965-1.png
เผยแพร่เมื่อ: 2024-03-14

การฉ้อโกงเป็นปัญหาอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่รูปแบบการฉ้อโกงได้พัฒนาและซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ประชาชนต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการฉ้อโกงอย่างถ่องแท้ เพื่อป้องกันตนเองและคนรอบข้างจากมิจฉาชีพ

ความหมายและพื้นฐานของการฉ้อโกง

การฉ้อโกงคืออะไร?

การฉ้อโกงในความหมายทั่วไป คือการหลอกลวงผู้อื่นโดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอก เพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากบุคคลที่หลงเชื่อ โดยผู้กระทำมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก การฉ้อโกงสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การหลอกลวงในชีวิตประจำวัน เช่น Call Center ,Romance scam ไปจนถึงการฉ้อโกงผ่านระบบออนไลน์ที่มีความซับซ้อน เช่น เพจปลอม , 

ความหมายตามกฎหมายและประมวลกฎหมายอาญา

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ได้ให้คำนิยามของการฉ้อโกงไว้ว่า "ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง"

องค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมาย ประกอบด้วย

  1. มีการกระทำโดยทุจริต
  2. มีการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดข้อความจริง
  3. ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากการหลอกลวงนั้น

ความสำคัญของการเข้าใจการฉ้อโกง

การเข้าใจเรื่องการฉ้อโกงมีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน เนื่องจากมิจฉาชีพมีวิธีการหลอกลวงที่ซับซ้อนและแนบเนียนมากขึ้น โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่การตรวจสอบตัวตนที่แท้จริงทำได้ยาก การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการฉ้อโกงจะช่วยให้ประชาชนสามารถเรียนรู้วิธีและความเสี่ยงได้

  1. ตระหนักถึงความเสี่ยง การรู้เท่าทันรูปแบบการฉ้อโกงต่างๆ ช่วยให้เราสามารถระมัดระวังและป้องกันตนเองได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องทำธุรกรรมทางการเงินหรือติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จัก
  2. รู้วิธีการป้องกัน เมื่อเข้าใจวิธีการและรูปแบบการฉ้อโกง เราจะสามารถวางแผนและกำหนดมาตรการป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม เช่น การตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบก่อนโอนเงิน หรือการไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลที่ไม่รู้จัก
  3. ทราบสิทธิตามกฎหมาย การเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงจะช่วยให้ประชาชนทราบถึงสิทธิของตนเองเมื่อตกเป็นเหยื่อ และรู้ว่าควรดำเนินการอย่างไรเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341-348

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานฉ้อโกงในประเทศไทยได้ถูกบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา โดยมีมาตราสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้

 

มาตรา 341 เป็นมาตราหลักที่กำหนดองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงพื้นฐาน กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยต้องมีองค์ประกอบครบถ้วนคือ การกระทำโดยทุจริต การหลอกลวง และการได้ไปซึ่งทรัพย์สิน

 

มาตรา 342 ระบุถึงการฉ้อโกงในกรณีที่ผู้กระทำแสดงตนเป็นคนอื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมักพบในกรณีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือพนักงานธนาคาร

 

มาตรา 343 ว่าด้วยการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนจำนวนมากให้หลงเชื่อเพื่อประโยชน์ทางการค้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

มาตรา 344 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ประกอบการงานอย่างใด ๆ ให้แก่ตนหรือให้แก่บุคคลที่สาม โดยจะไม่ใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้นต่ำกว่าที่ตกลงกัน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

โทษทางกฎหมายสำหรับการฉ้อโกง

โทษของการฉ้อโกงจะแตกต่างกันตามความร้ายแรงของการกระทำและลักษณะของความผิด โดยสามารถแบ่งระดับความรุนแรงของโทษได้ดังนี้

  • การฉ้อโกงทั่วไป ตามมาตรา 341 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • การฉ้อโกงที่มีเหตุฉกรรจ์ เช่น การแอบอ้างเป็นผู้อื่น หรือฉ้อโกงประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • การฉ้อโกงที่กระทำต่อประชาชน หรือก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง อาจมีโทษหนักขึ้นตามดุลยพินิจของศาล

 

ข้อแตกต่างระหว่างการฉ้อโกงและความผิดทางกฎหมายอื่น ๆ

การฉ้อโกงมีความแตกต่างจากความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ดังนี้

 

  • ความแตกต่างจากความผิดฐานลักทรัพย์ การฉ้อโกงผู้เสียหายจะยินยอมส่งมอบทรัพย์สินให้คนร้ายเอง แต่เป็นการยินยอมที่เกิดจากการถูกหลอกลวง ในขณะที่การลักทรัพย์เป็นการเอาทรัพย์ไปโดยไม่ได้รับความยินยอม
  • ความแตกต่างจากความผิดฐานยักยอก การยักยอกเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์สินที่ผู้อื่นมอบให้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การฉ้อโกงเป็นการได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยการหลอกลวงตั้งแต่แรก
  • ความแตกต่างจากความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน การฉ้อโกงทั่วไปมักมีผู้เสียหายจำนวนจำกัด แต่การฉ้อโกงประชาชนมีผู้เสียหายจำนวนมากและมักเกี่ยวข้องกับการชักชวนให้ร่วมลงทุนหรือธุรกิจที่หลอกลวง

 

ประเภทของการฉ้อโกง

การฉ้อโกงประชาชน

การฉ้อโกงประชาชนเป็นรูปแบบการฉ้อโกงที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 กำหนดว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนด้วยการโฆษณาหรือการชักชวนเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน มักพบในรูปแบบต่างๆ เช่น แชร์ลูกโซ่ การระดมทุนปลอม หรือการหลอกขายสินค้าที่ไม่มีอยู่จริง

ตัวอย่างที่พบบ่อยคือการชักชวนให้ลงทุนโดยสัญญาว่าจะได้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ เช่น กรณีแชร์ลูกโซ่ที่มีการจ่ายผลตอบแทนให้สมาชิกเก่าด้วยเงินของสมาชิกใหม่ เมื่อไม่สามารถหาสมาชิกใหม่ได้เพียงพอ ระบบก็จะล้ม ทำให้สมาชิกส่วนใหญ่สูญเสียเงินลงทุน

การฉ้อโกงในที่ทำงาน

การฉ้อโกงในที่ทำงานมักเกิดจากการใช้ตำแหน่งหน้าที่หรือความไว้วางใจในการหลอกลวงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เช่น การปลอมแปลงเอกสารเบิกจ่าย การสร้างค่าใช้จ่ายปลอม หรือการนำทรัพย์สินบริษัทไปใช้ส่วนตัว โดยมักอาศัยความรู้เกี่ยวกับระบบภายในและการเข้าถึงเอกสารสำคัญ

กรณีที่พบบ่อยคือการทำบัญชีซ้ำซ้อน การเบิกค่าใช้จ่ายเกินจริง หรือการสร้างพนักงานปลอมเพื่อเบิกเงินเดือน ซึ่งการกระทำเหล่านี้นอกจากจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว ยังอาจเข้าข่ายความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารและยักยอกทรัพย์อีกด้วย

การฉ้อโกงทางดิจิทัล (ออนไลน์)

การฉ้อโกงทางดิจิทัลเป็นรูปแบบที่พบมากขึ้นในปัจจุบัน มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยีและช่องทางออนไลน์ในการหลอกลวงเหยื่อ โดยมีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น

  • การแอบอ้างเป็นเว็บไซต์ธนาคาร (Phishing) เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวและรหัสผ่าน มิจฉาชีพจะส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากธนาคารจริง พร้อมลิงก์ปลอมที่นำไปสู่หน้าเว็บไซต์ที่เลียนแบบเว็บไซต์ธนาคาร
  • การหลอกขายสินค้าผ่านร้านค้าออนไลน์ปลอม โดยใช้รูปภาพสินค้าจากที่อื่น ตั้งราคาถูกผิดปกติเพื่อล่อใจ เมื่อมีผู้โอนเงินแล้วก็จะปิดร้านหนีไป มักใช้บัญชีม้าในการรับโอนเงิน
  • การหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น การแอบอ้างเป็นคนรู้จัก การสร้างโปรไฟล์ปลอมเพื่อหลอกให้โอนเงิน หรือการหลอกให้ร่วมลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง

โดยในปัจจุบัน การฉ้อโกงทางดิจิทัลมีความซับซ้อนมากขึ้น มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การปลอมแปลงเสียง (Voice Deepfake) หรือการใช้ AI สร้างข้อความที่น่าเชื่อถือ ทำให้การป้องกันและตรวจสอบทำได้ยากขึ้น

 

กระบวนการดำเนินคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกง

ขั้นตอนการแจ้งความและรวบรวมหลักฐาน

เมื่อตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกง ผู้เสียหายควรดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายโดยเร็วที่สุด เริ่มจากการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น หลักฐานการโอนเงิน ภาพถ่ายหน้าจอการสนทนา เอกสารที่เกี่ยวข้อง หรือพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์

การแจ้งความดำเนินคดีสามารถทำได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่ที่เกิดเหตุ หรือท้องที่ที่ผู้เสียหายพำนักอาศัย สำหรับกรณีฉ้อโกงออนไลน์ สามารถแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) หรือผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในการแจ้งความ ผู้เสียหายควรเตรียม

  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • หลักฐานการโอนเงินหรือการทำธุรกรรม
  • หลักฐานการติดต่อสื่อสารกับผู้กระทำความผิด
  • ข้อมูลบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง
  • พยานหลักฐานอื่นๆ ที่แสดงถึงการถูกหลอกลวง

สิทธิของผู้เสียหายในกระบวนการยุติธรรม

ผู้เสียหายในคดีฉ้อโกงมีสิทธิตามกฎหมายหลายประการ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะ

  • เรียกค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญา
  • ขอให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม
  • ตรวจดูสำนวนการสอบสวนก่อนที่พนักงานอัยการจะมีคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง
  • อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น

นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังมีสิทธิได้รับความคุ้มครองในฐานะพยานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 หากการให้ปากคำอาจทำให้ตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดได้รับอันตราย

การไกล่เกลี่ยและการยอมความในคดีฉ้อโกง

คดีฉ้อโกงเป็นความผิดอาญาแผ่นดินที่ยอมความได้ จึงสามารถใช้วิธีการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทได้ โดยมีช่องทางดังนี้

การไกล่เกลี่ยชั้นพนักงานสอบสวน เมื่อผู้เสียหายแจ้งความแล้ว หากผู้ต้องหายินยอมชดใช้ค่าเสียหาย และผู้เสียหายพอใจในการชดใช้ สามารถยอมความกันได้ที่สถานีตำรวจ

การไกล่เกลี่ยที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท สำนักงานอัยการสูงสุดมีศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ให้บริการประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย มีผู้ไกล่เกลี่ยที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ

การไกล่เกลี่ยในชั้นศาล แม้คดีจะขึ้นสู่ศาลแล้ว หากทั้งสองฝ่ายประสงค์จะยอมความกัน ศาลจะจัดให้มีการไกล่เกลี่ยโดยผู้พิพากษาหรือผู้ไกล่เกลี่ยที่ขึ้นทะเบียนกับศาล

 

 

บทลงโทษสำหรับการฉ้อโกง

โทษจำคุกและค่าปรับ

บทลงโทษสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงมีความแตกต่างกันตามลักษณะและความร้ายแรงของการกระทำผิด โดยพิจารณาจากประมวลกฎหมายอาญาดังนี้

มาตรา 341 การฉ้อโกงทั่วไป มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การฉ้อโกงประเภทนี้เป็นกรณีที่มิจฉาชีพหลอกลวงผู้เสียหายรายเดียวหรือจำนวนน้อย

มาตรา 343 การฉ้อโกงประชาชน มีโทษตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โทษจะหนักขึ้นเนื่องจากส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง

มาตรา 344 การฉ้อโกงโดยหลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ประกอบการงานอย่างใด ๆ ให้แก่ตนหรือให้แก่บุคคลที่สาม มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี  หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ศาลยังพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบการกำหนดโทษ เช่น

  • จำนวนเงินหรือมูลค่าความเสียหาย
  • จำนวนผู้เสียหาย
  • วิธีการและความซับซ้อนในการหลอกลวง
  • ประวัติการกระทำความผิด
  • การให้ความร่วมมือในการดำเนินคดี

กรณีตัวอย่างของบทลงโทษที่เคยเกิดขึ้น

กรณีแชร์ลูกโซ่ ผู้ต้องหาชักชวนประชาชนลงทุนในธุรกิจปลอม สัญญาว่าจะได้ผลตอบแทนสูง มีผู้เสียหายกว่า 100 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 50 ล้านบาท ศาลพิพากษาจำคุก 20 ปี โดยไม่รอลงอาญา

กรณีฉ้อโกงผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงิน มูลค่าความเสียหาย 500,000 บาท ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาท

กรณีฉ้อโกงการซื้อขายออนไลน์ ผู้ต้องหาสร้างร้านค้าปลอมในโซเชียลมีเดีย หลอกขายสินค้าราคาถูก มีผู้เสียหายกว่า 50 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 2 ล้านบาท ศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี ปรับ 100,000 บาท

ในทุกกรณี นอกจากโทษทางอาญาแล้ว ศาลยังมีคำสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง และอาจมีการริบทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดด้วย

 

วิธีป้องกันการตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกง

วิธีสังเกตลักษณะของการฉ้อโกง

การฉ้อโกงในปัจจุบันมีรูปแบบที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น แต่มักมีสัญญาณเตือนที่สังเกตได้ดังนี้

  • ข้อเสนอที่ดีเกินจริง เช่น ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงผิดปกติ สินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก หรือการได้รับรางวัลโดยที่ไม่ได้ร่วมกิจกรรมใดๆ ตามหลักที่ว่า "ถ้าดูดีเกินจริง มักไม่จริงอย่างที่ดู"
  • การเร่งรัดการตัดสินใจ มิจฉาชีพมักสร้างความกดดันให้ต้องตัดสินใจเร็วๆ โดยอ้างว่าเป็นข้อเสนอพิเศษที่มีเวลาจำกัด หรือสร้างความกลัวว่าจะเสียโอกาส เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายมีเวลาตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบ
  • การขอข้อมูลส่วนตัวที่ไม่จำเป็น เช่น รหัส OTP หมายเลขบัตรเครดิต หรือรหัสผ่านต่างๆ โดยเฉพาะการอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือหน่วยงานราชการ

แนวทางการป้องกันการฉ้อโกงในชีวิตประจำวัน

การป้องกันตนเองจากการฉ้อโกงในชีวิตประจำวันสามารถทำได้โดยยึดหลักสำคัญดังนี้

  • ตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้าน ก่อนตัดสินใจลงทุนหรือทำธุรกรรมใดๆ ควรหาข้อมูลจากหลายแหล่ง ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคู่กรณี และปรึกษาผู้รู้หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • ไม่หลงเชื่อข้อเสนอที่ดีเกินจริง โดยเฉพาะการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ หรือธุรกิจที่รวยได้ในระยะเวลาอันสั้น ควรยึดหลัก "ไม่มีทางลัดสู่ความร่ำรวย"
  • เก็บหลักฐานการติดต่อและการทำธุรกรรมทุกครั้ง รวมถึงการบันทึกข้อมูลการติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์ และรายละเอียดการโอนเงิน เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดปัญหา

เทคนิคป้องกันการฉ้อโกงออนไลน์

ในยุคดิจิทัล การฉ้อโกงออนไลน์เป็นภัยที่ต้องระวังเป็นพิเศษ โดยมีเทคนิคการป้องกันดังนี้

  • การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลสำคัญทางการเงินหรือรหัสผ่านต่างๆ ในโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ และควรเปลี่ยนรหัสผ่านอย่างสม่ำเสมอ
  • การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ สังเกต URL ให้ถูกต้อง โดยเฉพาะเว็บไซต์ธนาคารหรือร้านค้าออนไลน์ และควรใช้การชำระเงินผ่านระบบที่มีความปลอดภัย
  • การระมัดระวังการคลิกลิงก์ โดยเฉพาะจากอีเมลหรือข้อความที่ไม่ได้คาดหวัง แม้จะดูเหมือนมาจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ ควรเข้าเว็บไซต์โดยตรงแทนการคลิกลิงก์

 

กรณีตัวอย่างของการฉ้อโกง

การฉ้อโกงเงินผ่านแอปพลิเคชัน

ปัจจุบันการฉ้อโกงผ่านแอปพลิเคชันธนาคารเป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก โดยมีรูปแบบที่พบบ่อยคือการที่มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร โทรมาแจ้งว่าบัญชีมีปัญหาหรือถูกโจรกรรม จากนั้นจะหลอกให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ใช้ในการเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์ หรือหลอกให้แจ้งรหัส OTP ทำให้สามารถเข้าถึงบัญชีและโอนเงินออกไปได้

การฉ้อโกงในธุรกิจแบบ MLM

การฉ้อโกงในรูปแบบ MLM (Multi-Level Marketing) มักแอบแฝงมาในรูปแบบของธุรกิจที่ถูกกฎหมาย แต่มีการดำเนินการในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยเน้นการชักชวนสมาชิกใหม่มากกว่าการขายสินค้าจริง มีการสัญญาถึงผลตอบแทนที่สูงผิดปกติ

คดีฉ้อโกงที่ได้รับความสนใจในประเทศไทย

  • คดีฉ้อโกงขายหน้ากากอนามัยช่วงโควิด-19 เป็นกรณีที่มิจฉาชีพสร้างเว็บไซต์ปลอมขายหน้ากากอนามัยในราคาถูก ใช้ชื่อบริษัทที่มีตัวตนจริงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ มีการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง เมื่อมีผู้โอนเงินแล้วก็ปิดเว็บไซต์หนีไป มีผู้เสียหายกว่า 500 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 5 ล้านบาท
  • คดีแชร์ล็อตเตอรี่ออนไลน์ เป็นการหลอกให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนซื้อล็อตเตอรี่จำนวนมากโดยสัญญาว่าจะได้ส่วนแบ่งกำไร แต่เมื่อถึงเวลาจ่ายผลตอบแทนกลับหายตัวไป มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 10 ล้านบาท

คดีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ามิจฉาชีพมักใช้สถานการณ์หรือกระแสสังคมในการหลอกลวง และมักมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียในการสร้างความน่าเชื่อถือและเข้าถึงผู้เสียหายจำนวนมาก

 

การฉ้อโกงในยุคดิจิทัล

วิธีป้องกันภัยจากการฉ้อโกงออนไลน์

การฉ้อโกงในยุคดิจิทัลมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยมิจฉาชีพใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการหลอกลวง ระบบป้องกันที่สำคัญที่สุดคือความระมัดระวังของผู้ใช้งานเอง โดยควรปฏิบัติดังนี้

  1. การยืนยันตัวตนสองชั้น (Two-Factor Authentication) เป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับบัญชีออนไลน์ โดยนอกจากการใส่รหัสผ่านแล้ว ยังต้องยืนยันตัวตนผ่านช่องทางที่สองเช่น SMS หรือแอปพลิเคชันยืนยันตัวตน
  2. การใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัย ควรใช้รหัสผ่านที่ยาวและซับซ้อน ประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ ไม่ควรใช้รหัสผ่านเดียวกันสำหรับหลายบัญชี และควรเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ
  3. การตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์ สังเกตสัญลักษณ์ความปลอดภัย เช่น เครื่องหมายกุญแจล็อคและ https// ในที่อยู่เว็บไซต์ โดยเฉพาะเมื่อต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงิน

กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคทางออนไลน์

พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในการทำธุรกรรมออนไลน์ โดยผู้ประกอบการต้องแสดงข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสินค้าและบริการ รวมถึงเงื่อนไขการซื้อขาย

พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในการทำธุรกรรมออนไลน์

บทบาทของเทคโนโลยีในการป้องกันการฉ้อโกง

ธนาคารและสถาบันการเงินได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการป้องกันการฉ้อโกง เช่น 

ระบบตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ (Fraud Detection System) ใช้ AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้า หากพบความผิดปกติจะแจ้งเตือนและระงับการทำธุรกรรมทันที

ระบบยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (Biometric Authentication) เช่น การสแกนลายนิ้วมือ การสแกนใบหน้า หรือการจดจำเสียง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงบัญชีและทำธุรกรรม

เทคโนโลยี Blockchain ถูกนำมาใช้ในการสร้างระบบการชำระเงินที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลงเอกสารหรือการทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต

 

วิธีตรวจสอบบัญชีม้าและบัญชีต้องสงสัย

ลักษณะของบัญชีม้าที่ควรระวัง

บัญชีม้าเป็นบัญชีธนาคารที่ถูกนำมาใช้ในการรับโอนเงินจากการฉ้อโกง โดยส่วนใหญ่เป็นบัญชีที่ถูกเปิดโดยใช้ชื่อบุคคลอื่น หรือเป็นบัญชีที่ถูกซื้อมาจากผู้ที่ยอมให้ใช้บัญชีของตน ลักษณะที่น่าสงสัยของบัญชีม้ามีดังนี้  

เป็นบัญชีที่มีการรับโอนเงินจากหลายแหล่งในระยะเวลาใกล้เคียงกัน และมีการถอนเงินออกทันทีหลังจากได้รับการโอน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติสำหรับบัญชีทั่วไป

บัญชีที่มีการทำธุรกรรมในพื้นที่ที่ห่างไกลจากที่อยู่ที่ระบุในการเปิดบัญชี หรือมีการทำธุรกรรมในหลายพื้นที่ในเวลาใกล้เคียงกัน

ขั้นตอนการตรวจสอบบัญชีธนาคารที่น่าสงสัย

ประชาชนสามารถตรวจสอบบัญชีที่น่าสงสัยได้ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้  

การตรวจสอบผ่านระบบของ ปปง. โดยสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อตรวจสอบรายชื่อบัญชีที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง

การตรวจสอบผ่านศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ซึ่งมีฐานข้อมูลบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์

ช่องทางการแจ้งเบาะแสบัญชีม้า

เมื่อพบบัญชีที่น่าสงสัยว่าเป็นบัญชีม้า สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่  

สายด่วน ปปง. 1710 เพื่อแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการฟอกเงินและบัญชีที่น่าสงสัย

ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) สายด่วน 1441 สำหรับกรณีการฉ้อโกงออนไลน์

ธนาคารเจ้าของบัญชีที่สงสัย โดยแจ้งผ่านศูนย์บริการลูกค้าของธนาคารนั้นๆ เพื่อให้ธนาคารตรวจสอบและดำเนินการตามมาตรการป้องกันการฉ้อโกง

การรายงานบัญชีต้องสงสัยถือเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้มีผู้เสียหายรายอื่นตกเป็นเหยื่อ และยังช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดได้รวดเร็วขึ้น

 

กลโกงและรูปแบบการหลอกลวงผ่านธนาคาร

เทคนิคการหลอกให้โอนเงินรูปแบบต่างๆ

มิจฉาชีพมักใช้เทคนิคทางจิตวิทยาในการหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงิน โดยรูปแบบที่พบบ่อยในปัจจุบันมีดังนี้

การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร มิจฉาชีพจะโทรศัพท์มาแจ้งว่าบัญชีมีปัญหาหรือมีการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหยื่อ จากนั้นจะอ้างว่าต้องทำการยืนยันตัวตนหรือแก้ไขปัญหาด่วน นำไปสู่การหลอกให้โอนเงินหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

การหลอกว่าได้รับรางวัล มักส่งข้อความหรือโทรมาแจ้งว่าถูกรางวัลจากการชิงโชค แต่ต้องโอนเงินค่าธรรมเนียมหรือภาษีก่อนรับรางวัล ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ความโลภของมนุษย์เป็นเครื่องมือ

การปลอมแปลงเอกสารธนาคาร

มิจฉาชีพมีวิธีการปลอมแปลงเอกสารธนาคารหลายรูปแบบ เช่น

การปลอมสลิปการโอนเงิน โดยใช้โปรแกรมแต่งภาพสร้างสลิปปลอมที่ดูเหมือนจริง มักใช้ในการหลอกขายสินค้าออนไลน์ โดยส่งสลิปปลอมให้ผู้ขายเพื่อให้ส่งสินค้า

การปลอมเว็บไซต์ธนาคาร สร้างหน้าเว็บไซต์ที่เหมือนของธนาคารจริง เพื่อหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัวและรหัสผ่าน ซึ่งจะนำไปสู่การเข้าถึงบัญชีของเหยื่อ

การแอบอ้างเป็นพนักงานธนาคาร

การแอบอ้างเป็นพนักงานธนาคารเป็นวิธีที่มิจฉาชีพนิยมใช้ โดยมีรูปแบบการหลอกลวงดังนี้  

การโทรศัพท์แจ้งเตือนธุรกรรมผิดปกติ มักอ้างว่ามีการโอนเงินจำนวนมากออกจากบัญชี และต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อระงับการทำรายการ

การขอให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน โดยอ้างว่าเป็นแอปพลิเคชันของธนาคารสำหรับแก้ไขปัญหา แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่ใช้ขโมยข้อมูล

การขอรหัส OTP อ้างว่าต้องใช้ในการยืนยันตัวตนหรือระงับธุรกรรม ซึ่งเมื่อได้รหัส OTP ไป มิจฉาชีพจะสามารถเข้าถึงบัญชีและโอนเงินออกไปได้

 

ระบบการตรวจสอบและเฝ้าระวังมิจฉาชีพ

ระบบฐานข้อมูลมิจฉาชีพของหน่วยงานรัฐ

ประเทศไทยมีระบบฐานข้อมูลกลางสำหรับตรวจสอบและเฝ้าระวังมิจฉาชีพ ดำเนินการโดยหน่วยงานต่างๆ ดังนี้  

สำนักงาน ปปง. มีระบบฐานข้อมูลธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย โดยรวบรวมข้อมูลจากสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้ในการติดตามเส้นทางการเงินของมิจฉาชีพ

กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) มีฐานข้อมูลคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงรายชื่อและประวัติของมิจฉาชีพที่กระทำความผิดซ้ำ

แพลตฟอร์มแจ้งเตือนภัยมิจฉาชีพออนไลน์

ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มสำหรับแจ้งเตือนภัยมิจฉาชีพหลายช่องทาง  

เว็บไซต์ ThaiPolice.go.th มีระบบแจ้งเตือนภัยอาชญากรรมออนไลน์ รวบรวมข้อมูลรูปแบบการหลอกลวงใหม่ๆ และวิธีการป้องกัน

แอปพลิเคชัน Police i lert u ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุและตรวจสอบข้อมูลมิจฉาชีพได้แบบเรียลไทม์

ความร่วมมือระหว่างธนาคารในการป้องกันมิจฉาชีพ

ธนาคารในประเทศไทยมีการร่วมมือกันในการป้องกันการฉ้อโกงหลายรูปแบบ  

ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีต้องสงสัย ธนาคารต่างๆ จะแชร์ข้อมูลบัญชีที่มีพฤติกรรมผิดปกติระหว่างกัน เพื่อป้องกันการใช้บัญชีม้าในการฉ้อโกง

มาตรการระงับการทำธุรกรรมที่น่าสงสัย เมื่อตรวจพบธุรกรรมที่ผิดปกติ ธนาคารจะระงับการทำธุรกรรมทันทีและตรวจสอบกับเจ้าของบัญชี

ระบบการแจ้งเตือนลูกค้า ธนาคารจะส่งข้อความแจ้งเตือนทันทีเมื่อมีการทำธุรกรรมในบัญชี และมีระบบตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติเพื่อป้องกันการฉ้อโกง

 

การเยียวยาผู้เสียหายจากการฉ้อโกง

สิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง

ผู้เสียหายจากการฉ้อโกงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งระบุว่าผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นเสียหาย ผู้นั้นต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยสามารถเรียกร้องได้ดังนี้

ค่าเสียหายที่เป็นตัวเงิน ได้แก่ มูลค่าทรัพย์สินที่ถูกฉ้อโกงไป รวมถึงดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาสทางการเงิน

ค่าเสียหายที่ไม่เป็นตัวเงิน เช่น ค่าเสียหายทางจิตใจ ความเครียด ความวิตกกังวล หรือผลกระทบต่อชื่อเสียง

การฟ้องร้องทางแพ่งสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับคดีอาญาได้ โดยยื่นคำร้องขอเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญา หรือแยกฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหาก

การขอความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม

กองทุนยุติธรรมจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี โดยผู้เสียหายจากการฉ้อโกงสามารถขอรับความช่วยเหลือได้ในด้านต่างๆ เช่น  

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เช่น ค่าทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่ายในการรวบรวมพยานหลักฐาน

การขอค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ เช่น ค่าพาหนะเดินทาง ค่าที่พัก ค่าตรวจพิสูจน์หลักฐาน

มาตรการช่วยเหลือจากธนาคารกรณีถูกฉ้อโกง

ธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกง ดังนี้

  • การระงับการทำธุรกรรมฉุกเฉิน ธนาคารสามารถระงับบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงได้ทันทีเมื่อได้รับแจ้ง เพื่อป้องกันการโอนเงินต่อไปยังบัญชีอื่น
  • การติดตามเส้นทางการเงิน ธนาคารจะช่วยตรวจสอบและติดตามเส้นทางการโอนเงิน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีและขอคืนเงิน
  • การออกเอกสารยืนยันการทำธุรกรรม เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการแจ้งความและดำเนินคดี

 

การรับมือกับมิจฉาชีพออนไลน์

รูปแบบการฉ้อโกงผ่านโซเชียลมีเดีย

ในยุคดิจิทัล โซเชียลมีเดียกลายเป็นช่องทางหลักที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวง โดยมีรูปแบบที่พบบ่อยดังนี้  

การแอบอ้างเป็นบุคคลที่รู้จัก โดยมิจฉาชีพจะแฮกบัญชีโซเชียลมีเดียหรือสร้างบัญชีปลอมเลียนแบบ แล้วส่งข้อความขอยืมเงินด่วน มักอ้างเหตุผลเร่งด่วนเพื่อให้โอนเงินทันที

การหลอกขายสินค้าราคาถูก มิจฉาชีพสร้างร้านค้าปลอมในโซเชียลมีเดีย ใช้รูปภาพสินค้าจากที่อื่น ตั้งราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก และมักอ้างว่ามีสินค้าจำนวนจำกัดเพื่อเร่งการตัดสินใจ

การหลอกลงทุนผ่านโซเชียลมีเดีย มีการโฆษณาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง มักใช้รูปภาพแสดงผลกำไรปลอม และมีการสร้างกลุ่มปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของร้านค้าออนไลน์

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของร้านค้าออนไลน์สามารถทำได้โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้  

ประวัติและความเป็นมาของร้านค้า ควรตรวจสอบว่าร้านค้ามีตัวตนจริง มีที่อยู่ชัดเจน และมีช่องทางการติดต่อที่สามารถตรวจสอบได้

รีวิวและความคิดเห็นจากลูกค้าจริง ตรวจสอบรีวิวจากหลายแหล่ง ไม่เชื่อเฉพาะรีวิวในเพจของร้านค้า และสังเกตว่ารีวิวเหล่านั้นเป็นของจริงหรือปลอม

ขั้นตอนการรับมือเมื่อพบการฉ้อโกงออนไลน์

เมื่อพบว่าตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกงออนไลน์ ควรดำเนินการดังนี้

  1. แจ้งระงับการทำธุรกรรมทันที โดยติดต่อธนาคารเพื่อระงับบัญชีหรือบัตรเครดิตที่ถูกฉ้อโกง
  2. เก็บหลักฐานทั้งหมด เช่น ภาพหน้าจอการสนทนา หลักฐานการโอนเงิน ข้อมูลบัญชีที่เกี่ยวข้อง
  3. แจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจหรือ ปอท. โดยนำหลักฐานทั้งหมดไปประกอบการแจ้งความ
  4. รายงานบัญชีและเพจที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงไปยังผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย เพื่อระงับการใช้งานและป้องกันไม่ให้มีผู้เสียหายเพิ่มเติม

 

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉ้อโกง

1.ฉ้อโกงคืออะไรในมุมมองของกฎหมาย?

การฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 คือการที่ผู้กระทำโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรบอก จนทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง

องค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานฉ้อโกง ได้แก่  

  • มีเจตนาทุจริต คือ ตั้งใจหลอกลวงเพื่อให้ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่ชอบ
  • มีการหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดความจริง
  • ได้ทรัพย์สินมาจากการหลอกลวงนั้น

2.การดำเนินคดีฉ้อโกงใช้เวลานานแค่ไหน?

การดำเนินคดีฉ้อโกงมีระยะเวลาแตกต่างกันไปตามความซับซ้อนของคดี โดยทั่วไปมีขั้นตอนและระยะเวลาดังนี้  

ขั้นตอนการสอบสวน ใช้เวลาประมาณ 2-6 เดือน ขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการรวบรวมพยานหลักฐาน และการติดตามตัวผู้กระทำความผิด

ขั้นตอนการพิจารณาคดีของศาล หากเป็นคดีไม่ซับซ้อน อาจใช้เวลา 6-12 เดือน แต่หากเป็นคดีที่มีความซับซ้อน มีผู้เสียหายจำนวนมาก หรือมีการอุทธรณ์ฎีกา อาจใช้เวลา 2-3 ปีหรือมากกว่านั้น

3.ฉ้อโกงออนไลน์ต้องแจ้งความที่ไหน?

การแจ้งความคดีฉ้อโกงออนไลน์สามารถดำเนินการได้หลายช่องทาง  

  1. กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)
  • สามารถแจ้งความผ่านเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com
  • โทรสายด่วน 1441
  • เดินทางไปแจ้งความที่สำนักงาน ปอท. โดยตรง
  1. สถานีตำรวจในพื้นที่
  • สามารถแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุ
  • หรือสถานีตำรวจในเขตที่ผู้เสียหายพักอาศัย
  1. ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • ผ่านแอปพลิเคชัน Police i lert u
  • เว็บไซต์รับแจ้งความออนไลน์

4.หากถูกฉ้อโกงแล้วสามารถขอเงินคืนได้หรือไม่?

การขอคืนเงินในกรณีถูกฉ้อโกงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย  

  • หากแจ้งธนาคารทันทีที่พบการฉ้อโกง มีโอกาสระงับการโอนเงินได้
  • กรณีเงินถูกโอนไปแล้ว ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายเพื่อติดตามทรัพย์สินคืน
  • ธนาคารอาจมีประกันคุ้มครองกรณีถูกฉ้อโกงผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร

5.มีวิธีตรวจสอบเบื้องต้นว่ากำลังจะถูกฉ้อโกงหรือไม่?

สัญญาณเตือนที่ควรระวังมีดังนี้

  • ข้อเสนอที่ดีเกินจริง ผลตอบแทนสูงผิดปกติ
  • การเร่งรัดให้ตัดสินใจ อ้างว่าเป็นโอกาสจำกัด
  • การขอข้อมูลส่วนตัวที่ไม่จำเป็น เช่น รหัส OTP
  • การติดต่อจากเบอร์หรือบัญชีที่ไม่เป็นทางการ

6.อายุความในคดีฉ้อโกงมีระยะเวลาเท่าไร?

คดีฉ้อโกงมีอายุความ 5 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการกระทำความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ดังนั้นควรรีบดำเนินการแจ้งความทันทีที่พบการฉ้อโกง

7.กรณีถูกฉ้อโกงต่างประเทศต้องทำอย่างไร?

กรณีถูกฉ้อโกงจากต่างประเทศ สามารถดำเนินการได้ดังนี้  

  • แจ้งความที่ ปอท. เพื่อประสานงานกับตำรวจสากล
  • แจ้งสถานทูตไทยในประเทศที่เกิดเหตุ
  • ติดต่อหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคระหว่างประเทศ

8.ถ้าให้เพื่อนยืมบัญชีแล้วถูกนำไปใช้ฉ้อโกงจะมีความผิดหรือไม่?

การให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคารของตนอาจมีความผิดได้  

  • อาจถูกดำเนินคดีในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
  • มีโทษตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
  • ธนาคารอาจระงับบัญชีและขึ้นบัญชีดำ

9.การฉ้อโกงมูลค่าเท่าไรถึงจะเป็นคดีอาญา?

การฉ้อโกงทุกกรณีถือเป็นคดีอาญา ไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใด แต่ความรุนแรงของโทษจะแตกต่างกันตามมูลค่าความเสียหายและพฤติการณ์แห่งคดี

10.การไกล่เกลี่ยคดีฉ้อโกงทำได้หรือไม่?

คดีฉ้อโกงเป็นความผิดอาญาแผ่นดินที่ยอมความได้ สามารถไกล่เกลี่ยได้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม โดยต้องมีการชดใช้ค่าเสียหายที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ

 

สรุปและข้อคิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง

การป้องกันดีกว่าการแก้ไข

การฉ้อโกงในปัจจุบันมีความซับซ้อนและเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อสังคม โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการหลอกลวง การป้องกันตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งประกอบด้วยหลักการสำคัญดังนี้

การศึกษาและทำความเข้าใจรูปแบบการฉ้อโกง   เมื่อเราเข้าใจวิธีการและรูปแบบการหลอกลวง จะช่วยให้เราสามารถระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการรู้เท่าทันกลโกงรูปแบบใหม่ๆ ที่มิจฉาชีพคิดค้นขึ้น

การสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน   การมีวินัยทางการเงินและความระมัดระวังในการทำธุรกรรม เช่น การตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบก่อนโอนเงิน การไม่หลงเชื่อข้อเสนอที่ดีเกินจริง จะช่วยป้องกันการสูญเสียทรัพย์สินจากการฉ้อโกง

ความรับผิดชอบของสังคมในการป้องกันการฉ้อโกง

การป้องกันการฉ้อโกงไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคม  

ภาครัฐ   มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย ปราบปรามมิจฉาชีพ และให้ความรู้แก่ประชาชน รวมถึงการพัฒนาระบบป้องกันและเฝ้าระวังการฉ้อโกงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถาบันการเงิน   ต้องพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง มีมาตรการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกง รวมถึงให้ความรู้แก่ลูกค้าในการใช้บริการอย่างปลอดภัย

ประชาชน   มีหน้าที่ในการระมัดระวังตนเอง ศึกษาหาความรู้ และแจ้งเบาะแสเมื่อพบการฉ้อโกง เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้มีผู้เสียหายรายอื่นตกเป็นเหยื่อ

ในท้ายที่สุด การฉ้อโกงเป็นปัญหาที่ทุกคนต้องร่วมมือกันป้องกันและแก้ไข การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง การระมัดระวังตนเอง และการช่วยเหลือแบ่งปันข้อมูลในสังคม จะช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายจากการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “
ติดต่อเราทาง LINE