รู้ไว้ก่อนเมาแล้วขับ !
การเมาแล้วขับนั้น นอกจากจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน ร่างกาย หรือชีวิตของผู้อื่นด้วย ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เมาแล้วขับจึงมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งอาจมีโทษปรับ หรือจำคุก รวมทั้งอาจถูกเพิกถอนหรือพักใบอนุญาตขับขี่ได้
ปริมาณแอลกอฮอล์เท่าไหร่จึงถือว่าเมาแล้วขับ
1.บุคคล 4 ประเภทนี้ หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาแล้วขับ
1.1 บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
1.2 บุคคลซึ่งได้รับใบอนุญาตขับขี่รถชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
1.3 บุคคลซึ่งมีใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้
1.4 บุคคลซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรืออยู่ระหว่างถูกเพิกถอนหรือพักใบอนุญาตขับขี่
2. บุคคลที่มีใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพ หรือใบอนุญาตขับขี่ 5 ปี และมีอายุเกิน 20 ปีบริบูรณ์
หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาแล้วขับ
เนื่องจากพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มีการบัญญัติไว้ในมาตรา 43 ว่า “ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ (2) ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น”
ทั้งมีการกำหนดโทษสำหรับการขับขี่รถขณะเมาสุราไว้ การเมาแล้วขับนั้นจึงถือได้ว่ามีความผิดต่อกฎหมาย
ต้องการค้นหาด้านกฎหมายใช่ไหม ? สามารถค้นหาบทความ, คำปรึกษาจริง, มาตราที่เกี่ยวข้อง คลิกที่นี่ !
สำหรับการเมาแล้วขับนั้นกฎหมายได้กำหนดอัตราโทษไว้ ดังนี้
1. กรณีผู้เมาแล้วขับนั้น ได้กระทำความผิดครั้งแรก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้น มีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ (พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 ตรี วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 43(2))
2. ถ้าการเมาแล้วขับนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 – 5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ (พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 ตรี วรรคสอง ประกอบมาตรา 43(2)) เช่น เมาสุราขับรถด้วยความเร็วสูง รถพุ่งชนคนบาดเจ็บ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 978/2540)
3. ถ้าการเมาแล้วนั้นขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 – 6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 – 120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ (พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 ตรี วรรคสาม ประกอบมาตรา 43(2))
4. เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ (พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 ตรี วรรคสี่ ประกอบมาตรา 43(2))
กรณีข้างต้น หากผู้เมาแล้วขับที่กระทำความผิดตามข้อ 1 – 4 ข้างต้น เป็นผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะหรือรถจักรยานยนต์สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ หรือเป็นการขับขี่รถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารเพื่อสินจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ผู้กระทำต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดอีก 1 ใน 3 (พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 ตรี วรรคห้า)
นอกจากนี้ หากผู้กระทำความผิดฐานเมาแล้วขับ ได้กระทำความผิดฐานเมาแล้วขับตาม ข้อ 1. ซ้ำอีกภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก ผู้กระทำนั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ (พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 ตรี/1) และในกรณีกระทำความผิดฐานเมาแล้วขับซ้ำอีกภายใน 2 ปีนั้น กฎหมายยังกำหนดให้ศาลลงโทษและจำคุกผู้ที่เมาแล้วขับด้วยเสมอ (พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 ตรี/3)
กระทำผิดซ้ำ ต้องรับโทษหนักขึ้นไหม? หาคำตอบได้ที่นี่ คลิกเลย !
เมาแล้วขับไม่ยอมตรวจแอลกอฮอล์ได้หรือไม่ ?
กรณีมีผู้ที่เมาแล้วขับ หรือมีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าผู้นั้นเมาแล้วขับ หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานจราจร มีอำนาจสั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ดังกล่าวว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่ (พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 142 วรรคสอง) ซึ่งหากผู้ที่เมาแล้วขับนั้นฝ่าฝืนไม่ยอมตรวจแอลกอฮอล์ ย่อมถือเป็นการผิดกฎหมาย มีระวางโทษปรับครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท (พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 154(3)) (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 411/2565)
เมาแล้วขับขึ้นศาลไหน ?
1. กรณีผู้ที่เมาแล้วขับตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 ตรี วรรคหนึ่ง กรณีเช่นนี้ต้องดำเนินคดีต่อศาลแขวง เนื่องจากมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. กรณีผู้ที่เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ได้รับอันตรายสาหัส หรือถึงแก่ความตาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 ตรี วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่นั้น กรณีเช่นนี้เนื่องจากอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดนั้นเกินกว่าเขตอำนาจศาลแขวง ผู้กระทำความผิดจึงต้องถูกดำเนินคดีต่อศาลจังหวัด เนื่องจากอัตราโทษเกินอำนาจศาลแขวงที่จะรับพิจารณาได้
อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายจะได้บัญญัติความผิดสำหรับกรณีเมาแล้วขับไว้โดยเฉพาะตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯแล้ว แต่หากเป็นกรณีที่ผู้เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ได้รับอันตรายสาหัส หรือถึงแก่ความตาย ยังเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ) นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวนั้นยังถือเป็นการละเมิด ทำให้ผู้ที่เมาแล้วขับต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย หากมีข้อสงสัยต้องการปรึกษาทนายความเพื่อหาทางออกกฎหมาย สามารถติดต่อผ่าน Legardy ได้ตลอด 24ชั่วโมงครับ
