อนส่งสินค้า หรือการถูกปฏิเสธความรับผิด หรือปิดเพจร้านหนี เป็นต้น
- หลักฐานความเสียหาย เช่น ค่าใช้จ่ายในการแก้ไข ความเสียเวลา หรือเอกสารที่ร้องเรียนต่อหน่วยงาน
📢 หากคุณกำลังมองหาคำแนะนำ ในการดำเนินคดีผู้บริโภค หรือต้องการปรึกษาปัญหากฎหมายอื่นๆ ติดต่อทนาย กว่า 700 คนทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์ได้เลย
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา คดีผู้บริโภค

คำพิพากษาศาลฎีกา 7567/2562
หากมองในทางปฏิบัติ ศาลมักพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับผู้บริโภคที่แสดงข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ตัวอย่างเช่น ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7567/2562 ผู้บริโภคซื้อห้องชุดโดยได้รับข้อมูลว่าใต้ห้องเป็นที่จอดรถ แต่ภายหลังพบว่าใต้ห้องถูกใช้เป็นห้องติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง ทำให้เกิดเสียง สั่นสะเทือน และเขม่าควันรบกวนการอยู่อาศัย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการผิดสัญญาและละเมิดผู้บริโภค โดยแม้การเคลื่อนย้ายเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะมีข้อจำกัดตาม พ.ร.บ.อาคารชุด ศาลก็สามารถใช้ดุลพินิจกำหนดวิธีเยียวยาที่เหมาะสมได้
ในคดีนี้ศาลกำหนดค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท (เป็นค่าเสียหายแท้จริง 1,000,000 บาท และค่าเสียหายเพื่อการลงโทษอีก 2,000,000 บาท) พร้อมดอกเบี้ย
ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ศาลพร้อมจะคุ้มครองผู้บริโภคทั้งโดยการคืนสถานะเดิมและโดยการลงโทษทางกฎหมาย เมื่อผู้ประกอบธุรกิจขาดความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือเพิกเฉยต่อปัญหาของผู้เสียหาย ศาลไม่เพียงสั่งให้คืนเงินหรือชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น แต่ยังแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าการทำธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้บริโภคจะต้องมีราคาที่ต้องจ่าย
แนวทางเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทเชิงรุกของศาลในฐานะผู้คุ้มครองความเป็นธรรมในตลาด
ไม่ใช่เพียงผู้ตัดสินข้อพิพาทแบบเป็นกลาง แต่คือสถาบันที่มองเห็นความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ และเลือกใช้กลไกของกฎหมายเพื่อสร้างสมดุลในความสัมพันธ์นั้น
คำพิพากษาศาลฎีกา 8424/2563
คำพิพากษาศาลฎีกานี้แสดงให้เห็นชัดว่า ข้อตกลงที่กำหนดให้ไม่คืนเงินจอง กรณีสั่งซื้อรถแบบพิเศษ ไม่ได้มีผลเป็นแนวทางเด็ดขาดเสมอไป
ศาลพิจารณาว่า หากผลของข้อความดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคต้องรับภาระหนักเกินกว่าที่ควร ณ เวลาทำสัญญา เช่น ผู้ซื้อไม่ทราบต้นทุนพิเศษหรือไม่สามารถบังคับให้เปลี่ยน
สเปกได้ ศาลอาจวินิจฉัยว่าข้อสัญญาดังกล่าวเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และสั่งให้คืนเงินจองพร้อมดอกเบี้ยตามสมควร (หรือคืนบางส่วนตามความเหมาะสม)
ซึ่งเป็นการยืนยันหลักการว่ากฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค มุ่งลดความเหลื่อมล้ำด้านอำนาจต่อรองระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจ
หากมองภาพรวมจากทั้งสองคดี ต่างสะท้อนจุดร่วมเดียวกัน คือ ศาลให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคในเชิงโครงสร้างมากกว่าความสามารถในการต่อสู้ของแต่ละคน
กล่าวคือ ศาลไม่ได้มองแค่ความประมาทของผู้ซื้อหรือความตั้งใจของผู้ขายเท่านั้น แต่พิจารณาว่าระบบธุรกิจนั้นเปิดช่องให้เกิดการเอาเปรียบหรือไม่ และใช้บทบัญญัติในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 28 เป็นเครื่องมือสำคัญในการอำนวยความเป็นธรรมให้แก่ฝ่ายที่อ่อนแอกว่าในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
🔎หาคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ผ่านทางระบบ ค้นหาฎีกา ของ Legardy
ในแง่ของเทคนิคการฟ้อง
- ผู้เสียหายควรแสดงความประสงค์ให้ศาลทราบว่าตัวผู้เสียหายเองนั้นมีความประสงค์ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายอย่างไร เช่น ให้คืนเงิน หรือให้ชดใช้ค่าเสียหายอย่างไร เป็นต้น
- ผู้เสียหายควรที่จะต้องแนบเอกสารให้ครบถ้วนตั้งแต่ต้น เพื่อลดขั้นตอนการเรียกเอกสารหรือพยานหลักฐานเพิ่มเติม
- นอกจากนี้ผู้เสียหายควรที่จะไปตามที่ศาลนัดทุกครั้งและให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา หากศาลมีการนัดไกล่เกลี่ย ควรเข้าร่วม เพราะหลายคดีสามารถตกลงกันได้ภายในวันเดียว
ในท้ายที่สุด คดีผู้บริโภคอาจไม่ใช่แค่เรื่องของเงินที่ต้องคืน แต่เป็นเรื่องของความเป็นธรรมในชีวิตประจำวัน ที่ทุกคนควรเข้าถึงได้ การฟ้องร้องคดีผู้บริโภคควรมุ่งเน้นผลเพื่อผดุงความยุติธรรมที่จับต้องได้สำหรับประชาชน
การฟ้องคดีผู้บริโภคนั้นไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ เพราะศาลมีการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคใช้สิทธิคุ้มครองตนเองโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
ดังนั้น การเตรียมเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน การพูดข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา และเข้าร่วมกระบวนการด้วยความตั้งใจ คือกุญแจสำคัญที่จำทำให้ผู้บริโภคชนะคดีได้ไว
ทำให้ได้สิทธิคืนอย่างเป็นธรรม การรู้เท่าทันสิทธิของตนเองจึงไม่ใช่เพียงการปกป้องตัวเอง แต่คือการช่วยยกระดับมาตรฐานของการประกอบธุรกิจไทยให้โปร่งใสและเป็นธรรมยิ่งขึ้น
💬อ่านคำปรึกษากฎหมายและคำตอบจากทนาย (Q&A)
ส่งท้าย
คดีผู้บริโภคยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบทางสังคมของภาคธุรกิจ เพราะทุกครั้งที่ผู้บริโภคกล้าใช้สิทธิตามกฎหมาย นั่นคือการส่งสัญญาณให้ระบบเศรษฐกิจต้องโปร่งใสและแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้น
หากประชาชนรู้เท่าทันและไม่ยอมถูกเอาเปรียบ บรรดาผู้ประกอบการย่อมต้องปรับตัว และนั่นคือการสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบร่วมกัน ที่ทำให้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมีชีวิตอยู่จริงในสังคม
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








