
มรดกสมรสเท่าเทียม พินัยกรรม และทายาทโดยธรรมสำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน (อัพเดท 2568)
วันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นวันที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์กฎหมายครอบครัวไทยไปตลอดกาล เมื่อ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือที่เรียกกันว่า "กฎหมายสมรสเท่าเทียม" เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
ต้องบอกว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้กระทบแค่เพียงเรื่องการจดทะเบียนสมรสเท่านั้น แต่ยังเป็นเปลี่ยนแปลงการวางแผนทางการเงินของคู่สมรสเพศเดียวกันอย่างมากมาย ผมจึงอยากอธิบายให้คุณเข้าใจครบทุกมิติ ตั้งแต่สิทธิทายาทโดยธรรม การเขียนพินัยกรรม ไปจนถึงกลยุทธ์การป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น
สิ่งที่หลายคนยังไม่ทราบคือ การมีสถานะ "คู่สมรส" ตามกฎหมายใหม่นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้รับมรดกทั้งหมดของคู่ชีวิตโดยอัตโนมัติ กฎหมายมรดกไทยมีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด และหากไม่เข้าใจถูกต้อง อาจทำให้คุณสูญเสียทรัพย์สินที่ควรจะได้รับไป
ภาพรวมสิทธิหลังกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

สิทธิของคู่สมรสเพศเดียวกันในการรับมรดกจะเท่าเทียมกับคู่สมรสต่างเพศทุกประการ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1635 โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ
ฐานะ "คู่สมรส" ในกฎหมายมรดกไทยหลังปี 2024
จริงๆ แล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่การแก้ไขคำว่า "ชาย-หญิง" เป็น "บุคคลทั้ง 2 ฝ่าย" ตามที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นการปรับโครงสร้างกฎหมายมรดกที่ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งระบบ
ตามที่ผมได้ศึกษามาอย่างละเอียด กฎหมายใหม่นี้ทำให้คู่สมรสเพศเดียวกันมีสิทธิตาม มาตรา 1635 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เท่าเทียมกับคู่สมรสต่างเพศ ซึ่งหมายความว่า:
คู่สมรสเพศเดียวกันจะได้รับสิทธิพิเศษในการรับมรดกที่ไม่ใช่แค่การเป็นทายาทลำดับหนึ่ง แต่เป็นการมีสิทธิร่วมรับมรดกกับทายาทโดยธรรมลำดับอื่นๆ ด้วย นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากการเป็นเพียง "ผู้รับพินัยกรรม" อย่างมาก
วันที่กฎหมายมีผลและผลกระทบต่อคดีช่วงเปลี่ยนผ่าน
สิ่งที่ต้องระวังคือ กฎหมายใหม่นี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 ซึ่งจะส่งผลต่อหลายๆเหตุการณ์ดังนี้
- คดีมรดกที่อยู่ระหว่างดำเนินการ หากคดีมรดกเริ่มก่อนวันที่กฎหมายมีผล จะใช้กฎหมายเดิม แต่หากยังไม่ได้เริ่มคดี แม้ผู้เสียชีวิตจะตายก่อนวันที่ 22 มกราคม 2568 ก็จะใช้กฎหมายใหม่
- การรับรองสมรสย้อนหลัง ผู้ที่แต่งงานต่างประเทศแล้ว สามารถนำเอกสารการสมรสมาขอรับรองในไทยได้ตามกฎหมายใหม่ ทำให้มีสิทธิทายาทโดยธรรมทันที
- พินัยกรรมที่ทำไว้ก่อนหน้า พินัยกรรมที่ระบุว่า "ยกให้แฟน" หรือ "คู่ชีวิต" โดยไม่ระบุสถานะสมรส อาจจะต้องมีการตีความใหม่ตามกฎหมาย
ทายาทโดยธรรม - สิทธิและส่วนแบ่งมรดกของคู่สมรสเพศเดียวกัน
คู่สมรสเพศเดียวกันไม่ได้เป็นเพียงทายาทลำดับหนึ่ง แต่มีสิทธิพิเศษในการร่วมรับมรดกกับทายาทลำดับอื่นๆ ตามมาตรา 1635 ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่ซับซ้อนแต่ให้ประโยชน์มหาศาล
โครงสร้างทายาทโดยธรรมตามกฎหมายไทย
มาเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานกันก่อน ตาม มาตรา 1629 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทายาทโดยธรรมแบ่งเป็น 6 ลำดับ และคู่สมรสมีสถานะพิเศษที่ต่างจากลำดับเหล่านี้
| ลำดับทายาท | ประเภทญาติ | ตัวอย่าง | สิทธิรับมรดก |
ลำดับ 1 | ผู้สืบสันดาน | บุตร, หลาน, เหลน | ได้รับก่อนทายาทลำดับอื่น เว้นยังมีทายาทลำดับที่ 2 (ถ้ามี) จะได้รับพร้อมกัน ในส่วนเท่า ๆ กัน |
ลำดับ 2 | บิดามารดา | พ่อแม่ของผู้ตาย | รับร่วมกับลำดับที่ 1 (ถ้ามี) |
ลำดับ 3 | พี่น้องร่วมพ่อแม่ | พี่น้องแท้ | เมื่อไม่มีลำดับ 1-2 |
ลำดับ 4 | พี่น้องร่วมพ่อหรือแม่ | พี่น้องครึ่งหนึ่ง | เมื่อไม่มีลำดับ 1-3 |
ลำดับ 5 | ปู่ย่าตายาย | บรรพบุรุษชั้น 2 | เมื่อไม่มีลำดับ 1-4 |
ลำดับ 6 | ลุงป้าน้าอา | ญาติข้างเคียง | ลำดับสุดท้าย |
คู่สมรส | สถานะพิเศษ | สามี/ภริยา/คู่สมรส | ร่วมรับกับทุกลำดับ |
จุดสำคัญที่ต้องจำ: คู่สมรสไม่ได้อยู่ในลำดับใดลำดับหนึ่ง แต่มี "สิทธิพิเศษ" ที่สามารถร่วมรับมรดกกับทายาทลำดับอื่นๆ ได้เสมอ
ตำแหน่งของคู่สมรสในลำดับทายาท
ผมต้องบอกว่า นี่คือส่วนที่หลายคนเข้าใจผิดมากที่สุด คู่สมรสไม่ได้ "แย่งชิง" กับทายาทลำดับอื่น แต่เป็นการ "ร่วมรับ"ตามสูตรคำนวณที่มาตรา 1635 กำหนดไว้อย่างชัดเจน
สิ่งที่น่าสนใจคือ มาตรา 1635 ออกแบบมาให้คู่สมรสได้ส่วนแบ่งที่แตกต่างกันตามสถานการณ์ครับ ผมขอยกตัวอย่างเป็น 3 สถานการณ์
สถานการณ์ที่ 1: มีบุตร (ลำดับ 1)
คู่สมรสได้รับมรดก "เสมือนเป็นบุตรคนหนึ่ง"
หากมีบุตร 2 คน คู่สมรสจะได้ส่วนที่ 3 (1/3) เท่ากับบุตรแต่ละคน
สถานการณ์ที่ 2: ไม่มีบุตร แต่มีบิดามารดาหรือพี่น้องแท้
คู่สมรสได้รับมรดก ครึ่งหนึ่ง (1/2) ส่วนที่เหลืออีกครึ่งให้ทายาทลำดับที่สองและสาม
สถานการณ์ที่ 3: มีเฉพาะพี่น้องครึ่งหนึ่ง ลุงป้า หรือปู่ย่า
คู่สมรสได้รับมรดก สองในสาม (2/3) ส่วนที่เหลือหนึ่งในสาม (1/3) แบ่งให้ทายาทลำดับ 4 5 หรือ 6 แล้วแต่กรณี
ส่วนแบ่งมรดกเมื่อ "มีบุตร/ไม่มีบุตร"
1. มีบุตรโดยชอบ/บุตรบุญธรรม
ตัวอย่างการคำนวณ: สมมติมรดกมีมูลค่า 6 ล้านบาท มีบุตร 2 คน
- บุตรคนที่ 1: 6,000,000 ÷ 3 = 2,000,000 บาท
- บุตรคนที่ 2: 6,000,000 ÷ 3 = 2,000,000 บาท
- คู่สมรส: 6,000,000 ÷ 3 = 2,000,000 บาท
ข้อสังเกตสำคัญ บุตรบุญธรรมที่รับรองถูกต้องตามกฎหมายจะมีสิทธิเท่าเทียมกับบุตรโดยชอบทุกประการ ตาม มาตรา 1598/39 ที่กำหนดให้ "บุตรบุญธรรมมีสิทธิและหน้าที่เสมือนบุตรโดยชอบ"
สิ่งที่ต้องระวังคือ หากคู่สมรสเพศเดียวกันรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน บุตรนั้นจะมีสิทธิรับมรดกจากบิดามารดาบุญธรรมทั้งคู่ ทำให้การวางแผนมรดกต้องพิจารณาปัจจัยนี้ด้วย
2. ไม่มีบุตรแต่มีบิดามารดาหรือพี่น้องร่วมบิดามารดา
ตัวอย่างการคำนวณ: มรดก 4 ล้านบาท ไม่มีบุตร มีแม่ยังมีชีวิต และพี่น้อง 1 คน
- คู่สมรส: 4,000,000 × 1/2 = 2,000,000 บาท
- แม่ของผู้ตาย: 4,000,000 × 1/2 (ส่วนที่เหลือ) = 2,000,000 บาท
- ทายาทชั้นสนิทตัดสิทธิทายาทชั้นอื่น
- พี่น้อง ไม่ได้รับเงินมรดก
การที่คู่สมรสได้ครึ่งหนึ่งในกรณีนี้ ถือเป็นการคุ้มครองที่ดีมากในแง่ของการสนับสนุนสมรสเท่าเทียมในสิทธิของการดูแลจัดการทรัพย์สิน เพราะในอดีตที่ไม่มีสถานะสมรสตามกฎหมาย คู่ชีวิตเพศเดียวกันจะไม่ได้อะไรเลยหากไม่มีพินัยกรรม
ไม่อยากให้มรดกแก่ลูกหลานต้องทำอย่างไร อ่านบทความที่นี่
3. กรณีไม่มีญาติเลย ทรัพย์สินมรดกจะตกเป็นของแผ่นดิน
นี่คือสถานการณ์ที่หลายคนคิดว่าไม่เกิดขึ้นจริง แต่ในความเป็นจริงมีมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะในกรณีของผู้สูงอายุที่ไม่มีครอบครัว
เมื่อไม่มีทายาทโดยธรรมเลย
- คู่สมรส: ได้รับมรดก ทั้งหมด 100%
- รัฐ: ไม่ได้อะไรเลย
แต่หากไม่มีทั้งคู่สมรสและทายาทโดยธรรม มรดกจะตกเป็นของแผ่นดินตาม มาตรา 1630 อย่างไรก็ตาม กฎหมายให้โอกาสคู่สมรสได้มรดกเต็มจำนวนในกรณีนี้ ซึ่งเป็นการคุ้มครองที่ดีมากครับ ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
การแบ่งสินสมรสและสินส่วนตัวก่อนคำนวณมรดก

การแยกทรัพย์สินก่อนแบ่งมรดกเป็นขั้นตอนที่คนส่วนใหญ่มองข้าม แต่มีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อจำนวนเงินที่คู่สมรสจะได้รับจริง
ทำไมต้องแยกทรัพย์สินก่อนแบ่งมรดก?
คุณคิดว่าเมื่อคู่สมรสตาย ทรัพย์สินทั้งหมดจะกลายเป็นมรดกทันทีใช่มั้ย?
ความจริงคือ กฎหมายไทยมีระบบที่เรียกว่า "ทรัพย์สินระหว่างสมรส" ซึ่งแยกออกเป็นสองประเภทใหญ่ คือ
สินสมรส กับ สินส่วนตัว การแยกสองอย่างนี้ให้ถูกต้องจะกำหนดว่าคู่สมรสที่เหลืออยู่จะได้เงินเท่าไหร่
ผมจะอธิบายให้ฟังแบบง่ายๆ ลองนึกภาพว่าเงินและทรัพย์สินของคู่สมรสเป็นเหมือนกล่องสองใบ กล่องแรกเขียนว่า "ของเรา" กล่องที่สองเขียนว่า "ของฉัน" เมื่อคนหนึ่งตาย สิ่งที่อยู่ในกล่อง "ของเรา" จะต้องแบ่งครึ่งก่อน ครึ่งหนึ่งเป็นของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ทันทีเพราะถือว่าเป็นของของคู่สมรสมาตั้งแต่แรก ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิเอาไป ส่วนอีกครึ่งถึงจะไปรวมกับของในกล่อง "ของฉัน" เพื่อเป็นมรดกที่ต้องแบ่งกัน
สินสมรส: ทรัพย์สินที่ต้องแบ่งครึ่งก่อน
มาตรา 1471 บอกชัดเจนว่าอะไรบ้างที่เป็นสินสมรส โดยหลักใหญ่คือ ทรัพย์สินที่หาได้หลังจากแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นใครหาได้ จะถือว่าเป็นของทั้งคู่
ตัวอย่างสินสมรสที่พบบ่อย:
- เงินเดือนที่ได้รับหลังแต่งงาน ไม่ว่าจะใครทำงาน
- บ้านที่ซื้อด้วยเงินที่หาได้หลังแต่งงาน
- รถยนต์ที่ซื้อหลังแต่งงาน แม้จะจดทะเบียนเป็นชื่อคนใดคนหนึ่ง
- เงินฝากที่สะสมจากเงินเดือนหลังแต่งงาน
- ผลประโยชน์จากทรัพย์สินส่วนตัว เช่น ค่าเช่าบ้านที่มีอยู่ก่อนแต่งงาน
ยกตัวอย่างเช่น คุณมีคอนโดอยู่แล้วก่อนแต่งงาน หลังแต่งงานเอาไปให้เช่า ได้เงิน 20,000 บาทต่อเดือน เงินค่าเช่านี้จะเป็นสินสมรสทั้งหมด แม้ว่าคอนโดจะเป็นสินส่วนตัวก็ตาม
สินส่วนตัว: ทรัพย์สินที่ไม่ต้องแบ่งครึ่ง
มาตรา 1472 กำหนดสินส่วนตัวไว้หลายประเภท ซึ่งจะกลายเป็นมรดกเต็มจำนวนโดยไม่ต้องแบ่งครึ่งให้คู่สมรส
ประเภทสินส่วนตัวที่สำคัญ
- ทรัพย์สินที่มีก่อนสมรส - นี่คือสิ่งที่คุณเป็นเจ้าของอยู่แล้วก่อนจดทะเบียนสมรส เช่น บ้าน รถ เงินฝาก หุ้น ทอง ไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าไหร่
- มรดกหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากญาติโดยไม่ได้ระบุว่าให้เป็นสินสมรส - บ้านที่ได้จากพ่อแม่ เงินที่ป้าให้ ที่ดินที่ได้จากปู่ย่า แม้จะได้รับหลังแต่งงานแล้ว
- ของขวัญ - ต้องเป็นของขวัญจากคนอื่น ไม่ใช่ของขวัญที่คู่สมรสซื้อให้กัน เช่น รถที่เพื่อนให้เป็นของขวัญแต่งงาน นาฬิกาที่บอสให้เป็นโบนัส
- ของหมั้น - แหวน สร้อย ทอง เครื่องประดับที่ให้กันตอนหมั้น ตาม มาตรา 1437 ถือเป็นสินส่วนตัวของคนที่ได้รับ
- เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว - ของใช้ส่วนตัวที่ใช้เฉพาะบุคคล
การคำนวณจริงเมื่อเกิดกรณีตายแล้วต้องแบ่งทรัพย์สินกัน
ผมจะยกตัวอย่างให้ดูกันแบบละเอียด สมมติคุณกับคู่สมรสมีทรัพย์สินและหนี้สินดังนี้
ทรัพย์สินรวม 12 ล้านบาท:
- บ้าน 8 ล้าน (ซื้อด้วยเงินที่หาได้หลังแต่งงาน → สินสมรส)
- รถยนต์ 2 ล้าน (ซื้อด้วยเงินที่หาได้หลังแต่งงาน → สินสมรส)
- คอนโด 2 ล้าน (มีก่อนแต่งงาน → สินส่วนตัว)
หนี้สิน 2 ล้านบาท:
- สินเชื่อบ้าน 1.5 ล้าน (หนี้สมรส)
- หนี้บัตรเครดิตส่วนตัว 0.5 ล้าน (หนี้ส่วนตัว)
ขั้นตอนการคำนวณ
ขั้นที่ 1: จัดการหนี้สินก่อน
- สินสมรสสุทธิ: (8+2) - 1.5 = 8.5 ล้าน
- สินส่วนตัวสุทธิ: 2 - 0.5 = 1.5 ล้าน
ขั้นที่ 2: แบ่งสินสมรส
- คู่สมรสที่มีชีวิตได้: 8.5 ÷ 2 = 4.25 ล้าน
- ส่วนที่เป็นมรดก: 8.5 ÷ 2 = 4.25 ล้าน
ขั้นที่ 3: รวมมรดกทั้งหมด
- มรดกจากสินสมรส: 4.25 ล้าน
- มรดกจากสินส่วนตัว: 1.5 ล้าน
มรดกรวม: 5.75 ล้าน
ขั้นที่ 4: แบ่งมรดกตามกฎหมาย สมมติมีบุตร 1 คน:
- คู่สมรสได้จากมรดก: 5.75 ÷ 2 = 2.875 ล้าน
- บุตรได้: 5.75 ÷ 2 = 2.875 ล้าน
ผลรวมที่คู่สมรสได้รับ: 4.25 (จากสินสมรส) + 2.875 (จากมรดก) = 7.125 ล้านบาท
กรณีพิเศษที่ต้องระวังที่พลาดกันบ่อย
- ทรัพย์สินที่เปลี่ยนลักษณะ - การนำเงินส่วนตัวไปรวมกับเงินที่เป็นสินสมรสเพื่อซื้อทรัพย์สินร่วมกัน ไม่ได้ทำให้ทรัพย์สินนั้นกลายเป็นสินสมรสทั้งหมด แต่ทรัพย์สินที่ได้มานั้นจะกลายเป็น ทรัพย์สินกรรมสิทธิ์รวม ระหว่างสินส่วนตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและสินสมรส หากผู้ที่กล่าวอ้างว่ามีสินส่วนตัวรวมอยู่ด้วยไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเงินส่วนใดเป็นสินส่วนตัว ทรัพย์สินที่ซื้อมานั้นก็จะถูกสันนิษฐานว่าเป็น สินสมรส
- การปรับปรุงทรัพย์สิน - หากนำเงินที่เป็น สินสมรสไปซ่อมแซมหรือปรับปรุงทรัพย์สินที่เป็นสินส่วนตัว เช่น บ้านที่เป็นสินส่วนตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทรัพย์สินนั้นจะ ยังคงเป็นสินส่วนตัวอยู่เช่นเดิม ก็จริง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ได้ใช้สินสมรสไปในการปรับปรุงทรัพย์สินนั้น มีสิทธิได้รับเงินคืนในจำนวนเท่ากับเงินสินสมรสที่ใช้ไป จากมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น
- การขายทรัพย์สินเปลี่ยนรูป - ถ้าขายบ้านส่วนตัวแล้วเอาเงินไปซื้อรถ รถคันนั้นจะยังคงเป็นสินส่วนตัว แต่ต้องมีหลักฐานชัดเจน
👉 กำลังเผชิญปัญหาแบ่งมรดกไม่ลงตัว หรือ ต้องการคำแนะนำเรื่องการแบ่งมรดก? ปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญที่ Legardy เพื่อขั้นตอนที่ถูกต้องและปกป้องสิทธิ์ของทุกฝ่าย
พินัยกรรมสำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน

สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน การทำพินัยกรรมไม่ใช่แค่การกระจายทรัพย์สิน แต่เป็นการสร้างมาตรฐานการป้องกันที่แข็งแกร่งเพื่อให้แน่ใจว่าเจตนาของคุณจะได้รับการรับรอง
การเลือกให้เหมาะสม
ทำความเข้าใจกับพินัยกรรมประเทศไทยกันก่อน
ระบบพินัยกรรมไทยออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นสำหรับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน แต่สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน การเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกลายเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มีผลกระทบระยะยาว การเข้าใจลักษณะของแต่ละประเภทจะช่วยให้คุณเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะของคุณ
มาตรา 1646 ให้คำนิยามว่าพินัยกรรมเป็นกำหนดการเผื่อตายในเรื่องของทรัพย์สิน ซึ่งหากลงลึกลงไปในกฎหมายไทย จะสามารถแบ่งชนิดพินัยกรรมออกเป็น 6 ประเภท (ใช้ในทางปฏิบัติอยู่ 5 ประเภท) แต่ละประเภทมีข้อกำหนดทางกฎหมายและระดับความปลอดภัยที่แตกต่างกัน การเลือกประเภทที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงความซับซ้อนของทรัพย์สิน ระดับความเป็นส่วนตัวที่ต้องการ และความเสี่ยงจากการโต้แย้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง: ตัวเลือกหลักสำหรับความมั่นคง
โครงสร้างทางกฎหมายและข้อกำหนด
ข้อกำหนดของพยานที่สำคัญ ตาม มาตรา 1659 พยานต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ ไม่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และไม่เป็นผู้รับพินัยกรรมหรือคู่สมรสของผู้รับพินัยกรรม ข้อกำหนดสุดท้ายนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน เพราะหมายความว่าคู่สมรสไม่สามารถเป็นพยานในพินัยกรรมที่ยกทรัพย์สินให้ตนเองได้
แนวทางการเลือกพยานสำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน
การเลือกพยานสำหรับคู่สมรสเพศเดียวกันต้องใช้ความรอบคอบเป็นพิเศษ คุณควรเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติดังนี้:
- พยานที่เข้าใจและยอมรับความสัมพันธ์ - เลือกเพื่อนหรือญาติที่รู้จักความสัมพันธ์ของคุณมาเป็นเวลานาน และแสดงการยอมรับอย่างชัดเจน บุคคลเหล่านี้จะสามารถให้ปากคำที่น่าเชื่อถือในศาลหากมีข้อพิพาท
- ผู้เชี่ยวชาญทางวิชาชีพ - การใช้ทนายความ แพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ เป็นพยานจะช่วยเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือ บุคคลเหล่านี้มักจะมีความเข้าใจเรื่องกฎหมายและสามารถให้ปากคำที่มีคุณภาพได้
- บุคคลที่ไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้ง - หลีกเลี่ยงการใช้บุคคลที่อาจได้รับประโยชน์จากพินัยกรรม หรือมีความขัดแย้งกับครอบครัวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
การเขียนพินัยกรรมเองให้ถูกต้อง ปราศจากข้อโต้แยง
หลักการพื้นฐานของการใช้ภาษาทางกฎหมาย
การเขียนพินัยกรรมเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้รัดกุมที่สุด สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน ความรัดกุมนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะพินัยกรรมอาจโต้แย้งได้ง่ายมากกว่าปกติ โดยเฉพาะการคัดค้านว่าเป็นพินัยกรรมปลอม
หลักการความชัดเจนและไม่คลุมเครือ - ทุกถ้อยคำในพินัยกรรมต้องมีความหมายที่เฉพาะเจาะจงและไม่สามารถตีความได้หลายนัย การใช้คำที่คลุมเครือจะเปิดช่องให้เกิดการตีความที่ไม่เป็นไปตามเจตนาของผู้ทำพินัยกรรม
การระบุตัวบุคคลและความสัมพันธ์
เทคนิคการระบุคู่สมรสอย่างครบถ้วน
การระบุคู่สมรสในพินัยกรรมต้องมีข้อมูลที่สมบูรณ์และสามารถตรวจสอบได้ โครงสร้างที่แนะนำมีดังนี้
"ข้าพเจ้าขอยกทรัพย์สินดังต่อไปนี้ให้แก่ (ชื่อ-นามสกุลเต็ม) เลขประจำตัวประชาชน (เลข 13 หลัก) ปัจจุบันอายุ (อายุ) ปี อาชีพ (อาชีพ) ที่อยู่ (ที่อยู่ปัจจุบันแบบเต็ม) ซึ่งเป็นคู่สมรสของข้าพเจ้าที่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแล้ว เมื่อวันที่ (วันเดือนปี) ณ (สำนักงานเขต/อำเภอ) (แนบสำเนา)"
การเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของความสัมพันธ์
นอกเหนือจากข้อมูลทางราชการแล้ว การเพิ่มข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ เช่น
"ซึ่งข้าพเจ้าได้ร่วมชีวิตคู่มาเป็นเวลา (จำนวนปี) และได้ร่วมกันเลี้ยงดูบุตรบุญธรรม (ชื่อบุตร) รวมทั้งได้ร่วมกันประกอบอาชีพและสร้างสรรค์ทรัพย์สินร่วมกัน"
การระบุทรัพย์สินอย่างเจาะจง
โครงสร้างการแบ่งหมวดหมู่ทรัพย์สิน
การระบุทรัพย์สินในพินัยกรรมควรจัดเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน และมีรายละเอียดเพียงพอสำหรับการระบุตัวตน:
- อสังหาริมทรัพย์ - "ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โฉนดที่ดินเลขที่ (เลขโฉนด) เลขที่ดิน (เลขที่ดิน) หน้าสำรวจ (หน้าสำรวจ) ตำบล/แขวง (ชื่อ) อำเภอ/เขต (ชื่อ) จังหวัด (ชื่อ) เนื้อที่ (ไร่-งาน-ตารางวา) พร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะที่ข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย"
- ยานพาหนะ - "รถยนต์ยี่ห้อ (ยี่ห้อ) รุ่น (รุ่น) ปี (พ.ศ.) สี (สี) หมายเลขตัวถัง (หมายเลข) หมายเลขเครื่องยนต์ (หมายเลข) ทะเบียน (ทะเบียน) จังหวัด (จังหวัด)"
- ทรัพย์สินทางการเงิน - "เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคาร (ชื่อธนาคาร) สาขา (ชื่อสาขา) เลขที่บัญชี (เลขที่บัญชี) รวมทั้งดอกเบี้ยที่ค้างรับ"
การแสดงเจตนาและการปฏิเสธการบังคับ
การแสดงสภาพจิตใจและความสมัครใจ
การแสดงให้เห็นว่าการทำพินัยกรรมเป็นการกระทำโดยสมัครใจและมีสติสัมปชัญญะดีเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคาดว่าอาจมีการโต้แย้ง
"ข้าพเจ้าขอแสดงให้ทราบว่า ขณะที่ทำพินัยกรรมนี้ ข้าพเจ้ามีสุขภาพกายและใจที่สมบูรณ์ มีสติสัมปชัญญะดี และสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ การทำพินัยกรรมนี้เป็นความปรารถนาแท้จริงของข้าพเจ้า โดยไม่มีบุคคลใดบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือชักจูงใจให้ทำแต่อย่างใด"
การอ้างอิงความรักและความผูกพัน
การแสดงเหตุผลที่เป็นบวกในการยกทรัพย์สินจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ
"การยกทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่คู่สมรสของข้าพเจ้าเป็นการแสดงออกถึงความรักความผูกพัน และความซาบซึ้งในการที่เราได้ร่วมชีวิตกันมาอย่างมีความสุข รวมทั้งเป็นการมั่นใจในความสามารถของท่านที่จะนำทรัพย์สินเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม"
การจัดการกับสถานการณ์ที่ซับซ้อน
การกำหนดเงื่อนไขสำรอง
การมีแผนสำรองสำหรับสถานการณ์ต่างๆ จะช่วยป้องกันปัญหาในอนาคต:
"หากคู่สมรสของข้าพเจ้าถึงแก่ความตายก่อนข้าพเจ้า หรือถึงแก่ความตายพร้อมกับข้าพเจ้า หรือภายใน 30 วันหลังจากข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย ให้ยกทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้นให้แก่ (ชื่อผู้รับสำรอง) ซึ่งเป็น (ความสัมพันธ์)"
การจัดการกับทรัพย์สินที่มีลักษณะพิเศษ
สำหรับทรัพย์สินที่มีความซับซ้อน เช่น ธุรกิจ หุ้น หรือทรัพย์สินทางปัญญา ควรมีการกำหนดแนวทางการจัดการ:
"สำหรับหุ้นในบริษัท (ชื่อบริษัท) จำนวน (จำนวนหุ้น) หุ้น ให้ผู้รับพินัยกรรมมีสิทธิตัดสินใจในการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับหุ้นดังกล่าว รวมทั้งการขาย การรับเงินปันผล หรือการใช้สิทธิออกเสียงในฐานะผู้ถือหุ้น"
👉 ต้องการทำพินัยกรรมที่รัดกุม บังคับใช้ตามกฎหมาย? ปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญที่ Legardy เพื่อขั้นตอนที่ถูกต้องและปกป้องสิทธิ์ของทุกฝ่าย
การรับบุตรบุญธรรมและสิทธิทายาท

สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน การมีบุตรผ่านบุญธรรมหรือเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ไม่ได้เป็นแค่เรื่องการสร้างครอบครัว แต่เป็นการตัดสินใจที่มีผลกระทบลึกซึ้งต่อการวางแผนมรดก
หลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ คู่สมรสเพศเดียวกันได้รับสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกันตาม มาตรา 1598/10 ที่แก้ไขใหม่ ทำให้การวางแผนครอบครัวมีความซับซ้อนทางกฎหมายเพิ่มขึ้น แต่ก็เปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับลูก
การเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้คุณวางแผนทั้งการสร้างครอบครัวและการจัดการมรดกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิการรับมรดก การออกแบบพินัยกรรม และการจัดการภาษี
สถานะบุตรบุญธรรมต่อสิทธิรับมรดก
หลักการความเท่าเทียมของบุตรบุญธรรม
ตาม มาตรา 1598/39 ตามกฎหมายไทย บุตรบุญธรรมที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องจะมีสิทธิและหน้าที่เสมือนบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายทุกประการ โดยเฉพาะสิทธิในการรับมรดกจากบิดามารดาบุญธรรม และถือเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่ 1
สิ่งที่น่าสนใจคือ บุตรบุญธรรมจะยังไม่เสียสิทธิในการรับมรดกจากพ่อแม่บังเกิดเกล้าและยังเป็นทายาทลำดับที่ 1 อยู่เหมือนเดิม เพียงแต่คู่สมรสที่เป็นบิดาหรือมารดาบุญธรรมจะไม่มีสิทธิได้รับมรดกจากบุตรบุญธรรมของตัวเองเท่านั้นครับ
ผลกระทบต่อการวางแผนมรดก
การมีบุตรบุญธรรมจะเปลี่ยนโครงสร้างการแบ่งมรดกอย่างสิ้นเชิง มาดูการเปรียบเทียบ:
ก่อนมีบุตรบุญธรรม
- คู่สมรสที่มีชีวิต: ได้มรดกตามสัดส่วนที่กำหนดใน มาตรา 1635
- ญาติฝ่ายอื่นๆ: อาจได้รับส่วนแบ่งตามลำดับทายาท
หลังมีบุตรบุญธรรม
- บุตรบุญธรรม: กลายเป็นทายาทลำดับที่ 1 ทันที
- คู่สมรสที่มีชีวิต: ได้ส่วนแบ่งเสมือนเป็นบุตรคนหนึ่ง
- ญาติอื่นๆ: ไม่ได้รับมรดกยกเว้นจะเป็นการรับมรดก "แทนที่" (เนื่องจากมีทายาทลำดับ 1)
กระบวนการศาลและเอกสารสำคัญ
การเข้าใจกระบวนการศาลและการเตรียมเอกสารที่ถูกต้องจะช่วยให้การจัดการมรดกของคู่สมรสเพศเดียวกันเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว
ยื่นคำร้องตั้งผู้จัดการมรดก: ขั้นตอนหลัก
เมื่อคู่สมรสเพศเดียวกันท่านหนึ่งถึงแก่ความตาย การดำเนินการทางกฎหมายเพื่อจัดการมรดกจะต้องเริ่มต้นด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อตั้งผู้จัดการมรดก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญและมีผลกระทบต่อการแจกจ่ายมรดกทั้งหมด
1.1 การเตรียมเอกสารเบื้องต้น
เอกสารที่จำเป็นสำหรับการยื่นคำร้องประกอบด้วย ใบมรณบัตรของผู้ตาย หนังสือรับรองการสมรสที่แสดงสถานะของคู่สมรสเพศเดียวกัน บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเบื้องต้น และเอกสารแสดงตัวตนของผู้ยื่นคำร้อง
สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกันที่จดทะเบียนสมรสใหม่ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ท่านจะต้องเตรียมเอกสารการสมรสที่ออกโดยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเอกสารประกอบที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตร่วมกัน
1.2 การกำหนดเขตอำนาจศาล
การยื่นคำร้องจะต้องยื่นต่อศาลจังหวัดในเขตที่ผู้ตายมีภูมิลำเนาหรือที่ทรัพย์สินส่วนใหญ่ตั้งอยู่ หากผู้ตายมีทรัพย์สินกระจายอยู่หลายจังหวัด การเลือกศาลที่เหมาะสมจะช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการ
1.3 ระยะเวลาการยื่นคำร้อง
ตามกฎหมาย คำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกจะต้องยื่นภายใน 1 เดือนนับจากวันที่ทราบการตาย หรือภายใน 3 เดือนนับจากวันตายหากมีเหตุสุดวิสัย การยื่นล่าช้าอาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการจัดการทรัพย์สินและการชำระหนี้
บัญชีทรัพย์สิน ประกาศหนังสือพิมพ์ และกำหนดคัดค้าน
2.1 การจัดทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
ผู้จัดการมรดกจะต้องจัดทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ครบถ้วนภายใน 3 เดือนนับจากวันที่ศาลแต่งตั้ง บัญชีนี้จะต้องระบุทรัพย์สินทุกประเภทพร้อมมูลค่า รวมทั้งหนี้สินและภาระผูกพันต่างๆ
สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน การแยกแยะระหว่างสินสมรสและสินส่วนตัวในบัญชีทรัพย์สินเป็นสิ่งสำคัญเป็นพิเศษ เพราะจะมีผลต่อการคำนวณส่วนแบ่งมรดกที่ถูกต้อง
2.2 การประกาศในหนังสือพิมพ์
ภายใน 15 วันนับจากวันที่ศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก จะต้องมีการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย 1 ฉบับ เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน เพื่อแจ้งให้เจ้าหนี้และผู้มีสิทธิ์เรียกร้องมายื่นหลักฐานการเรียกร้อง
การประกาศนี้เป็นกระบวนการที่มีผลทางกฎหมายสำคัญ เพราะหากเจ้าหนี้ไม่มายื่นการเรียกร้องภายในกำหนด จะสูญเสียสิทธิ์ในการเรียกร้องจากมรดก
2.3 กำหนดเวลาคัดค้านและการพิจารณา
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถยื่นคำคัดค้านการตั้งผู้จัดการมรดกหรือบัญชีทรัพย์สินได้ภายใน 1 เดือนนับจากวันประกาศ สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน การคัดค้านอาจมาจากครอบครัวที่ไม่ยอมรับสถานะการสมรส ดังนั้นการเตรียมหลักฐานที่แสดงความชอบธรรมของการสมรสจึงมีความสำคัญ
อุทธรณ์/เพิกถอน/เปลี่ยนผู้จัดการมรดก
3.1 สิทธิในการอุทธรณ์
ผู้ที่ไม่พอใจคำสั่งของศาลเกี่ยวกับการตั้งผู้จัดการมรดกสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 1 เดือนนับจากวันที่ได้รับคำสั่ง การอุทธรณ์จะต้องมีเหตุผลสมควรและหลักฐานประกอบที่ชัดเจน
สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน หากมีการอุทธรณ์จากครอบครัวฝ่ายผู้ตาย ท่านจะต้องเตรียมหลักฐานแสดงสถานะการสมรสและความสัมพันธ์ที่แท้จริงเพื่อต่อสู้คดี
3.2 การเพิกถอนผู้จัดการมรดก
ศาลสามารถเพิกถอนผู้จัดการมรดกได้หากปรากฏว่าบุคคลนั้นประพฤติมิชอบ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ หรือมีเหตุอื่นที่ทำให้ไม่เหมาะสมต่อการดำรงตำแหน่ง การเพิกถอนอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากคำร้องของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือโดยศาลเห็นสมควรเอง
3.3 การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการมรดก
ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกลาออก เสียชีวิต หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ศาลจะต้องแต่งตั้งผู้จัดการมรดกคนใหม่ การมีผู้จัดการมรดกสำรองที่ระบุไว้ในพินัยกรรมจะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น
👉 ต้องคำแนะนำเรื่องการรับบุตรบุญธรรมในแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด? ปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญที่ Legardy
13 คำถามที่พบบ่อยเรื่องมรดกสมรสเท่าเทียม

Q: คู่สมรสเพศเดียวกันมีสิทธิรับมรดกเท่าเทียมกับคู่สมรสต่างเพศหรือไม่?
คำตอบ: ใช่ครับ มีสิทธิเท่าเทียมกันทุกประการตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ตาม มาตรา 1635 คู่สมรสจะได้รับส่วนแบ่งมรดกที่เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ หากมีบุตรจะได้เสมือนเป็นบุตรคนหนึ่ง หากไม่มีบุตรแต่มีบิดามารดาจะได้ครึ่งหนึ่ง และหากมีเฉพาะญาติไกลจะได้สองในสาม
Q: หากไม่ทำพินัยกรรม คู่สมรสเพศเดียวกันจะได้รับมรดกอย่างไร?
คำตอบ: มรดกจะแบ่งตามกฎหมายทายาทโดยธรรม โดยต้องแยกสินสมรสออกจากสินส่วนตัวก่อน สินสมรสจะแบ่งครึ่งให้คู่สมรสที่มีชีวิตโดยอัตโนมัติ ส่วนที่เหลือรวมกับสินส่วนตัวจะเป็นมรดกที่ต้องแบ่งตามกฎหมาย ตัวอย่างเช่น หากมีสินสมรส 8 ล้าน สินส่วนตัว 2 ล้าน และมีบุตร 1 คน คู่สมรสจะได้ 4 ล้านจากสินสมรส บวกอีก 3 ล้านจากมรดก รวม 7 ล้านบาท
Q: คู่ชีวิตที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสจะได้รับมรดกหรือไม่?
คำตอบ: ไม่ได้รับครับ กฎหมายไทยไม่รับรองสถาบันคู่ชีวิต มีเพียงการสมรสที่จดทะเบียนถูกต้องเท่านั้นที่จะให้สิทธิทายาท คู่ชีวิตที่ต้องการความคุ้มครองมีทางเลือกคือ จดทะเบียนสมรส ทำพินัยกรรม หรือโอนทรัพย์สินขณะมีชีวิต ความแตกต่างสำคัญคือภาษี คู่สมรสไม่เสียภาษีมรดกเลย เว้นแต่จะเป็นการแบ่งอย่างเจ้าของรวม
Q: การแต่งงานในต่างประเทศก่อนกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีผลย้อนหลังหรือไม่?
คำตอบ: สามารถขอรับรองในไทยได้และจะมีผลนับจากวันที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ต้องเตรียมเอกสารการสมรสจากต่างประเทศ แปลโดยนักแปลรับรอง และทำ Apostille หรือรับรองจากกงสุลไทย จากนั้นยื่นขอรับรองที่สำนักงานเขตหรืออำเภอในไทย ใช้เวลาประมาณ 30-60 วัน เมื่อได้รับการรับรองแล้ว สิทธิมรดกจะคำนวณตั้งแต่วันที่แต่งงานในต่างประเทศ
Q: การแบ่งสินสมรสและสินส่วนตัวทำอย่างไร?
คำตอบ: สินสมรสคือทรัพย์สินที่หาได้หลังแต่งงาน เช่น เงินเดือน ทรัพย์สินที่ซื้อด้วยเงินหลังแต่งงาน และผลประโยชน์จากสินส่วนตัว จะแบ่งครึ่งให้คู่สมรสโดยอัตโนมัติ สินส่วนตัวคือทรัพย์สินก่อนสมรส มรดกจากญาติ ของขวัญ และของหมั้น จะไม่แบ่งครึ่ง การเข้าใจการแยกนี้สำคัญมากเพราะส่งผลต่อจำนวนมรดกที่แท้จริง
Q: บุตรบุญธรรมของคู่สมรสเพศเดียวกันมีสิทธิรับมรดกอย่างไร?
คำตอบ: มีสิทธิเท่าเทียมกับบุตรโดยชอบทุกประการ จะเป็นทายาทลำดับที่ 1 เมื่อคู่สมรสรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน บุตรจะมีสิทธิรับมรดกจากทั้งสองฝ่าย แต่จะสูญเสียสิทธิรับมรดกจากครอบครัวเดิม การมีบุตรบุญธรรมจะเปลี่ยนโครงสร้างการแบ่งมรดกและทำให้ญาติลำดับอื่นสูญเสียสิทธิ
Q: คู่สมรสเพศเดียวกันควรทำพินัยกรรมหรือไม่?
คำตอบ: ควรทำครับ แม้จะมีสิทธิทายาทโดยธรรมแล้ว แต่พินัยกรรมช่วยป้องกันการโต้แย้งจากครอบครัว แสดงเจตนาอย่างชัดเจน และกำหนดผู้จัดการมรดก นอกจากนี้ยังช่วยจัดสรรทรัพย์สินเฉพาะ กำหนดเงื่อนไข และวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหากมีทรัพย์สินมูลค่าสูงหรือความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับครอบครัว
Q: ใครควรเป็นผู้จัดการมรดกสำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน?
คำตอบ: ควรเลือกคนที่มีความรู้ เป็นกลาง และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ตัวเลือกหลักคือ คู่สมรสที่มีชีวิต ทนายความผู้เชี่ยวชาญ หรือเพื่อนที่เชื่อถือ แต่ละตัวเลือกมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ควรแต่งตั้งทั้งผู้จัดการหลักและสำรอง กำหนดค่าตอบแทนที่ยุติธรรม และระบุอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจน
Q: เอกสารอะไรที่คู่สมรสเพศเดียวกันต้องเตรียมไว้?
คำตอบ: เอกสารแบ่งเป็น 3 หมวด คือ เอกสารสถานะบุคคล ได้แก่ หนังสือรับรองการสมรส บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เอกสารทรัพย์สิน ได้แก่ โฉนดที่ดิน สมุดบัญชี กรมธรรม์ประกัน และเอกสารทางกฎหมาย ได้แก่ พินัยกรรม สัญญาต่างๆ การเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบจะช่วยให้การจัดการมรดกเป็นไปอย่างราบรื่น
Q: ครอบครัวไม่ยอมรับความสัมพันธ์และขัดขวางการรับมรดก จะทำอย่างไร?
คำตอบ: ต้องเตรียมหลักฐานความสัมพันธ์ล่วงหน้า เช่น รูปถ่ายการใช้ชีวิตร่วมกัน การตัดสินใจทางการเงินร่วมกัน หลักฐานการดูแลกันในยามเจ็บป่วย และพยานที่เข้าใจความสัมพันธ์ ทางกฎหมายควรทำพินัยกรรมที่มีรายละเอียดชัดเจน บันทึกวิดีโอแสดงเจตนา และใช้ทนายความที่มีประสบการณ์ หากเกิดข้อพิพาท ให้พยายามไกล่เกลี่ยก่อน หากไม่ได้ผลต้องเตรียมพร้อมต่อสู้ทางกฎหมาย
Q: การทำพินัยกรรมสำหรับคู่สมรสเพศเดียวกันต้องระวังอะไร?
คำตอบ: ต้องระบุตัวบุคคลอย่างชัดเจน ใช้ชื่อ-นามสกุลเต็ม เลขประชาชน และระบุสถานะการสมรส ห้ามใช้คำคลุมเครือเช่น "คู่ชีวิต" ต้องเลือกพยานที่เข้าใจและยอมรับความสัมพันธ์ ไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้ง และพร้อมให้ปากคำในศาล ควรแสดงเจตนาที่ชัดเจน ระบุเหตุผลในการยกทรัพย์สิน และยืนยันความสมัครใจ
Q: การโอนทรัพย์สินระหว่างมีชีวิตและการให้มรดกต่างกันอย่างไร?
คำตอบ: การโอนขณะมีชีวิตคู่สมรสเสียภาษี 5% เฉพาะส่วนเกิน 20 ล้านบาทต่อปี แต่สูญเสียการควบคุมทันที การให้มรดกคู่สมรสไม่เสียภาษีเลย แต่ยังควบคุมทรัพย์สินได้จนกว่าจะเสียชีวิต กลยุทธ์ที่ดีคือผสมผสานทั้งสองวิธี โอนทรัพย์สินบางส่วนขณะมีชีวิต และเก็บส่วนที่เหลือไว้เป็นมรดก
Q: มีข้อแนะนำอะไรสำหรับการวางแผนมรดกอย่างมีประสิทธิภาพ?
คำตอบ: เริ่มด้วยการประเมินสถานการณ์และจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้อง จัดทำพินัยกรรมและแต่งตั้งผู้จัดการมรดก อัปเดตเอกสารต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานะใหม่ สร้างหลักฐานความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง และทบทวนแผนทุก 3-5 ปี หรือเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น การมีบุตร การเปลี่ยนแปลงทรัพย์สิน หรือการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้การวางแผนมีประสิทธิภาพสูงสุด
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








