ก่อนอื่นอยากให้รู้จักคำว่า "ความระงับแห่งหนี้" ก่อน
ความระงับแห่งหนี้ คือ สถานะที่หนี้ระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้สิ้นสุดลง ผลที่ตามมาคือ ลูกหนี้ไม่ต้องชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ และเจ้าหนี้ก็ไม่สามารถเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้อีก
โดยหนี้ย่อมระงับด้วย 5 เหตุดังต่อไปนี้
1.การชำระหนี้
การชำระหนี้ที่ครบจำนวนจะทำให้มูลหนี้และสิทธิในการเรียกร้องหนี้นั้นถูกระงับไป
โดยผู้ที่สามารถชำระหนี้ได้ มีดังนี้
- ลูกหนี้ ตามปกติแล้วลูกหนี้จะต้องชำระหนี้เองเสมอ เพราะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในหนี้ที่เกิดขึ้น
- บุคคลภายนอก การที่บุคคลภายนอกสามารถชำระหนี้แทนลูกหนี้ได้เป็นหลักการที่เป็นไปตามกฎหมายทั่วไป อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่กฎหมายหรือสัญญาไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกชำระหนี้แทนลูกหนี้ได้ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากเงื่อนไขพิเศษของหนี้นั้นๆ หรือจากข้อตกลงระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้
- ลูกหนี้ร่วม ผู้ค้ำประกัน หรือผู้มีส่วนได้เสียในกำรชำระหนี้
Q: การชำระหนี้กับเงินติดล้อ
คำพิพากษาฎีกาที่ 5714/2562 (การชำระหนี้)
หนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีอื่นนั้น มิใช่การอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้มีหลายอย่างซึ่งลูกหนี้มีสิทธิที่จะเลือกกระทำเพียงการใดการหนึ่งแต่อย่างเดียวได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 198 แต่เป็นกรณีที่คำพิพากษาได้กำหนดขั้นตอนการชำระหนี้ไว้เป็นลำดับแล้ว กล่าวคือ โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนจำเลยก่อนเป็นลำดับแรก หากคืนไม่ได้จึงให้ใช้ราคาแทน ดังนั้น เมื่อรถที่เช่าซื้อยังอยู่ในสภาพที่ส่งมอบคืนได้ โจทก์จะเลือกปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยการชำระราคาแทนโดยไม่ส่งมอบรถคืนจำเลยไม่ได้ ที่โจทก์นำเงินราคาใช้แทนกับหนี้อย่างอื่นตามคำพิพากษารวม 274,468.09 บาท ไปวางศาลเพื่อชำระแก่จำเลย ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยยอมรับเงินราคาใช้แทนดังกล่าวไปจากศาล หรือมีพฤติการณ์อื่นที่แสดงว่าจำเลยสละสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในลำดับแรก โจทก์จึงไม่หลุดพ้นจากหนี้ที่จะต้องส่งมอบรถคืน การที่โจทก์นำเงิน 274,468.09 บาท ไปวางศาลจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้เสร็จสิ้นครบถ้วนตามคำพิพากษา
เมื่อโจทก์ยังมีหนี้ที่ต้องส่งมอบรถคืนแก่จำเลยและไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะครอบครองใช้รถของจำเลยได้โดยชอบอีกต่อไป แม้จำเลยผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จะติดตามเอารถคืนโดยไม่ได้ร้องขอต่อศาลให้บังคับคดีโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. ภาค 4 ก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะขาดประโยชน์ที่ไม่ได้ใช้รถหรือเสียโอกาสที่จะได้กรรมสิทธิ์ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบที่จะเป็นละเมิด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดและพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
"ไม่มีสัญญากู้เงินยืมสามารถฟ้องลูกหนี้ได้ไหม ? เขียนโดยทนายตัวจริง" อ่านได้ที่นี่ !
2.การปลดหนี้
คือการที่เจ้าหนี้ตกลงยกหนี้สินให้แก่ลูกหนี้เพื่อให้ลูกหนี้นั้นหลุดพ้นจากภาระหนี้ โดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทนอื่นๆแต่อย่างใด โดยหนี้ที่ปลดหนี้นั้นจะปลดหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ หรือง่ายๆคือเจ้าหนี้นั้นสละสิทธิเรียกร้องหนี้จากลูกหนี้และให้ความเป็นหนี้นั้นถูกระงับนั่นเอง
ถ้าการกู้หนี้ยืมสินนั้น มีการทำเป็นหนังสือ การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วยนะครับ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 340
ถ้าเจ้าหนี้แสดงเจตนาต่อลูกหนี้ว่าจะปลดหนี้ให้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป ถ้าหนี้มีหนังสือเป็นหลักฐาน การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย หรือต้องเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือขีดฆ่าเอกสารนั้นเสีย
คำพิพากษาฎีกาที่ 6757/2560 (การปลดหนี้)
จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ 595,500 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน จำเลยได้รับเงินที่กู้ยืมครบถ้วนแล้ว หลังจากทำสัญญาจำเลยไม่ชำระต้นเงิน คงชำระดอกเบี้ย 4 ครั้ง รวมเป็นเงิน 6,550 บาท การที่โจทก์ส่งข้อความทางเฟสบุ๊คถึงจำเลยมีใจความว่า เงินทั้งหมด 670,000 บาท ไม่ต้องส่งคืน ยกให้หมด ไม่ต้องส่งดอกอะไรมาให้ จะได้ไม่ต้องมีภาระหนี้สินติดตัว การส่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการสนทนาผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงต้องนำ พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 มาตรา 7 ถึง มาตรา 9 มาใช้บังคับด้วย แม้ข้อความนี้จะไม่มีการลงลายมือชื่อโจทก์ก็ตาม แต่การส่งข้อความทางเฟสบุ๊คจะปรากฏชื่อผู้ส่งด้วยและโจทก์ก็ยอมรับว่าได้ส่งข้อความถึงจำเลยจริง ข้อความการสนทนาดังกล่าวจึงรับฟังได้ว่า เป็นการแสดงเจตนาปลดหนี้ให้แก่จำเลยโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. มาตรา 340 แล้ว หนี้ตามสัญญากู้ยืมย่อมระงับ จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
3.การหักกลบลบหนี้
ถ้าบุคคลสองคนนั้นต่างก็เป็นลูกหนี้เหมือนกัน หรือเป็นเจ้าหนี้เหมือนกัน โดยมีการชำระหนี้นั้นด้วยวัตถุเดียวกัน เช่น มีหนี้ที่ต้องชำระหนี้ด้วยเงินเหมือนกัน , มีหนี้ที่ต้องชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินโดยทรัพย์สินนั้นต้องเป็นอย่างเดียวกันชนิดเดียวกัน แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายนั้นได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่าหนี้นั้นไม่สามารถหักกลบลบหนี้ได้ ก็ไม่สามารถหักกลบลบหนี้กันได้ครับ
ยกตัวอย่างเช่น A เป็นลูกหนี้เงินกู้ของB อยู่ 10,000 บาท ขณะเดียวกัน B ก็เป็นลูกหนี้ค่าซื้อของเชื่อจาก A อยู่ 4,000 บาท เมื่อหนี้ทั้งสองรายถึงกำหนดชำระแล้ว Aและ B ย่อมสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ 6,000 บาท อีกทั้งA ยังต้องชำระหนี้ที่เกินหลังจากหักกลบลบหนี้แล้วให้B อีก 6,000 บาท
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 341
ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 9787/2539 (การหักกลบลบหนี้)
โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ให้ไว้ต่อจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิหักหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจากพันธบัตรที่โจทก์วางเป็นประกันไว้ได้ การหักกลบลบหนี้ต้องเป็นกรณีที่บุคคลสองคนต่างมีหนี้ผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระแล้วคดีนี้ได้ความว่าโจทก์เป็นหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจำเลยฝ่ายเดียว ส่วนจำเลยหาได้เป็นหนี้โจทก์ไม่ เพราะโจทก์เพียงนำพันธบัตรไปวางเป็นหลักประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าแก่จำเลยเท่านั้นกรณีจึงไม่ต้องด้วยลักษณะการหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341
Q: การหักลบกลบหนี้
4.การแปลงหนี้ใหม่
คือการที่ลูกหนี้และเจ้าหนี้นั้นได้ตกลงกันเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของหนี้ที่มีอยู่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระงับหนี้เก่าและสร้างหนี้ใหม่ขึ้นมาแทน ผลที่ตามมาคือหนี้เก่าจะระงับลงและลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ใหม่ตามที่ตกลงกัน เช่นการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ การเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ หรือเพิ่มเติมเงื่อนไขต่างๆที่เป็นสาระสำคัญของหนี้ หากทำการแปลงหนี้ใหม่ไปแล้วเจ้าหนี้จะมาทวงหนี้ตามสัญญาเก่าไม่ได้แล้วนะครับเพราะว่าสัญญาเก่าหนี้เก่านั้นยกเลิกไปแล้ว ต้องปฎิบัติตามสัญญาใหม่เท่านั้น ซึ่งการทำสัญญาใหม่นั้นต้องได้รับการยินยอมจากทั้งสองฝ่าย เพื่อไม่ให้มีการเอาเปรียบซึ่งกันและกัน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 349
เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่ถ้าทำหนี้มีเงื่อนไขให้กลายเป็นหนี้ปราศจากเงื่อนไขก็ดี เพิ่มเติมเงื่อนไขเข้าในหนี้อันปราศจากเงื่อนไขก็ดี เปลี่ยนเงื่อนไขก็ดี ท่านถือว่าเป็นอันเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้นั้น
ถ้าแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ ท่านให้บังคับด้วยบทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยโอนสิทธิเรียกร้อง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 350
แปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้น จะทำเป็นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ก็ได้ แต่จะทำโดยขืนใจลูกหนี้เดิมหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6053/2548 (การแปลงหนี้ใหม่)
การที่จำเลยว่าจ้าง น. ให้เป็นตัวแทนเรียกค่าเสียหายจาก ก. โดยจำเลยทำเป็นสัญญากู้เงิน น. ไว้ เท่ากับว่ามีการแปลงหนี้ใหม่จากหนี้จ้างทำของมาเป็นหนี้เงินกู้ หนี้จ้างทำของจึงระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญากู้เงินกับ น. ก่อน น. โอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ หนี้ตามสัญญากู้เงินจึงระงับ น. ไม่อาจโอนสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ยืนยันมาในคำฟ้องว่าระงับไปแล้วให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำสัญญากู้เงินดังกล่าวมาฟ้องบังคับจำเลย
สัญญาเงินกู้เป็นเอกสารที่จำเป็นหรือไม่ อ่านคำตอบจากทนายความได้ที่นี่ !
5.หนี้เกลื่อนกลืนกัน
หนี้เกลื่อนกลืนกัน คือ กรณีที่สิทธิและหน้าที่(ความรับผิดต่อหนี้)ตกอยู่แก่บุคคลคนเดียวกัน กล่าวคือความเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้อยู่ในคน
คนเดียวกัน ทำให้หนี้รายนั้นย่อมระงับไป
ยกตัวอย่างเช่น เจ้าหนี้เป็นทายาทของลูกหนี้หรือลูกหนี้เป็นทายาทของเจ้าหนี้ เมื่อเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตาย
สิทธิของเจ้าหนี้และหน้าที่ของลูกหนี้ย่อมตกอยู่กับบุคคลคนเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น Aเป็นบุตรของB โดยAนั้นได้กู้เงินจากBผู้ที่เป็นบิดาเป็นจำนวน 20,000บาท ต่อมาBผู้เป็นบิดาได้เสียชีวิต Aที่กู้เงินจากบิดามานั้นมีสถานะเป็นลูกหนี้ และเมื่อBผู้เป็นบิดาเสียชีวิตที่มีสถานะเป็นเจ้าหนี้เงินกู้นั้นย่อมเป็นมรดกตกทอดไปสู่A ดังนั้นAเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ในเวลาเดียวกัน ทำให้หนี้เกลื่อนกลืนกันและทำให้หนี้นั้นระงับลง
กรณีที่มีการรับโอนหนี้หรือสิทธิเรียกร้องของผู้อื่นมา
กรณีที่ผู้เช่าอสังหาริมทรัพย์กลายเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ผู้เช่าย่อมได้รับสิทธิหน้าที่ในฐานะผู้ให้เช่ามาด้วย เมื่อบุคคลไม่อาจเป็น
ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ของตนได้ หนี้ย่อมระงับด้วยเกลื่อนกลืนกันไป
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 353
ถ้าสิทธิและความรับผิดในหนี้รายใดตกอยู่แก่บุคคลคนเดียวกัน ท่านว่าหนี้รายนั้นเป็นอันระงับสิ้นไป เว้นแต่เมื่อหนี้นั้นตกไปอยู่ในบังคับแห่งสิทธิของบุคคลภายนอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8829/2551 (หนี้เกลื่อนกลืนกัน)
จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของโจทก์และรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 เมื่อรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 เฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ 4 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ในความเสียหายที่โจทก์ได้รับตามกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 และในฐานะที่จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 ซึ่งต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกคือโจทก์ในความเสียหายที่เกิดจากรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 เช่นนี้ จำเลยที่ 4 จึงมีหนี้ที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองกรณีเพียงฝ่ายเดียว โจทก์ไม่มีหนี้ที่ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 4 การที่จำเลยที่ 4 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 และรับช่วงสิทธิจากโจทก์ไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ที่ทำให้รถยนต์โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 4 ก็มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เท่านั้น หาได้ก่อให้เกิดภาระหนี้แก่โจทก์ไม่ เมื่อการใช้ค่าสินไหมทดแทนของจำเลยที่ 4 แก่โจทก์ยังไม่เพียงพอแก่ความเสียหายที่แท้จริง โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายส่วนที่ขาดจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ผู้ทำละเมิด และยังเรียกให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 ภายในวงเงินตามกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ได้อีกด้วย จำเลยที่ 4 จึงตกเป็นหนี้โจทก์ที่จะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายส่วนที่ขาดแก่โจทก์อีก เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นหนี้จำเลยที่ 4 จึงไม่ใช่กรณีที่บุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุประสงค์เป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระที่ลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะนำมาหักกลบลบหนี้กันได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 341 จำเลยที่ 4 จึงไม่อาจนำเอาหนี้ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้แก่โจทก์ไปแล้วมาหักกลบลบกับค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องส่วนที่ขาดอีกได้ ทั้งไม่ใช่เป็นกรณีที่สิทธิและความรับผิดในหนี้รายใดตกอยู่แก่บุคคลเดียวกันอันจะทำให้หนี้รายนั้นระงับสิ้นไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 353
สรุป
เมื่อมีหนี้เกิดขึ้น กฎหมายนั้นได้กำหนดให้เจ้าหนี้มีสิทธิต่างๆในการเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ หากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้เลยนั้นเจ้าหนี้ก็มีสิทธิที่จะฟ้องร้องต่อศาลเพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้น และความระงับแห่งหนี้ต่างๆนั้นคือการที่หนี้ได้สิ้นสุดลง แต่เมื่อใดก็ตามที่เป็นหนี้อยากให้รีบจ่ายให้เจ้าหนี้นะครับ หากกำลังทุกข์ใจเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินต้องการคำปรึกษาทางกฎหมาย อย่ารอช้าที่จะปรึกษาทนายความผ่าน Legardy
