
ผู้รับเหมาทิ้งงาน-งานไม่เสร็จ: ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย

การจ้างผู้รับเหมาทำงาน เช่น จ้างก่อสร้างบ้านหรืออาคาร จ้างผลิตสินค้า จ้างบริการ ปัญหาที่พบได้บ่อยในการจ้างคือ ผู้รับเหมาทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จตามสัญญา ซึ่งสร้างความเดือดร้อนและความเสียหายให้กับผู้ว่าจ้างเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเสียเวลา งบประมาณบานปลาย หรือบางครั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการหาผู้รับเหมารายใหม่มาทำต่อให้เสร็จ
ถ้าหากผู้ว่าจ้างประสบปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จตามสัญญา ผู้ว่าจ้างสามารถดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องสิทธิของตนได้โดยมีแนวทางและขั้นตอนในการเตรียมตัวฟ้องผู้รับเหมาเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย
สัญญาจ้างเหมา สัญญาจ้างทำของ คืออะไร
สัญญาจ้างเหมา ตามกฎหมายถือเป็นสัญญาจ้างทำของ ซึ่งเป็น สัญญาต่างตอบแทน ที่ผู้รับจ้างจะต้องทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้ว่าจ้าง โดยสัญญาจะมุ่งหมายถึงผลสำเร็จของงานเป็นหลัก ผู้ว่าจ้างไม่มีอำนาจบังคับบัญชาเหมือนกับสัญญาจ้างแรงงาน ดังนั้น ผู้รับจ้างจึงมีอิสระในการทำงาน และมีหน้าที่ในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง เมื่อทำงานสำเร็จผู้ว่าจ้างจะต้องให้ค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนสำหรับผลงานนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 ไม่ได้กำหนดให้สัญญาจ้างทำของต้องทำเป็นหนังสือเท่านั้น ดังนั้น การตกลงด้วยวาจาจึงมีผลสมบูรณ์เช่นกัน แต่แม้ว่ากฎหมายจะยอมรับการทำสัญญาด้วยวาจา แต่ในทางปฏิบัติก็ควรมีพยานหลักฐานที่เป็นเอกสาร ถ้าหากมีการผิดสัญญาเกิดขึ้น และต้องการฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลจะสามารถพิสูจน์ได้ง่าย และมีโอกาสในการชนะคดีสูง
ผู้รับเหมาทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จ = ผิดสัญญา
ผู้รับเหมาทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จ คือการที่ผู้รับเหมาหยุดทำงานโดยไม่มีเหตุผลก่อนที่งานจะเสร็จตามสัญญาหรือตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้น ในกรณีที่ผู้รับเหมาทิ้งงานทำงานไม่เสร็จจึงถือเป็นการผิดสัญญา ผู้ว่าจ้างมีสิทธิ์ที่จะบังคับให้ผู้รับเหมาทำตามที่ตกลงในสัญญาได้ มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกร้องค่าเสียหายได้
ประเภทของค่าเสียหายที่เรียกร้องได้

ผู้ว่าจ้างสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้รับเหมาให้จ่ายค่าเสียหายที่เกิดจากการทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จ ในสัญญาก่อสร้างหรือจ้างทำของ มีดังนี้
1. ค่าเสียหายในการทำงานต่อให้แล้วเสร็จ
- ค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้รับเหมารายใหม่มาทำงานต่อให้แล้วเสร็จ
- ค่าใช้จ่ายในการแก้ไข ซ่อมแซม หรือรื้อถอน กรณีที่ผู้รับเหมาเดิมทำงานไว้ไม่เรียบร้อย หรือไม่ได้มาตรฐานจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการแก้ไขก่อนจะให้ผู้รับเหมารายใหม่มาทำต่อ
2. ค่าจ้างที่จ่ายไปแล้วโดยไม่ได้รับงานตามสัดส่วน
ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างได้จ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้รับเหมาแล้ว แต่ผู้รับเหมาทำงานไม่ครบตามจำนวนเงินที่เบิกไป ทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จ ผู้ว่าจ้างมีสิทธิเรียกคืนเงินได้ เช่น เงินมัดจำที่จ่ายไว้ก่อนเริ่มงาน เงินเบิกล่วงหน้า หรือทำงานไปแล้วเพียงบางส่วนแต่พบว่างานที่ทำจริงน้อยกว่าจำนวนเงินที่เบิกไป
3. ค่าขาดประโยชน์
เป็นค่าเสียหายที่ไม่ได้เกิดจากตัวงานโดยตรง แต่เกิดจากการที่ผู้ว่าจ้างไม่สามารถใช้ประโยชน์จากงานนั้นได้ตามกำหนดเวลา เช่น ค่าเช่าที่ต้องจ่ายเพิ่ม กรณีที่ต้องเช่าที่พักอื่นอยู่ต่อเนื่องจากก่อสร้างบ้านไม่เสร็จตามกำหนด หรือค่าขาดรายได้ ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างดำเนินการธุรกิจและไม่สามารถผลิตสินค้าได้
4. ค่าปรับตามสัญญา (เบี้ยปรับ)
หากในสัญญามีการกำหนดอัตราค่าปรับไว้เนื่องจาก ความล่าช้าในการส่งมอบงาน ผู้รับจ้างที่ทิ้งงานจะต้องรับผิดชอบค่าปรับที่เกิดขึ้นจนถึงวันที่ผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญา
เช็คลิสต์! หลักฐานที่ต้องใช้ฟ้องร้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหาย
1. หลักฐานเกี่ยวกับสัญญาจ้าง
หลักฐาน | ความสำคัญต่อคดี |
|---|---|
สัญญาจ้าง | เพื่อพิสูจน์ว่ามีการตกลงจ้างกันจริง รายละเอียดเกี่ยวกับการจ้างงาน, ค่าจ้าง, การชำระค่าจ้าง, งวดงาน, ระยะเวลาจ้างและเงื่อนไขอื่น ๆ |
ใบเสนอราคา /Bill of Quantities | เพื่อพิสูจน์ว่ามีการตกลงจ้างกันจริง รวมถึงขอบเขตของงานและราคาที่ตกลงกัน เกี่ยวกับรายการวัสดุและค่าใช้จ่ายในการจ้าง ที่สรุปรายละเอียดของงาน วัสดุปริมาณที่ต้องใช้ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ |
หลักฐานการชำระเงินเกี่ยวกับการจ้าง | หลักฐานการชำระเงิน เช่น ใบเสร็จรับเงิน สลิปโอนเงิน รายการเดินบัญชี เพื่อพิสูจน์ว่าผู้รับเหมาได้รับเงินค่าจ้างไปจำนวนแล้วเท่าไร และใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณส่วนที่เหลือที่ต้องจ่าย |
2. หลักฐานเกี่ยวกับการผิดสัญญา
หลักฐาน | ความสำคัญต่อคดี |
|---|---|
หนังสือบอกกล่าวทวงถาม /หนังสือบอกเลิกสัญญา | เพื่อพิสูจน์ว่าผู้ว่าจ้างได้ให้โอกาสผู้รับเหมากลับมาทำงานอีกครั้ง หรือแก้ไขความบกพร่องตามสัญญาหลังจากผู้รับเหมาผิดนัดหรือทิ้งงานแล้ว ถ้าผู้รับเหมาไม่ปฏิบัติตามอีก ผู้ว่าจ้างสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้ |
หลักฐานการชำระเงินเกี่ยวกับความเสียหาย | - ใบเสนอราคา ใบเสร็จ เพื่อพิสูจน์เกี่ยวกับการจ้างผู้รับเหมารายใหม่มาทำงานต่อให้เสร็จ - ใบเสนอราคา ใบเสร็จ ในกรณีที่มีค่าใช้จ่ายในการแก้ไข ซ่อมแซม หรือการรื้อถอน กรณีที่ผู้รับเหมาเดิมทำงานไว้ไม่เรียบร้อย หรือไม่ได้มาตรฐาน |
หลักฐานภาพถ่ายหรือวิดีโอ | เพื่อพิสูจน์ความคืบหน้าของงาน สามารถใช้ภาพถ่ายหรือวิดิโอเพื่อแสดงว่างานยังไม่แล้วเสร็จและเพื่อพิสูจน์ความเสียหายที่ผู้รับเหมารายเดิมทำทิ้งไว้ |
แชท หรืออีเมล หรือหนังสือแจ้งต่าง ๆ | หลักฐานต่าง ๆ เช่น แชท หรืออีเมล หรือหนังสือแจ้งต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ว่าผู้รับเหมาทราบปัญหาแล้วแต่ไม่ดำเนินการแก้ไข หรือทิ้งงาน ไม่ทำงานให้เสร็จ |
ผู้รับเหมาทิ้งงาน ผู้ว่าจ้างต้องดำเนินการอย่างไร

ผู้รับเหมาทิ้งงานหรือทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ผู้ว่าจ้างควรปรึกษาทนายความเพื่อให้ช่วยตรวจสอบสัญญา ดำเนินการบอกเลิกสัญญาและฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้รับเหมา ซึ่งมีขั้นตอนในการเตรียมตัวดังต่อไปนี้
1. ตรวจสอบเอกสารสัญญา
เมื่อผู้รับเหมาทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จ ควรตรวจดูรายละเอียดในสัญญาจ้าง เช่น เงื่อนไขการทำงาน ระยะเวลาทำงาน ค่าจ้าง ค่าปรับ วิธีการบอกเลิกสัญญาและสิทธิในการบอกเลิกสัญญา
2. การส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถาม
เมื่อผู้รับเหมาทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จต้องทำหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังผู้รับเหมาก่อนเพื่อเป็นการให้แก่ผู้รับเหมาในการแก้ไขและปฏิบัติตาม ดังนั้น จึงควรปรึกษาทนายความและให้ทนายความจัดทำหนังสือบอกกล่าวทวงถามโดยแจ้งให้ผู้รับเหมากลับมาทำงานตามที่กำหนด แต่ถ้าผู้รับเหมาเพิกเฉยไม่ดำเนินการ จะบอกเลิกสัญญาและดำเนินการฟ้องร้องผู้รับเหมาตามกฎหมายต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 593 ถ้าผู้รับเหมาทิ้งงานหรือไม่ทำงาน โดยไม่มีเหตุผล ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ครบกำหนดส่งมอบงานตามสัญญา
แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างกับผู้รับเหมาได้มีการตกลงเรื่องแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบแปลนหรือขอบเขตของงาน ไปจากที่ตกลงกันไว้ในสัญญาเดิม คำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้เน้นย้ำถึงหลักการใช้สิทธิเลิกสัญญาอย่างชอบธรรมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387ซึ่งวางหลักไว้ว่า หากการผิดสัญญาไม่ใช่กรณีที่ถือเอากำหนดระยะเวลาเป็นสาระสำคัญ ผู้ว่าจ้างย่อมต้องบอกกล่าวให้โอกาสผู้รับจ้างได้แก้ไขก่อน จึงจะชอบที่จะบอกเลิกสัญญาได้ ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาจึงมีความสำคัญอย่างมาก จึงควรทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8605/2552
จำเลยที่ 1 ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้รับช่วงก่อสร้างอาคารคลับเฮ้าส์ โดยกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบแปลนก่อสร้างให้ผิดไปจากเดิมหลายประการ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าการก่อสร้างจะต้องล่าช้าออกไปจนไม่สามารถทำให้เสร็จได้ภายในวันที่กำหนดอย่างแน่นอน ตามพฤติการณ์จึงถือได้ว่า คู่กรณีมีเจตนาให้มีการเปลี่ยนแปลงในข้อสาระสำคัญแห่งสัญญา โดยมิได้ถือเอากำหนดระยะเวลาเป็นสาระสำคัญอีกต่อไป
การทำงานล่าช้ากว่ากำหนดจึงมิใช่ความผิดของโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่อาจบอกเลิกสัญญาโดยอ้างเหตุว่าโจทก์ทำงานล่าช้ากว่ากำหนด เว้นแต่จะได้บอกกล่าวโดยกำหนดระยะเวลาพอสมควรเพื่อให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาเสียก่อน หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 จึงชอบที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 การบอกเลิกสัญญาของจำเลยที่ 1 โดยไม่บอกกล่าวก่อนจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่ชอบ
3. จัดเตรียมเอกสารสำคัญสำหรับการดำเนินคดี
เอกสารสำคัญสำหรับการดำเนินคดีที่ต้องจัดเก็บไว้ เช่น สัญญาจ้าง ใบเสนอราคา ใบเสร็จรับเงิน ภาพถ่ายหน้างาน หรือแชท อีเมล หนังสือแจ้งต่าง ๆ
4. การฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย
หลังจากที่ผู้ว่าจ้างได้ส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังผู้รับเหมาแล้วผู้รับเหมาไม่ปฏิบัติตาม ขั้นตอนต่อไปคือให้ดำเนินคดีทางแพ่งเพื่อฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย การฟ้องคดีแพ่งควรดำเนินการโดยทนายความ เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ
การรวบรวมและวิเคราะห์หลักฐาน ทนายความจะช่วยการรวบรวมและวิเคราะห์หลักฐานทั้งหมด เช่น สัญญาจ้าง ใบเสร็จ ภาพถ่าย หนังสือบอกเลิกสัญญา เพื่อใช้ประกอบการฟ้อง
- การยื่นฟ้องศาล ทนายความจะจัดทำคำฟ้องและยื่นคำฟ้องต่อศาล
- การดำเนินคดีในชั้นศาล หลังจากที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้วศาลจะกำหนดวันสำหรับการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดี การสืบพยาน
- ศาลมีคำพิพากษา เมื่อมีการสืบพยานจนเสร็จสิ้น ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาตัดสินคดี เช่น ให้ผู้รับเหมาชำระค่าเสียหายทั้งหมด หรือบางส่วน
- การอุทธรณ์ฎีกา หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจในคำพิพากษาของศาล สามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาได้ ตามเงื่อนไขของกฎหมายต่อไป
- การบังคับคดี เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วแต่ผู้รับเหมาไม่ยอมชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษา ผู้ว่าจ้างสามารถบังคับคดี โดยการยึดอายัดทรัพย์สินของผู้รับเหมาเพื่อนำเงินมาชำระค่าเสียหายให้ผู้ว่าจ้าง
อายุความ
กรณีผู้รับจ้างฟ้องผู้ว่าจ้างในกรณีที่ผู้รับเหมาทิ้งงาน และเรียกค่าเสียหายจากจ้างผู้รับเหมาอื่นมาทำงานและค่าเบี้ยปรับ มีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 193/30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2542
โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าจ้างก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นเพราะการจ้างบุคคลอื่นก่อสร้างอาคารต่อจากจำเลยได้ตามสัญญา ไม่ถือเป็นการเอาเปรียบจำเลย โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในกรณีผิดสัญญาจ้างทำของขอเรียกค่าปรับรายวันและค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจากการที่โจทก์จ้างบุคคลอื่นทำการก่อสร้างต่อจากจำเลย สิทธิเรียกร้องนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
สรุป
เนื่องจากกระบวนการทางกฎหมายในการฟ้องร้องคดีจ้างทำของมีความยุ่งยากซับซ้อน และต้องอาศัยการตีความสัญญาและข้อเท็จจริงค่อนข้างมาก จึงควรปรึกษาและมอบหมายให้ทนายความผู้เชี่ยวชาญ ดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำหนังสือบอกกล่าวทวงถาม การวิเคราะห์หลักฐาน และการฟ้องคดี ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ท่านสามารถได้รับชดเชยค่าเสียหายอย่างเป็นธรรม
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ







