การค้ำประกันบุคคลเข้าทำงานในปัจจุบัน
โดยปกติแล้วการค้ำประกันนั้น คือการที่บุคคลภายนอกที่ไม่ได้อยู่ในสัญญาต่างๆนั้นทำข้อตกลงต่างๆที่ระบุไว้ในสัญญา หากฝ่ายที่ค้ำประกันให้ทำผิดสัญญา บุคคลที่ทำการค้ำประกันนั้นจะต้องเป็นฝ่ายที่รับผิดชอบ โดยการค้ำประกันนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือเสมอไป อาจจะเป็นหนังสืออะไรก็ได้ หรือรายงานการประชุมแต่ต้องมีการลงลายมือชื่อของผู้ค้ำประกันเท่านั้น จะถือว่าการค้ำประกันนั้นเสร็จสมบูรณ์
การค้ำประกันการทำงาน
คือการที่บุคคลนั้นต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขที่บริษัทหรือที่ทำงานนั้นกำหนดไว้ หากค้ำประกันเป็นตัวเงินไม่ได้ ก็สามารถใช้ตำแหน่งของบุคคลในการค้ำประกันได้เช่นกันครับ เป็นข้าราชการระดับC4 ขึ้นไป หรือเป็นพนักงานบริษัทที่ได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000
โดยที่การค้ำประกันการทำงานนั้นสามารถใช้ได้กับแค่บางตำแหน่งเท่านั้น เช่น งานสมุห์บัญชี หรือพนักงานแคชเชียร์ งานติดตามเร่งรัดหนี้สิน เป็นต้น เพราะว่าตำแหน่งงานเหล่านี้นั้นต้องเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของนายจ้าง การที่วางหลักทรัพย์หรือบุคคลเข้าก่อนเข้าทำงาน หากเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินนายจ้างนั้น ไม่ว่าจะเป็น การลักทรัพย์นายจ้าง หรือสิ่งอื่นใด นายจ้างก็มีสิทธิ์อายัดสิ่งนั้นได้
หากเป็นตำแหน่งงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของนายจ้าง ทางนายจ้างไม่สามารถเรียกการค้ำประกันการทำงานได้นะครับ กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจในส่วนนี้
สิ่งที่ใช้เป็นหลักค้ำประกันในการทำงานตามกฎหมาย
ทางกฎหมายกำหนดไว้ 3ประเภท
1.)ค้ำประกันด้วยเงิน
อาจจะเป็นการค้ำประกันด้วยการวางเงินสดก่อนเริ่มทำงานเลยก็ได้ หรือว่าสามารถหักจากค่าจ้างที่จ่ายเลยก็ได้จนกว่าจะครบกำหนดตามที่ตกลงกันไว้ โดยที่นายจ้างนั้นเรียกเงินค้ำประกันได้ไม่เกิน 60 เท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดนเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับ
2.)ค้ำประกันด้วยทรัพย์สิน
เป็นทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีมูลค่า เช่น ที่ดิน สมุดเงินฝากประจำ ขึ้นอยู่กับมูลค่าตามที่ตกลงกันไว้ และนายจ้างไม่มีสิทธิให้ลูกจ้างแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินที่ค้ำประกันใดๆ เพื่อให้ทรัพย์สินที่ค้ำประกันนั้นเป็นของนายจ้าง
3.)ค้ำประกันด้วยบุคคล
คือ การที่บุคคลผู้ทำการค้ำประกันนั้นพร้อมที่จะรับผิดชอบค่าเสียหายใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นกับนายจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างที่ไปค้ำประกันให้นั้นไปสร้างความเสียหายให้แก่นายจ้าง
ลูกจ้างควรรู้ : รวมกฎหมายแรงงานที่ต้องรู้ อ่านเลย !
การค้ำประกันบุคคลเข้าทำงานต่างจากการค้ำประกันแบบทั่วไป
- กฎหมายแรงงานกำหนดไว้อย่างชัดเจนให้กำหนดความรับผิดของผู้ค้ำประกันบุคคลเข้าทำงานโดยจำนวนวงเงินที่รับผิดนั้น ต้องไม่เกิน 60เท่าของค่าแรงรายวันของลูกจ้าง (2เดือน)
- หากนายจ้างระบุไว้ในสัญญาจ้างหากเกิดความเสียหายขึ้นต้องรับผิดแบบไม่จำกัดจำนวน จะขัดต่อหลักกฎหมายแรงงานซึ่งสัญญานั้นอาจเป็นโมฆะได้
- หากคนที่ไปค้ำประกันการทำงานให้นั้น ไม่ได้ผิดนัดชำระหนี้ ไม่ได้ผิดสัญญาจ้าง และลูกจ้างชำระหนี้ครบแล้ว บุคคลที่ค้ำประกันการทำงานนั้นสามารถปฎิเสธการรับผิดได้
- หากนายจ้างได้ลดหนี้ให้ลูกจ้าง และลูกจ้างได้ชำระหนี้โดยที่ไม่ผิดนัดจนครบแล้ว นายจ้างไม่สามารถเรียกค่าส่วนต่างของหนี้กับบุคคลค้ำประกันได้นะครับ
ถ้าหากต้องการให้ผู้ค้ำประกันบุคคลเข้าทำงานมาชำระหนี้ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- หากลูกจ้างก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นนายจ้างสามารถเรียกค่าเสียหายได้ไม่เกิน ค่าจ้างของลูกจ้างคิดเป็นรายวัน ไม่เกิน 60 วัน(ประมาณ2เดือน)
- หากตามสัญญาระบุไว้ว่าให้ผู้ค้ำประกันนั้นต้องรับผิดแบบไม่จำกัดวงเงิน แบบนี้จะถือว่านายจ้างฝ่าฝืนประกาศกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะทำให้สัญญาค้ำประกันบุคคลเข้าทำงานนั้นเป็นโมฆะ
- บุคคลค้ำประกันนั้นต้องลงนามในหนังสือรับสภาพหนี้ของนายจ้าง การลงนามในหนังสือรับสภาพหนี้นั้นทำให้นายจ้างสามารถเรียกร้องให้บุคคลที่ทำการค้ำประกันต้องรับผิดเต็มจำนวนที่ลูกจ้างได้สร้างความเสียหายให้แก่นายจ้าง
- นายจ้างต้องกำหนดวงเงินที่บุคคลค้ำประกันนั้นต้องรับผิดชอบอย่างชัดเจน
- หากลูกจ้างไม่ได้ทำผิดตามสัญญาจ้างและได้ชำระหนี้จนครบแล้ว นายจ้างไม่มีสิทธิไปเรียกร้องให้บุคคลค้ำประกันนั้นต้องมารับผิดชอบ
- ลูกจ้างผิดนัดและนายจ้างต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างผิดนัดชำระ แต่ต้องรอให้หนังสือไปถึงมือของผู้ค้ำประกันก่อนนะครับ
สรุป
ปัจจุบันการค้ำประกันบุคคลเข้าทำงานนั้นได้ระบุเฉพาะเจาะจงแต่ละหน้าที่อย่างชัดเจน อีกทั้งสัญญานั้นต้องชัดเจนและระบุวงเงินถึงจะทำการเรียกค่าเสียหายจากผู้ค้ำประกันได้ หากกำลังประสบปัญหาด้านการทำงาน ต้องการปรึกษาทนายที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแรงงาน สามารถปรึกษาผ่าน Legardy ได้เลยนะครับ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ



