เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-06

ขอคืนเงินจองรถ ขอคืนเงินจองบ้าน ได้ไหม? 

หาคำตอบที่นี่ 

เวลาเราจะซื้อบ้านหรือรถยนต์เนี่ย หลายคนคงเคยเจอสถานการณ์ที่ผู้ขายมักต้องการให้เราวางเงินจองรถหรือจองบ้านก่อนส่วนหนึ่ง และจะมาดำเนินการเกี่ยวกับการซื้อขายในขั้นตอนอื่น เช่น โอน รับมอบฯ ในภายหลังกันใช่ไหมครับ แล้วเคยสงสัยกันไหมครับว่า เงินจอง ที่เราวางไปเนี่ย หากไม่ได้ดำเนินการซื้อขายให้แล้วเสร็จ เช่น เราไม่ต้องการ รถ หรือบ้านแล้วเนี่ย เงินส่วนนี้เราสามารถขอคืนได้ไหม ขอคืนได้เท่าไหร่ ในบทความนี้มีคำตอบให้คลายข้อสงสัยกันครับ 

1. เงินจองในทางกฎหมายคืออะไร? 

การที่เราจะสามารถทราบได้ว่าเงินจองที่เราวางไปเนี่ยเราสามารถขอคืนได้ไหม กรณีไม่ได้มีการปฏิบัติตามสัญญา ในเบื้องต้นเราต้องเข้าใจก่อนว่าเงินจองที่เราวางไปนั้น เป็นเงินประเภทไหนตามกฎหมาย ซึ่งเราสามารถแบ่งได้ดังนี้ครับ 

1.1 เงินมัดจำ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 377 ได้บัญญัตินิยามของเงินมัดจำไว้ว่า “เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว อนึ่ง มัดจำนี้ย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย” 

มัดจำ จึงหมายถึง เงินที่วางในวันที่สัญญาเกิด เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้วางมัดจำจะปฏิบัติตามสัญญานั่นเอง ซึ่งเป็นไปตามตัวอย่างคำพิพากษาฎีกานี้ครับ 

คำพิพากษาฎีกาที่ 2478/2565 เงินมัดจำคือเงินที่มอบให้แก่กันในวันทำสัญญา แม้คู่กรณีจะระบุไว้ในสัญญาว่าโจทก์ได้ให้เงินมัดจำแก่จำเลย 1,000,000 บาท โดยแบ่งจ่ายเป็นงวด ๆ งวดแรกชำระในวันทำสัญญา 500,000 บาท แต่ในวันทำสัญญาโจทก์ก็มิได้มอบเงิน 500,000 บาท แก่จำเลย คงให้จำเลยในวันหลัง เงิน 500,000 บาทนี้ จึงหาใช่เงินมัดจำตามกฎหมายไม่ 

1.2 เบี้ยปรับ 

ประมวลกฎหมายพางและพาณิชย์ มาตรา 379 ได้บัญญัตินิยามของเบี้ยปรับไว้ว่า “ถ้าลูกหนี้สัญญาแก่เจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ก็ดี หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรก็ดี เมื่อลูกหนี้ผิดนัดก็ให้ริบเบี้ยปรับ” 

เบี้ยปรับ จึงหมายถึง เงินที่คู่สัญญาฝ่ายที่ผิดตกลงจะจ่ายให้อีกฝ่าย กรณีตนเองผิดสัญญานั่นเอง ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกานี้ครับ 

คำพิพากษาฎีกาที่ 7364/2558 ข้อตกลงในสัญญาที่มีข้อความว่า หากฝ่าฝืนข้อตกลง จำเลยยินยอมให้โจทก์ปรับเงินจำนวน 500,000 บาท เป็นการกำหนดค่าเสียหายจากการผิดสัญญาไว้ล่วงหน้า จึงเป็นเบี้ยปรับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 

1.3 เงินชำระหนี้บางส่วน 

เงินประเภทนี้กฎหมายไม่ได้ให้นิยามไว้ แต่เป็นเงินคู่สัญญาตกลงจ่ายกันเพื่อเป็นการชำระหนี้บางส่วน โดยไม่ได้ตกลงว่าสามารถริบได้หากมีการผิดสัญญาอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ และไม่ได้จ่ายเพื่อเป็นมัดจำ 

2. ผู้วางเงินจองสามารถ ขอคืนเงินจอง กรณีไหนได้บ้าง ? 

2.1 กรณีมีการปฏิบัติตามสัญญาอย่างครบถ้วน 

ในกรณีที่มีการปฏิบัติตามสัญญากันอย่างครบถ้วน โดยสภาพแล้วผู้วางเงินขอคืนได้แต่ "เฉพาะเงินที่วางไว้เป็นมัดจำเท่านั้น" ในกรณีนี้ผู้วางมีทางเลือกสองอย่าง คือ 

  1. ขอให้หักมัดจำชำระหนี้ในงวดสุดท้าย 
  2. ผู้วางเงินจองชำระหนี้ในงวดสุดท้าย แล้วขอคืนมัดจำ ซึ่งเป็นไปตามป.พ.พ.มาตรา 378 (1) 

2.2 กรณีผู้รับเงินจองเป็นฝ่ายผิดสัญญา 

การเลิกสัญญา เพราะฝ่ายผู้รับเงินจองต้องรับผิด หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะความผิดของผู้รับเงินจอง ในกรณีที่ผู้รับเงินจองเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้วางเงินจองสามารถขอเงินจองคืนได้ โดยเราสามารถแยกประเภทของการขอคืนเงินได้ดังนี้ครับ 

1. ในกรณีที่เงินที่วางเป็นเงิน “มัดจำ” 

ผู้วางเงินจองสามารถขอเงินจองคืนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 378(3) ตามตัวอย่าง

คำพิพากษาฎีกาที่ 390/2538 การที่ต่อมาจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่บุคคลภายนอก ย่อมทำให้การชำระหนี้คือการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่โจทก์กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยต้องรับผิดชอบดังนี้จำเลยจึงต้องคืนมัดจำแก่โจทก์ 

2. ในกรณีที่เงินที่วางเป็นเงินประเภท “เบี้ยปรับ” หรือ “เงินชำระหนี้บางส่วน” 

หากผู้วางเงินบอกเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาต้องกลับสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 ฝ่ายที่รับเบี้ยปรับ หรือเงินชำระหนี้บางส่วนไว้จึงต้องคืนเงินให้แก่ผู้วางเงิน ซึ่งเป็นไปตามตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้ครับ 

คำพิพากษาฎีกาที่ 1102 – 1103/2552 เมื่อสัญญาเลิกกันแล้ว แต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม จำเลยจึงต้องใช้คืนเงินที่โจทก์ชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลยไปแล้วให้แก่โจทก์ 

3. ในกรณีที่เงินที่วางเป็น “เงินชำระหนี้บางส่วน” และในสัญญาระบุว่าฝ่ายที่รับเงินจองเอาไว้ไม่ต้องคืน ให้แก่ผู้วางเงินจองหากมีการเลิกสัญญา

มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายล่วงหน้า จึงมีลักษณะเป็น "เบี้ยปรับ" ในกรณีนี้ผู้รับเงินจองไม่จำเป็นต้องคืน แต่เมื่อเป็นเบี้ยปรับแล้วหากเบี้ยปรับสูงเกินไปศาลมีอำนาจปรับลดลงได้  ตามมาตรา 383

ผลคือ ผู้วางอาจขอคืนได้บางส่วน ตัวอย่างตามคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้ครับ 

คำพิพากษาฎีกาที่ 1102 – 1103/2552 เมื่อสัญญาเลิกกันแล้ว แต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม จำเลยจึงต้องใช้คืนเงินที่โจทก์ชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลยไปแล้วให้แก่โจทก์ แต่โจทก์กับจำเลยตกลงกันไว้ในสัญญาให้ริบเงินที่ชำระไปแล้วโดยไม่ต้องใช้คืน ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ที่กำหนดเป็นจำนวนเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 และเบี้ยปรับนี้ถ้าสูงเกินส่วนศาลก็มีอำนาจปรับลดลงให้เหลือเป็นจำนวนที่พอสมควรได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ศาลจึงชอบที่จะสั่งให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ได้ 

2.3 กรณีผู้รับเงินและผู้วางเงินตกลงเลิกสัญญา หรือเลิกสัญญาโดยปริยาย 

เมื่อมีการเลิกสัญญาแล้ว หากไม่มีฝ่ายใดต้องรับผิด เพราะคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาหรือเลิกสัญญาโดยปริยาย คู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิม และ ข้อตกลงเกี่ยวกับมัดจำและเบี้ยปรับย่อมไม่มีผลใช้บังคับ 

ผู้วางเงินจอง ไม่ว่าจะเป็นมัดจำ เบี้ยปรับ หรือเงินชำระหนี้บางส่วน ย่อมขอเงินที่วางไว้คืนได้ ซึ่งเป็นไปตามตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้ครับ 

คำพิพากษาฎีกาที่ 2569/2556 เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างบอกเลิกสัญญาต่อกัน แม้ไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญาตามพฤติการณ์ แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์จำเลยว่า สมัครใจที่จะเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยาย สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์แปลงหมายเลข 1315 จึงไม่มีผลผูกพันกันต่อไป 

กรณีไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิรับเงินมัดจำจำนวน 100,000 บาท สำหรับเงินค่าทำสัญญาที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์สองแปลง เป็นเงินแปลงละ 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 200,000 บาท นั้น ไม่ใช่มัดจำ แต่เป็นการชำระราคาค่าที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์บางส่วน เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายเลิกกันแล้ว คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม 

2.4 กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยโดยโทษฝ่ายใดไม่ได้ 

เมื่อการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยโดยโทษฝ่ายใดไม่ได้ จึงถือว่าไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญา ผู้รับเงินจองไม่ว่าจะเป็นเงิน มัดจำ เบี้ยปรับ หรือเงินชำระหนี้บางส่วน ไม่สามารถจะริบเงินจำนวนดังกล่าวได้ จึงต้องคืนให้แก่ผู้วางเงินจอง ตามหลักทั่วไป

ยกตัวอย่างเช่น ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้เพราะเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรง เป็นต้น 

ส่งท้าย

สุดท้ายนี้หวังว่าบทความนี้จะสามารถช่วยคลายความสงสัยให้กับหลายคนที่กำลังสงสัยว่าเงินจองที่เราวางไปแล้วนั้นเราสามารถขอคืนได้หรือไม่ ขอคืนได้กรณีใดบ้าง และขอคืนได้เท่าไหร่นะครับ 

ซึ่งหากมีข้อสงสัยอื่นเพิ่มเติมสามารถรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเท่าที่มี เข้ารับคำปรึกษาจากทนายความที่ไว้ใจได้ หรือสามารถลองเข้าไปตั้งกระทู้คำถามผ่านช่องทางที่แพลตฟอร์มได้จัดไว้ให้ได้ เพื่อจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงของแต่ละท่านต่อไปครับ

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “