
โดนโกงซื้อของออนไลน์ เป็นความผิดทางอาญาตามมาตรา 341, 343 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 สามารถแจ้งความออนไลน์ได้ทันที พร้อมฟ้องแพ่งเรียกเงินคืนและค่าเสียหาย
เมื่อคุณเป็นเหยื่อการหลอกลวงทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นโอนเงินแล้วไม่ส่งของ หรือสั่งของแล้วได้ไม่ตรงปก สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดทางอาญาที่มีบทลงโทษชัดเจนตามกฎหมายไทย ไม่ใช่เพียงแค่ข้อพิพาททางธรรมดา
ระบบกฎหมายไทยได้คุ้มครองผู้บริโภคจากมิจฉาชีพออนไลน์ไว้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะในยุคที่ฉ้อโกงออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าคดีโดนหลอกโอนเงินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่า 300% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
การทำความเข้าใจกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการแจ้งความโดนหลอกโอนเงิน และดำเนินคดีเรียกร้องความเป็นธรรม โดยเฉพาะการแยกแยะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นควรดำเนินคดีตามมาตราใด จะส่งผลโดยตรงต่อโทษที่ผู้กระทำผิดจะได้รับ และโอกาสในการได้เงินคืนของผู้เสียหาย
กฎหมายที่สามารถเอาผิดได้

มาตรา 341 ฉ้อโกงบุคคล
มาตรา 341 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดโดยทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงนั้นผู้อื่นได้ส่งทรัพย์สินแก่ตน หรือแก่บุคคลที่สาม หรือทำนิติกรรมใดๆ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเป็น “ความผิดอันยอมความได้” (ผู้เสียหายต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำผิด อ้างอิงตาม ป.วิ.อาญา ม.96)
เมื่อผู้ขายโพสต์รูปสินค้า พร้อมระบุคุณสมบัติและราคา จากนั้นขอให้ผู้ซื้อโอนเงินก่อนส่งของ แต่หลังจากได้เงินแล้วกลับไม่ส่งสินค้าตามที่ตกลงกันไว้ หรือหลอกให้โอนเงินแล้วหายไปโดยไม่ติดต่อกลับ การกระทำนี้ถือเป็นฉ้อโกงตามมาตรา 341
สำคัญที่ต้องเข้าใจคือ มาตรา 341 เป็นความผิดอันยอมความได้ หมายความว่าผู้เสียหายต้องแจ้งความโดนโกงออนไลน์ภายใน 3 เดือน อ้างอิงตาม ป.วิ.อาญา ม.96 นับแต่วันที่รู้เรื่องการกระทำผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด หากพ้นกำหนดเวลานี้ จะไม่สามารถดำเนินคดีอาญาได้
มาตรา 343 ฉ้อโกงประชาชน
กรณีที่มิจฉาชีพออนไลน์ทำการหลอกขายสินค้าออนไลน์โดยมีเจตนาโกงประชาชนเป็นจำนวนมาก เช่น การสร้างเพจปลอม อ้างขายสินค้าแบรนด์เนมราคาถูก หรือหลอกให้โอนเงินผ่านการโฆษณาที่เข้าถึงคนจำนวนมาก จะถูกดำเนินคดีตามมาตรา 343 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 343 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดทำการฉ้อโกงต่อประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
ข้อแตกต่างสำคัญจากมาตรา 341 คือ มาตรา 343 ไม่เป็นความผิดอันยอมความได้ หมายความว่าหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินคดีได้เองแม้ผู้เสียหายจะไม่แจ้งความโดนหลอกโอนเงินก็ตาม
การพิสูจน์ความผิดตามมาตรา 343 ต้องแสดงให้เห็นว่าผู้กระทำผิดมีเจตนาฉ้อโกงประชาชน โดยการกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องมีผู้เสียหายเฉพาะเจาะจง
สำหรับผู้ที่โดนหลอกซื้อของออนไลน์ในลักษณะนี้ การแจ้งความโดนโกงออนไลน์ตามมาตรา 343 จะมีโอกาสได้เงินคืนสูงกว่า เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะติดตามจับกุมผู้ต้องหาอย่างจริงจัง และมักจะมีผู้เสียหายรายอื่นๆ ร่วมกันเรียกร้อง ทำให้มีแรงกดดันต่อผู้กระทำผิดมากขึ้น
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาตรา 14
นอกจากประมวลกฎหมายอาญาแล้ว พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ยังเป็นอีกหนึ่งมาตราสำคัญที่ใช้จัดการกับการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยเฉพาะการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการหลอกให้โอนเงิน
มาตรา 14 บัญญัติไว้ว่า "โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่ น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวล กฎหมายอาญา
สำหรับกรณีโดนโกงซื้อของออนไลน์ ที่ผู้กระทำผิดสร้างเว็บไซต์ปลอม เพจโซเชียลมีเดียปลอม หรือใช้รูปภาพสินค้าปลอมเพื่อหลอกขายสินค้าออนไลน์ จะสามารถใช้มาตรา 14 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
ข้อดีของการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ในการแจ้งความโดนหลอกโอนเงิน ออนไลน์ คือ กฎหมายฉบับนี้ได้รับการออกแบบมาเฉพาะเพื่อจัดการกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ ทำให้เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือและอำนาจพิเศษในการสืบสวน เช่น การขออนุญาตศาลเพื่อตรวจสอบประวัติการใช้งานอินเทอร์เน็ต การติดตาม IP Address และการประสานงานกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
รูปแบบการโกงซื้อของออนไลน์ที่พบบ่อย

ซื้อของออนไลน์ ในปัจจุบันมีความสะดวกรวดเร็ว แต่มีร้านค้าที่ ไม่ตรงปก เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ โอนเงินแล้วไม่ส่งของ สั่งของแล้วได้ไม่ตรงปก ไปจนถึงการจำหน่ายสินค้าปลอมโดยอ้างเป็นของแท้
ในปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยนิยม ซื้อของออนไลน์ เนื่องจากความสะดวกรวดเร็วและไม่จำเป็นต้องเดินทางซื้อสินค้าให้เสียเวลา ผู้บริโภคสามารถเลือกดูสินค้าจากภาพถ่ายแล้วทำการสั่งซื้อได้โดยง่าย ส่งผลให้มีผู้ประกอบการเปิดร้านค้าผ่านทางแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โอนเงินแล้วไม่ส่งของ
รูปแบบ โอนเงินแล้วไม่ส่งของ เป็นปัญหาที่ผู้บริโภค โดนโกงซื้อของออนไลน์ มากที่สุด โดยร้านค้าจะสร้างความน่าเชื่อถือในช่วงแรกโดยมีรีวิวปลอมๆ หรือรีวิวหน้าม้า แล้วหายไปทันทีหลังจากได้รับเงิน ทำให้ผู้ซื้อ โดนหลอกโอนเงิน โดยไม่ได้รับสินค้าใดๆ
การโกงออนไลน์ ประเภทนี้คือการขอให้ลูกค้า โอนเงินก่อนส่งสินค้า โดยจะให้เหตุผลที่ดูสมเหตุสมผล เช่น ต้องสั่งสินค้าจากต่างประเทศ ต้องชำระค่าจัดส่งพิเศษ หรือมีโปรโมชั่นพิเศษที่ต้องโอนเงินภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งกลยุทธ์นี้มักจะทำให้ผู้ซื้อรู้สึกเร่งรีบและตัดสินใจ โอนเงิน โดยไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ
หลังจากที่ผู้บริโภคได้ทำการ โอนเงินไป แล้ว ร้านค้าจะเริ่มผัดผ่อนการส่ง เช่น การแจ้งว่าสินค้ากำลังอยู่ระหว่างการจัดส่ง การให้หมายเลขติดตามพัสดุที่ไม่มีอยู่จริง การอ้างว่ามีปัญหาด้านการจัดส่ง หรือการสร้างข้อแก้ตัวต่างๆ เพื่อให้ลูกค้ารอ จนกระทั่งในที่สุดจะหยุดตอบกลับและหายไปโดยสิ้นเชิง
ผู้บริโภคที่ โดนหลอกซื้อของออนไลน์ ในลักษณะนี้มักจะรู้ตัวว่าตนเอง โดนโกงเงินออนไลน์ เมื่อเวลาผ่านไปนานแล้วยังไม่ได้รับสินค้า และไม่สามารถติดต่อร้านค้าได้อีกต่อไป ในกรณีดังกล่าวผู้เสียหายควรรีบ แจ้งความโดนหลอกโอนเงิน ทันทีเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการ อายัดบัญชี ของผู้กระทำผิดได้ทันเวลา
สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคต้องเข้าใจคือ โอนเงินแล้วไม่ส่งของ ถือเป็น ฉ้อโกงออนไลน์ ตามมาตรา 341 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งสามารถ แจ้งความออนไลน์ ได้ และมีสิทธิเรียกร้อง เงินคืน ผ่านทั้งกระบวนการทางอาญาและแพ่ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นความผิดอันยอมความได้ ผู้เสียหายจะต้องดำเนินการ แจ้งความโดนโกงออนไลน์ ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องการกระทำและรู้ตัวผู้กระทำผิด อ้างอิงตาม ป.วิ.อาญา ม.96
อ่านกระทู้ปรึกษากฎหมาย พร้อมคำตอบจากทนายความ
Q: โอนเงินซื้อของแล้วไม่ส่งของให้ทำอย่างไรครับ
Q: โดนมิจฉาชีพ ขายของแต่ไม่ส่งของ
สั่งของแล้วได้ไม่ตรงปก
สั่งของแล้วได้ไม่ตรงปก เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ การโกงซื้อของออนไลน์ ที่พบได้บ่อย โดยผู้บริโภคจะได้รับสินค้าจริง แต่สินค้านั้นจะมีคุณภาพ ลักษณะ หรือคุณสมบัติที่แตกต่างจากที่โฆษณาไว้อย่างมีนัยสำคัญ
ลักษณะของ การหลอกขายสินค้าออนไลน์ ประเภทนี้มักจะเกิดขึ้นในหลายรูปแบบ อาทิ การใช้ภาพสินค้าที่ถ่ายในมุมหรือแสงไฟที่ทำให้สินค้าดูดีกว่าความเป็นจริง การแต่งภาพจนผิดไปจากสินค้าจริง การระบุรายละเอียดสินค้าที่เกินจริง หรือการใช้ภาพสินค้าจากแบรนด์ชื่อดังแต่ส่งสินค้าเลียนแบบคุณภาพต่ำมาให้แทน
กรณีที่พบบ่อย ได้แก่ การสั่งซื้อเสื้อผ้าจากภาพที่ดูสวยงาม แต่เมื่อได้รับสินค้าจริงกลับพบว่าเป็นเสื้อผ้าคุณภาพต่ำที่ทำจากผ้าชั้นเลว การสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่อ้างว่าเป็นสูตรจากต่างประเทศ แต่ได้รับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพตามที่โฆษณา หรือการสั่งซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อ้างเป็นแบรนด์เนม แต่ได้รับสินค้าเลียนแบบที่มีความทนทานและประสิทธิภาพต่ำ
ไม่ตรงปก เป็นปัญหาใหญ่คือ ผู้บริโภคมักจะลังเลว่าสถานการณ์นี้นับเป็น การถูกหลอกซื้อของออนไลน์ หรือไม่ และ แจ้งความได้ไหม เนื่องจากได้รับสินค้าแล้วแต่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ในทางกฎหมาย หาก การไม่ตรงปกระหว่างสินค้าที่โฆษณากับสินค้าที่ได้รับ เกิดขึ้นจากเจตนาหลอกลวงของผู้ขาย เช่น การใช้ภาพสินค้าแบรนด์เนมแต่ส่งสินค้าปลอม การอ้างสรรพคุณเกินจริงอย่างร้ายแรง หรือการกำหนดราคาสูงเทียบกับสินค้าแบรนด์เนมแต่ส่งสินค้าคุณภาพต่ำ สถานการณ์นี้จะถือเป็น ฉ้อโกงออนไลน์ ตามมาตรา 341 และผู้บริโภคสามารถ แจ้งความโดนหลอกโอนเงิน ได้
อย่างไรก็ตาม การพิสูจน์ เจตนาหลอกลวง ในคดีประเภทนี้ต้องอาศัยหลักฐานที่ชัดเจน เช่น การเก็บภาพหน้าจอโฆษณา การบันทึกการสนทนา การถ่ายภาพสินค้าที่ได้รับเปรียบเทียบกับโฆษณา และการรวบรวมพยานหลักฐานอื่นๆ ที่แสดงถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสิ่งที่โฆษณากับสิ่งที่ได้รับจริง
ผู้บริโภคที่ โดนโกงเงินออนไลน์ ในลักษณะนี้ นอกจากจะมีสิทธิ แจ้งความโดนโกงออนไลน์ แล้ว ยังสามารถเรียกร้องค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค และฟ้องคดีแพ่งเรียก เงินคืน พร้อมค่าเสียหายอื่นๆ ได้อีกด้วย
อ่านกระทู้ปรึกษากฎหมาย พร้อมคำตอบจากทนายความ
Q: เรื่องสั่งซื้อแมงมุม เเล้วแมงมุมไม่ตรงปก
Q: ส่งสินค้ามาไม่ตรงปก ผมปฏิเสธไม่รับสินค้า
หลอกขายสินค้าปลอม/เลียนแบบ
หลอกขายสินค้าปลอม เป็นรูปแบบ การโกงซื้อของออนไลน์ โดยผู้ขายจะอ้างขายสินค้าแบรนด์เนมของแท้ แต่ส่งสินค้าปลอมหรือเลียนแบบที่มีคุณภาพต่ำกว่าให้แก่ผู้ซื้อ
โดยวิธีการโกงแบบนี้มีหลัก คือการใช้ภาพสินค้าของแท้จากเว็บไซต์หรือร้านค้าอื่นมาโฆษณา พร้อมกับการอ้างสรรพคุณและคุณสมบัติตามสินค้าต้นฉบับ ราคาที่เสนอขายมักจะต่ำกว่าราคาตลาดเล็กน้อยเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ แต่ไม่ต่ำจนเกินไปจนทำให้ผู้ซื้อสงสัย การตั้งราคาในระดับนี้ทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกว่าได้สินค้าคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า
ตัวอย่างที่พบได้บ่อยในตลาดออนไลน์ไทย ได้แก่ การขายกระเป๋าแบรนด์เนมปลอม เครื่องสำอาง skincare ปลอมที่อ้างเป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ สมาร์ทโฟนเลียนแบบที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับแบรนด์ดัง หรือเครื่องประดับที่อ้างเป็นทองแท้แต่เป็นทองเหลืองชุบ ซึ่งสินค้าเหล่านี้มักจะมีคุณภาพที่ด้อยกว่าสินค้าของแท้อย่างมาก และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ในบางกรณี
ความแตกต่างสำคัญระหว่าง หลอกขายสินค้าปลอม กับ สั่งของแล้วได้ไม่ตรงปก อยู่ที่เจตนาและลักษณะของสินค้า ในกรณีสินค้าปลอม ผู้ขายมีเจตนาชัดเจนในการหลอกลวงโดยการอ้างว่าสินค้าเป็นของแท้ ขณะที่กรณีไม่ตรงปกอาจเกิดจากการโฆษณาที่เกินจริงแต่ยังคงเป็นสินค้าจากผู้ผลิตเดียวกัน
ในแง่ของกฎหมาย
การขายสินค้าปลอม เป็นความผิดที่มีความร้ายแรงมากกว่าการโกงทั่วไป เนื่องจากไม่เพียงแต่เป็น ฉ้อโกงออนไลน์ ตามมาตรา 341 แล้ว ยังอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ และในกรณีที่เป็นสินค้าที่ใช้กับร่างกาย เช่น อาหาร ยา เครื่องสำอาง อาจผิดพระราชบัญญัติอาหารและยา หรือพระราชบัญญัติเครื่องสำอางด้วย
ผู้ที่ โดนโกงเงินออนไลน์ จากการซื้อสินค้าปลอมสามารถ แจ้งความโดนหลอกโอนเงิน ได้ และมีโอกาส ได้เงินคืน ผ่านหลายช่องทาง ไม่เพียงแต่การดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 341 แต่ยังสามารถร้องเรียนต่อสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หน่วยงานที่กำกับดูแลสินค้าแต่ละประเภท และฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมได้อีกด้วย
สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคต้องระวังคือ การตรวจสอบมิจฉาชีพออนไลน์ ก่อนการสั่งซื้อ โดยเฉพาะการตรวจสอบใบรับรองตัวแทนจำหน่าย การอ่านรีวิวจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และการเปรียบเทียบราคากับตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เพื่อหลีกเลี่ยงการ ซื้อของออนไลน์ จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
ร้านค้าบล็อกหนี ร้านค้าหายตัว
ร้านค้าหายตัว เป็นรูปแบบ การโกงซื้อของออนไลน์ ที่มีลักษณะเฉพาะคือ หลังจากผู้บริโภค โอนเงิน แล้ว ร้านค้าจะปิดช่องทางการติดต่อทั้งหมด หรือ บล็อกลูกค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามเรียกร้อง ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถติดต่อเพื่อสอบถามหรือเรียกร้องสินค้าได้
วิธีการของ มิจฉาชีพออนไลน์ ประเภทนี้จะเริ่มต้นจากการสร้างร้านค้าที่ดูน่าเชื่อถือในช่วงแรก โดยอาจจะมีการขายสินค้าจริงให้กับลูกค้ารายแรกๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและรีวิวที่ดี จากนั้นจะค่อยๆ เพิ่มปริมาณการขายและขอให้ลูกค้า โอนเงินล่วงหน้า ในจำนวนที่มากขึ้น
เมื่อถึงจุดที่ร้านค้าได้รับ เงินโอนล่วงหน้า จากลูกค้าหลายรายแล้ว ร้านค้าจะหายตัว โดยการลบเพจ ปิดไลน์ ยกเลิกเบอร์โทรศัพท์ หรือบล็อกลูกค้าทั้งหมด ทำให้ลูกค้าที่ โดนหลอกโอนเงิน ไม่สามารถติดต่อเพื่อขอรับสินค้าหรือ เงินคืน ได้
ปัญหาเฉพาะของรูปแบบนี้คือ ผู้บริโภคมักจะต้องรอเป็นเวลานานกว่าจะรู้ตัวว่าถูกโกง เนื่องจากในช่วงแรกร้านค้าอาจให้เหตุผลต่างๆ เช่น สินค้าหมด กำลังรอของใหม่ หรือมีปัญหาในการจัดส่ง จนกระทั่งลูกค้าพยายามติดต่อแล้วพบว่าติดต่อไม่ได้ จึงจะรู้ตัวว่า โดนโกงเงินออนไลน์
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ร้านค้าหายตัว ควร แจ้งความโดนโกงออนไลน์ ทันทีที่รู้ตัวว่าติดต่อร้านค้าไม่ได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถ อายัดบัญชี และติดตามผู้กระทำผิดก่อนที่จะโอนเงินหรือถอนเงินจากบัญชีไปหมด
หลอกโอนเงินค่ามัดจำแล้วหาย
รูปแบบ หลอกโอนเงินค่ามัดจำ เป็นการ หลอกขายสินค้าออนไลน์ โดยขอให้ลูกค้าวางเงินมัดจำก่อน แล้วหายไปโดยไม่ส่งสินค้า มักพบในการขายสินค้าที่มีมูลค่าสูงหรือต้องสั่งทำพิเศษ
คนโกงออนไลน์ ประเภทนี้มักจะเสนอขายสินค้าที่มีราคาสูง เช่น รถมอเตอร์ไซค์ โทรศัพท์รุ่นใหม่ เครื่องประดับ หรือสินค้าที่ต้องสั่งทำพิเศษ โดยจะแจ้งว่าต้องได้รับเงินมัดจำก่อน จึงจะดำเนินการจัดหาสินค้า หรืออ้างว่าต้องโอนเงินบางส่วนเพื่อจองสินค้า
หลังจากผู้บริโภค โอนเงินค่ามัดจำ แล้ว ผู้ขายจะหยุดตอบกลับหรือให้เหตุผลต่างๆ เพื่อผัดผ่อน จนในที่สุดหายไปโดยที่ไม่ส่งสินค้าและไม่คืนเงินมัดจำ ทำให้ผู้ซื้อ โดนหลอกโอนเงิน ในจำนวนที่อาจจะไม่น้อย
ผู้ที่ โดนโกงเงินออนไลน์ ในลักษณะนี้สามารถ แจ้งความออนไลน์ โดนหลอกโอนเงิน ได้ทันที และควรเก็บหลักฐานการสนทนาที่แสดงให้เห็นว่าการโอนเงินนั้นเป็นค่ามัดจำสำหรับการซื้อสินค้า ไม่ใช่การให้เงินโดยไม่มีเงื่อนไข
แจ้งความออนไลน์ โดนหลอกโอนเงิน

เมื่อ โดนหลอกโอนเงิน สามารถ แจ้งความออนไลน์ ผ่าน thaipoliceonline.go.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยต้องมีหลักฐานครบถ้วนและ อายัดบัญชี ก่อนเพื่อเพิ่มโอกาส ได้เงินคืน
การ แจ้งความออนไลน์ เป็นช่องทางสำคัญที่รัฐบาลจัดทำขึ้นเพื่อให้ประชาชนที่ โดนโกงออนไลน์ สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่ การซื้อของออนไลน์ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และปัญหา การหลอกลวงทางออนไลน์ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ระบบ แจ้งความโดนโกงออนไลน์ ที่ทางการพัฒนาขึ้นมีความทันสมัยและครอบคลุม สามารถรองรับการแจ้งความได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่ โอนเงินแล้วไม่ส่งของ สั่งของแล้วได้ไม่ตรงปก ไปจนถึงการถูก หลอกให้โอนเงิน ด้วยวิธีการต่างๆ
ขั้นตอนแจ้งความออนไลน์ผ่าน thaipoliceonline.go.th
เว็บไซต์ thaipoliceonline.go.th เป็นระบบแจ้งความออนไลน์อย่างเป็นทางการของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้ประชาชนสามารถ แจ้งความโดนหลอกโอนเงิน ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนที่ 1: การเข้าสู่ระบบ
ผู้ที่ต้องการ แจ้งความออนไลน์ ต้องเข้าไปที่เว็บไซต์ thaipoliceonline.go.th และทำการลงทะเบียนเพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้งาน หากเคยมีบัญชีแล้วสามารถเข้าสู่ระบบด้วยอีเมลและรหัสผ่านที่เคยใช้สมัครได้ทันที ระบบจะขอให้ยืนยันตัวตนผ่านหมายเลขโทรศัพท์เพื่อความปลอดภัย
ขั้นตอนที่ 2: เลือกประเภทการแจ้งความ
เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ให้เลือก "แจ้งเรื่องใหม่" และอ่านข้อความยินยอมการใช้บริการ จากนั้นเลือก "ยอมรับ" เพื่อดำเนินการต่อ ระบบจะนำไปสู่หน้าคำถามเบื้องต้นเพื่อจำแนกประเภทของ การโกงออนไลน์ ที่เกิดขึ้น
ขั้นตอนที่ 3: การอายัดบัญชี
สำหรับกรณี โดนหลอกโอนเงิน ระบบจะแนะนำให้ติดต่อธนาคารเพื่อขอ อายัดบัญชี ของผู้กระทำผิดก่อน และขอรับ รหัสอ้างอิงธนาคาร ขั้นตอนนี้มีความสำคัญมาก เนื่องจากการอายัดบัญชีที่รวดเร็วจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้กระทำผิดโอนหรือถอนเงินออกจากบัญชี
ขั้นตอนที่ 4: กรอกข้อมูลผู้เสียหาย
กรอกข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายให้ครบถ้วน รวมถึงชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และรายละเอียดการติดต่อ ข้อมูลเหล่านี้จะใช้สำหรับการติดต่อกลับและการดำเนินคดี
ขั้นตอนที่ 5: บรรยายเหตุการณ์
อธิบายรายละเอียดของเหตุการณ์ การถูกหลอกซื้อของออนไลน์ อย่างละเอียดและตรงไปตรงมา ระบุวันที่เกิดเหตุ วิธีการที่ถูกหลอก จำนวนเงินที่สูญหาย และลักษณะของสินค้าที่สั่งซื้อ การบรรยายที่ชัดเจนจะช่วยให้เจ้าหน้าที่เข้าใจสถานการณ์และดำเนินการได้อย่างถูกต้อง
ขั้นตอนที่ 6: ข้อมูลการโอนเงิน
กรอกรายละเอียดบัญชีต้นทาง (บัญชีของผู้เสียหาย) และบัญชีปลายทาง (บัญชีของผู้กระทำผิด) พร้อมระบุจำนวนเงินที่โอน วันที่และเวลาที่ทำรายการ รวมทั้งรหัสอ้างอิงธนาคารที่ได้รับจากการอายัดบัญชี
ขั้นตอนที่ 7: ข้อมูลผู้กระทำผิด
กรอกข้อมูลเกี่ยวกับผู้กระทำผิดตามที่ทราบ เช่น ชื่อที่ใช้ในการติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์ ชื่อบัญชีธนาคาร หรือข้อมูลอื่นๆ ที่อาจช่วยในการติดตาม แม้ว่าข้อมูลจะไม่ครบถ้วนก็สามารถดำเนินการได้
ขั้นตอนที่ 8: แนบหลักฐาน
อัปโหลดหลักฐานต่างๆ เช่น ภาพหน้าจอการสนทนา ภาพโฆษณาสินค้า สลิปการโอนเงิน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ระบบรองรับไฟล์หลากหลายรูปแบบ แต่แต่ละไฟล์ต้องไม่เกินขนาดที่กำหนด
ขั้นตอนที่ 9: ตรวจสอบและยืนยัน
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทั้งหมดอีกครั้ง เมื่อมั่นใจแล้วให้เลือก "ยืนยัน" เพื่อส่งใบแจ้งความ ระบบจะออกหมายเลขอ้างอิงให้เก็บไว้สำหรับการติดตามความคืบหน้า
หลังจากดำเนินการเสร็จสิ้น ผู้เสียหายจะได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีต่อไป และสามารถติดตามสถานะคดีผ่านเว็บไซต์เดิมได้ตลอดเวลา
แจ้งความออนไลน์ VS แจ้งความที่สถานี
การเลือกช่องทาง แจ้งความโดนโกงออนไลน์ ระหว่างระบบออนไลน์และการไปสถานีตำรวจโดยตรง เป็นการตัดสินใจที่สำคัญซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการได้รับความช่วยเหลือ ผู้ที่ โดนหลอกโอนเงิน ควรเข้าใจความแตกต่างของแต่ละวิธีเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ข้อดีของการแจ้งความออนไลน์
ความสะดวกในการเข้าถึงเป็นจุดเด่นหลักของระบบออนไลน์ เนื่องจากผู้ที่ โดนโกงซื้อของออนไลน์ สามารถดำเนินการได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปสถานีตำรวจ ซึ่งอาจต้องใช้เวลารอคิวเป็นชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงเวลาทำการปกติที่มีผู้มาติดต่อจำนวนมาก
การส่งหลักฐานผ่านระบบออนไลน์มีความรวดเร็ว ผู้แจ้งความสามารถแนบภาพหน้าจอการสนทนา สลิปโอนเงิน และเอกสารต่างๆ ได้โดยตรงในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งมีคุณภาพชัดเจนกว่าการถ่ายเอกสารแล้วนำไปแสดงที่สถานี นอกจากนี้ ระบบจะเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลกลางทำให้ไม่มีความเสี่ยงในการสูญหายของหลักฐาน
ระบบติดตามสถานะออนไลน์ทำให้ผู้แจ้งความสามารถตรวจสอบความคืบหน้าของคดีได้ด้วยตนเองตลอดเวลา โดยไม่ต้องโทรศัพท์ไปสอบถามหรือเดินทางไปสถานี
ต้นทุนในการดำเนินการต่ำกว่ามาก เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าน้ำมัน ค่าจอดรถ หรือค่าลาหยุดงาน ซึ่งสำหรับผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดหรือห่างไกลจากสถานีตำรวจ การใช้ระบบออนไลน์จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก
ข้อเสียของการแจ้งความออนไลน์
การขาดการปรึกษาโดยตรงจากเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์เป็นข้อจำกัดสำคัญ เนื่องจากผู้ที่ โดนโกงเงินออนไลน์ ครั้งแรกอาจไม่เข้าใจขั้นตอนหรือไม่ทราบว่าควรเตรียมหลักฐานอะไรบ้าง การกรอกแบบฟอร์มด้วยตนเองอาจทำให้พลาดข้อมูลสำคัญหรือกรอกข้อมูลไม่ครบถ้วน
ความซับซ้อนของเทคโนโลยีอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่ชำนาญการใช้คอมพิวเตอร์ การอัปโหลดไฟล์ การกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ หรือการใช้ระบบต่างๆ อาจทำให้เกิดความผิดพลาดหรือไม่สามารถดำเนินการต่อได้
ข้อดีของการแจ้งความที่สถานี
การได้รับคำปรึกษาโดยตรงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีประสบการณ์เป็นข้อดีหลัก เนื่องจากเจ้าหน้าที่สามารถให้คำแนะนำเฉพาะเจาะจงตามลักษณะของ การโกงออนไลน์ แต่ละประเภท แนะนำเกี่ยวกับหลักฐานที่จำเป็น และอธิบายกระบวนการดำเนินคดีอย่างละเอียด
การตรวจสอบหลักฐานโดยผู้เชี่ยวชาญทำให้มั่นใจได้ว่าหลักฐานที่นำไปมีความถูกต้องและครบถ้วน เจ้าหน้าที่สามารถชี้แนะหากมีหลักฐานที่ขาดหายไป หรือแนะนำวิธีการเก็บหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับคดี
การประสานงานที่รวดเร็วกับหน่วยงานต่างๆ เช่น การติดต่อธนาคารเพื่อ อายัดบัญชี การประสานงานกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือการส่งต่อคดีให้หน่วยงานที่เหมาะสม สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
สำหรับคดีที่มีความซับซ้อนหรือมีมูลค่าสูง เจ้าหน้าที่สามารถให้ความสำคัญเป็นพิเศษและเร่งดำเนินการได้ โดยเฉพาะกรณีที่มีผู้เสียหายหลายรายหรือเป็นคดีที่มีผลกระทบต่อสังคม
ข้อเสียของการแจ้งความที่สถานี
ข้อจำกัดด้านเวลาเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากสถานีตำรวจเปิดให้บริการเฉพาะเวลาทำการปกติ และมักจะมีผู้มาติดต่อจำนวนมาก ทำให้ต้องใช้เวลารอนาน โดยเฉพาะในวันจันทร์หรือหลังวันหยุดยาว
ความไม่สะดวกในการเดินทางและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น รวมถึงการที่ต้องลาหยุดงานเพื่อไปแจ้งความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และการทำงานปกติ สำหรับผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีตำรวจ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางอาจสูงกว่ามูลค่าของความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก การซื้อของออนไลน์ ด้วยซ้ำ
อ่านบทความเพิ่มเติม -- ทำไมไปแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ดำเนินการให้ ?
ตารางเปรียบเทียบ แจ้งความออนไลน์ VS แจ้งความที่สถานี
หัวข้อเปรียบเทียب | แจ้งความออนไลน์ | แจ้งความที่สถานี |
เวลาให้บริการ | ตลอด 24 ชั่วโมง | เฉพาะเวลาทำการ (8:30-16:30 น.) |
ความสะดวก | สะดวกมาก ไม่ต้องเดินทาง | ต้องเดินทางและรอคิว |
ค่าใช้จ่าย | ไม่มีค่าใช้จ่าย | ค่าเดินทาง + เสียเวลางาน |
ความเร็วในการแจ้ง | รวดเร็วมาก (15-30 นาที) | ช้า (1-3 ชั่วโมง) |
การแนบหลักฐาน | อัปโหลดไฟล์ดิจิทัลได้โดยตรง | ต้องพิมพ์เอกสารหรือถ่ายสำเนา |
การปรึกษา | ไม่มีการปรึกษาโดยตรง | ปรึกษาเจ้าหน้าที่ได้ทันที |
ติดตามคดี | ระบบติดตามออนไลน์ตลอดเวลา | ต้องโทรสอบถามหรือไปสถานี |
ความแม่นยำข้อมูล | ต้องกรอกเองอาจผิดพลาดได้ | เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบ |
เหมาะสำหรับคดี | คดีทั่วไป มูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท | คดีซับซ้อน มูลค่าสูง |
การประสานงาน | ระบบอัตโนมัติ | เจ้าหน้าที่ประสานงานโดยตรง |
ความมั่นใจ | ต้องพึ่งพาตนเองสูง | ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่ |
กลุ่มผู้ใช้ที่เหมาะสม | วัยทำงาน ชำนาญเทคโนโลยี | ทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ |
ซื้อของออนไลน์โดนโกง จะได้เงินคืนไหม?

โดนโกงซื้อของออนไลน์ จะได้เงินคืนไหม เป็นคำถามที่มีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ จากข้อมูลของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับโอกาสในการ ได้เงินคืน จาก การโกงออนไลน์
ความเป็นจริงที่ผู้บริโภคต้องเข้าใจคือ การ ได้เงินคืน จาก การหลอกลวงทางออนไลน์ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ 100% แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
โอนเงินให้มิจฉาชีพ ทำไงให้ได้เงินคืน
ขั้นตอนที่ 1
ทันทีที่รู้ตัวว่า โดนหลอกโอนเงิน สิ่งแรกที่ต้องทำคือติดต่อธนาคารของตนเองเพื่อแจ้งว่าได้โอนเงินให้คนโกงออนไลน์ ธนาคารจะบันทึกข้อมูลการแจ้งและอาจสามารถหยุดรายการที่อยู่ระหว่างการประมวลผลได้ แม้ว่าโอกาสจะน้อย แต่ก็มีกรณีที่ประสบความสำเร็จ
ขั้นตอนที่ 2
ติดต่อธนาคารที่เป็นเจ้าของบัญชีปลายทาง (บัญชีที่โอนเงินเข้าไป) เพื่อขอให้ อายัดบัญชี ทันที ธนาคารจะต้องการหลักฐานเบื้องต้น เช่น สลิปการโอนเงิน หลักฐานการสนทนา
ขั้นตอนที่ 3
แจ้งความโดนหลอกโอนเงิน ผ่านระบบออนไลน์หรือที่สถานีตำรวจ เพื่อให้การอายัดบัญชีมีผลทางกฎหมาย และเจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของผู้กระทำผิดได้ การมี ใบแจ้งความออนไลน์ จะทำให้ธนาคารดำเนินการอายัดบัญชีได้
ขั้นตอนที่ 4
ติดตามความคืบหน้าของการอายัดบัญชีและการสืบสวนอย่างสม่ำเสมอ ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและธนาคารเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมตามที่ร้องขอ
ขั้นตอนที่ 5
หากพบตัวผู้กระทำผิดหรือผู้กระทำผิดติดต่อมาเอง การเจรจาประนีประนอมเพื่อ ได้เงินคืน อาจเป็นทางเลือกที่รวดเร็วกว่าการรอผลคดีในศาล อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังการเจรจาให้เป็นไปตามกฎหมายและมีหลักฐานที่ชัดเจน
ปัจจัยที่เพิ่มโอกาสได้เงินคืน
จำนวนเงินที่โอนมีผลต่อการดำเนินการของธนาคารและเจ้าหน้าที่ กรณีที่มีจำนวนเงินมาก ธนาคารและตำรวจจะให้ความสำคัญมากขึ้น
ความครบถ้วนของหลักฐาน
ความรวดเร็วในการดำเนินการเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก มิจฉาชีพออนไลน์ มักจะถอนหรือโอนเงินออกจากบัญชีอย่างรวดเร็วหลังจากได้รับเงิน การดำเนินการภายใน 24 ชั่วโมงแรกจะมีโอกาสสำเร็จมากที่สุด
การฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกเงินและค่าเสียหายคืน

ฟ้องคดีแพ่ง เป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ โดนโกงซื้อของออนไลน์ เพื่อ เรียกเงินคืน พร้อมค่าเสียหาย ดอกเบี้ย และค่าทนายความ โดยไม่ต้องรอผลคดีอาญาและมีโอกาสได้รับเงินคืนมากกว่า
การ ฟ้องคดีแพ่ง เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่แยกต่างหากจากการ แจ้งความโดนโกงออนไลน์ ในส่วนคดีอาญา ซึ่งมีวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ในขณะที่คดีอาญามุ่งเน้นการลงโทษผู้กระทำผิด คดีแพ่งจะมุ่งเน้นการชดใช้ความเสียหายและการคืนสภาพให้แก่ผู้เสียหาย
ความพิเศษของคดีแพ่งคือสามารถดำเนินการได้แม้ว่าคดีอาญาจะยังไม่เสร็จสิ้น ไม่ต้องรอให้ผู้กระทำผิดถูกจับหรือถูกพิพากษาก่อน และสามารถเรียกค่าเสียหายที่มากกว่าจำนวนเงินที่สูญเสียไปได้ ซึ่งรวมถึงดอกเบี้ย ค่าเสียหายทางจิตใจ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี
การตัดสินใจว่าควรฟ้องคดีแพ่งหรือไม่
- ต้องพิจารณาหลายปัจจัย ได้แก่
- จำนวนเงินที่เสียหาย
- โอกาสในการชนะคดี
- ความสามารถในการบังคับคดีของจำเลย
- ต้นทุนและเวลาที่ใช้ในการดำเนินคดี
เมื่อไหร่ควรฟ้องแพ่งนอกจากแจ้งความอาญา
การตัดสินใจ ฟ้องคดีแพ่ง ควบคู่ไปกับคดีอาญาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่ โดนโกงซื้อของออนไลน์ ซึ่งต้องพิจารณาสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
กรณีที่ควรฟ้องแพ่งทันที
ถ้าผู้กระทำผิดมีตัวตนที่ชัดเจนและทราบที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าที่มีหน้าร้านจริง ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนถูกต้อง หรือบุคคลที่สามารถติดตามตัวได้แน่นอน การฟ้องคดีแพ่งในกรณีนี้จะมีโอกาสสำเร็จสูง เนื่องจากสามารถส่งหมายเรียกและบังคับคดีได้
กรณีที่จำนวนเงินที่เสียหายมีมูลค่าสูง โดยเฉพาะที่เกิน 50,000 บาท การฟ้องคดีแพ่งจะคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายและเวลาที่ลงทุนไป นอกจากนี้ ศาลและเจ้าหน้าที่จะให้ความสำคัญกับคดีที่มีมูลค่าสูงมากกว่าคดีเล็กๆ
กรณีที่ควรพิจารณาก่อนฟ้องแพ่ง
เมื่อคดีอาญายังอยู่ระหว่างการสืบสวนและมีแนวโน้มที่จะสำเร็จ การรอผลคดีอาญาอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากหากคดีอาญาชนะ จะทำให้คดีแพ่งมีพยานหลักฐานที่แข็งแกร่งขึ้น และผู้กระทำผิดอาจยินยอมจ่ายเงินชดใช้เพื่อลดโทษ
กรณีที่จำนวนเงินที่เสียหายไม่มาก (ต่ำกว่า 30,000 บาท) ควรคำนวณต้นทุนการฟ้องให้ดี เนื่องจากค่าทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล และเวลาที่ใช้อาจมากกว่าเงินที่จะได้คืน
การคำนวณค่าเสียหายที่เรียกได้
การคำนวณค่าเสียหาย ในคดีแพ่งสำหรับผู้ที่ โดนโกงซื้อของออนไลน์ เป็นขั้นตอนที่ต้องทำอย่างละเอียดและถูกต้องตามหลักกฎหมาย เพื่อให้ได้รับการชดใช้ที่เป็นธรรมและครอบคลุมความเสียหายที่แท้จริง
ค่าเสียหายทางตรง
เงินต้นที่โอนให้กับผู้กระทำผิดเป็นค่าเสียหายหลักที่สามารถเรียกคืนได้ 100% โดยใช้หลักฐานจากสลิปการโอนเงิน หรือรายการเคลื่อนไหวในบัญชีธนาคาร จำนวนนี้รวมถึงค่าสินค้า ค่าจัดส่ง ค่าธรรมเนียมการโอนเงิน และค่าใช้จ่ายโดยตรงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการสั่งซื้อสินค้า
ค่าเสียหายทางอ้อม
ค่าเสียหายจากการไม่ได้ใช้สินค้าตามวัตถุประสงค์ เช่น หากสั่งซื้ออุปกรณ์สำหรับงานแต่งงาน แต่ไม่ได้รับสินค้าทำให้ต้องซื้อใหม่ในราคาที่แพงกว่า หรือต้องยกเลิกงาน ค่าเสียหายประเภทนี้ต้องสามารถพิสูจน์ความเชื่อมโยงเหตุผลได้ชัดเจน
ค่าเสียหายจากการเสียเครดิตหรือชื่อเสียง กรณีที่เป็นการซื้อสินค้าเพื่อขายต่อหรือใช้ในธุรกิจ การที่ไม่ได้รับสินค้าอาจทำให้สูญเสียลูกค้า เสียชื่อเสียง หรือต้องรับผิดชอบต่อลูกค้าของตนเอง ค่าเสียหายเหล่านี้ต้องมีหลักฐานสนับสนุนที่ชัดเจน
ค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี
ค่าทนายความตามมูลค่าคดีและความซับซ้อน โดยทั่วไปศาลจะพิจารณาให้ค่าทนายความในอัตรา 5-15% ของมูลค่าคดี แต่ไม่เกินจำนวนที่จ่ายจริง การมีสัญญาจ้างทนายความที่ชัดเจนและสมเหตุสมผลจะช่วยให้ได้รับค่าทนายความคืน
ค่าธรรมเนียมศาล ค่าหมาย ค่าพยานหลักฐาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในกระบวนการดำเนินคดี ซึ่งฝ่ายชนะคดีมีสิทธิเรียกร้องจากฝ่ายแพ้คดีได้ตามหลักกฎหมาย
ค่าเสียหายทางจิตใจ
ค่าเสียหายทางจิตใจจากการถูกหลอกลวงและความเครียดที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะยากต่อการพิสูจน์ แต่ศาลไทยมีแนวโน้มพิจารณาให้ในกรณีที่มีการหลอกลวงอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายเป็นผู้สูงอายุหรือมีฐานะยากจน
การคำนวณค่าเสียหายทางจิตใจมักอยู่ที่ประมาณ 10-30% ของค่าเสียหายทางตรง ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงและผลกระทบต่อจิตใจของผู้เสียหาย การมีหลักฐานทางการแพทย์หรือจิตแพทย์จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของการเรียกร้อง
หลักเกณฑ์การคำนวณตัวอย่าง
สำหรับกรณีที่ โดนโกงซื้อของออนไลน์ จำนวน 50,000 บาท และใช้เวลาดำเนินคดี 2 ปี การคำนวณค่าเสียหายจะเป็นดังนี้
- เงินต้น: 50,000 บาท
- ดอกเบี้ยตามกฎหมาย 3% ต่อปี (ตามฉบับที่ 20 พ.ศ. 2564/ประกาศที่เกี่ยวข้อง)
- ค่าใช้จ่ายในการติดตาม: 5,000 บาท
- ค่าทนายความ (10% ของมูลค่าคดี): 7,000 บาท
- ค่าเสียหายทางจิตใจ: 10,000 บาท
- รวมเป็น: 87,000 บาท
คำพิพากษาศาลไทยกรณีการซื้อของออนไลน์ (พ.ศ. 2560 – ปัจจุบัน)
กรณีสินค้าไม่ตรงปก / สินค้าไม่มีคุณภาพตามโฆษณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1630/2563 (ซื้อขายรถบรรทุกออนไลน์ – สินค้าชำรุดไม่ตรงตามตกลง)
คำพิพากษาฉบับเต็ม:
โจทก์ทราบว่ารถยนต์บรรทุกคันที่พิพาทได้มีการเสนอขายผ่านทางอินเทอร์เน็ต และโจทก์มีความสนใจจนมีการต่อรองราคากันกับจำเลยผ่านทางโปรแกรมไลน์ จนสามารถตกลงกันได้ในราคา 270,000 บาท และจากข้อความทางโปรแกรมไลน์ที่ตอบกลับมาว่า “ไม่น่าเชื่อเจ้านายผมลดให้พี่เกือบ 3 หมื่น สงสัยคุยถูกคอกันครับ” อันแสดงให้เห็นว่า คำเสนอราคาของจำเลยในตอนแรกคงมากกว่าราคา 270,000 บาท โจทก์ต่อรองจึงกลายเป็นคำเสนอขึ้นใหม่ จำเลยตกลงขายโดยส่งข้อความ (ซึ่งถือว่าเป็นคำสนอง) ไปถึงโจทก์ทางโทรศัพท์หรือไลน์ ซึ่งโจทก์อยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช อันฟังได้ว่าคำเสนอเดิมของจำเลยที่โพสต์ขายทางอินเทอร์เน็ตย่อมตกไป การที่โจทก์เสนอต่อรองราคาเท่ากับโจทก์บอกปัดไม่รับข้อเสนอเดิม การต่อรองของโจทก์ถือว่าเป็นการทำคำเสนอใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 359 วรรคสอง เมื่อจำเลยตอบรับราคาที่โจทก์ต่อรอง สัญญาซื้อขายจึงเกิดขึ้นแล้ว แม้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือก็ตาม และโจทก์ได้โอนเงินมัดจำให้จำเลยภายหลังตกลงกันแล้วด้วย ดังนั้นโจทก์ในฐานะผู้บริโภคย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ จังหวัดนครศรีธรรมราชที่โจทก์พำนักอยู่จึงเป็นสถานที่ก่อให้สัญญาเกิดขึ้นส่วนหนึ่งด้วย เมื่อรถบรรทุก (สินค้าพิพาท) มีความชำรุดบกพร่อง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยในศาลแขวงนครศรีธรรมราชได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7
สรุปคำพิพากษา:
ข้อเท็จจริง: โจทก์ (ผู้ซื้อ) พบประกาศขายรถบรรทุกของจำเลยผ่านช่องทางออนไลน์และได้ติดต่อเจรจาราคาทางแชทจนตกลงซื้อขายกันที่ราคา 270,000 บาท โดยโจทก์ได้โอนเงินมัดจำบางส่วนให้จำเลย หลังจากได้รับรถ พบว่ารถบรรทุกดังกล่าวมี ความชำรุดบกพร่อง ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น
พฤติการณ์แห่งคดี: โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลในฐานะคดีผู้บริโภค เรียกร้องให้จำเลยรับผิดชอบต่อสินค้าที่ชำรุดที่ส่งมอบให้ ศาลต้องพิจารณาว่าเกิดสัญญาซื้อขายที่ผูกพันคู่สัญญาหรือไม่ และศาลใดมีเขตอำนาจพิจารณาคดีนี้ เนื่องจากการซื้อขายเกิดขึ้นผ่านทางออนไลน์ ต่างฝ่ายอยู่คนละพื้นที่
การพิจารณาของศาล: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การเจรจาต่อรองราคาในแชททำให้ข้อเสนอเดิมที่จำเลยประกาศขายตกไป และเกิดเป็น สัญญาซื้อขายใหม่ เมื่อจำเลยตอบรับราคาที่ต่อรอง (ถือเป็นการสนองรับคำเสนอใหม่ของโจทก์) แม้ไม่มีเอกสารลายลักษณ์อักษรก็ถือว่าสัญญาสมบูรณ์เพราะมีการชำระเงินบางส่วนแล้วตามข้อยกเว้นในคดีผู้บริโภค นอกจากนี้ศาลชี้ว่า เขตอำนาจศาลสามารถยื่นฟ้องในศาลท้องที่ของผู้บริโภค ได้ เพราะสถานที่ที่ผู้บริโภคได้รับการสนองสัญญาก็ถือเป็นสถานที่ก่อให้เกิดสัญญา
คำตัดสิน: ศาลฎีกาอนุญาตให้ โจทก์ฟ้องในศาลจังหวัดของตนเองได้ (ศาลแขวงนครศรีธรรมราช) เนื่องจากถือว่าสัญญาซื้อขายเกิดขึ้นบางส่วนในเขตนั้น และเห็นว่ารถบรรทุกที่ซื้อขายกันมีการชำรุดบกพร่องจริง ผู้ซื้อมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ขายรับผิดชอบตามสัญญา กรณีนี้คำพิพากษาศาลฎีกาเป็นการวางหลักเรื่องการก่อให้เกิดสัญญาและเขตอำนาจศาลในคดีซื้อขายออนไลน์ เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในการฟ้องร้อง
คำพิพากษาศาลจังหวัดอุดรธานี (พ.ศ. 2565) – กรณีเงื่อนไขให้ถ่ายวิดีโอแกะกล่องสินค้า
คำพิพากษาฉบับเต็ม:
“ข้อความดังกล่าวนี้ถือเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม สัญญาที่ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินสมควร และคู่สัญญาไม่ได้ยินยอมในเงื่อนไขดังกล่าวตั้งแต่ต้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 วรรคสาม ข้อตกลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 11 สิ่งที่ควรกระทำคือ ผู้จัดส่งควรถ่ายวิดีโอขณะแพ็คสินค้า และผู้รับก็ควรถ่ายวิดีโอขณะแกะสินค้า เมื่อเกิดความเสียหายแตกหัก ร้านค้าต้องรับผิดชอบในเบื้องต้น และไปเรียกค่าเสียหายจากผู้ขนส่ง มิใช่ผลักภาระให้ผู้บริโภคฝ่ายเดียว”
สรุปคำพิพากษา:
ข้อเท็จจริง: คดีนี้ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์รายหนึ่งได้รับพัสดุสินค้าแล้วพบว่าสินค้าแตกหักเสียหาย ผู้ขายติดสติ๊กเกอร์หน้ากล่องระบุว่า “กรุณาถ่ายวิดีโอขณะเปิดกล่องพัสดุ ไม่มีหลักฐานงดเคลมทุกกรณี” ผู้ซื้อไม่ได้ถ่ายวิดีโอไว้ เมื่อแจ้งขอคืนสินค้า ผู้ขายปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างเงื่อนไขดังกล่าว ผู้ซื้อจึงฟ้องผู้ขายเป็นคดีผู้บริโภคที่ศาลจังหวัดอุดรธานี
การพิจารณาของศาล: ศาลจังหวัดอุดรธานีพิเคราะห์ว่า เงื่อนไขให้ผู้ซื้อถ่ายวิดีโอขณะแกะกล่องสินค้า โดยระบุว่าหากไม่มีวิดีโอจะไม่รับเคลมสินค้า ถือเป็น “ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 เพราะเป็นเงื่อนไขฝ่ายเดียวที่ผู้บริโภคเสียเปรียบเกินสมควรและไม่ได้ตกลงไว้ล่วงหน้า ศาลชี้ว่าข้อตกลงเช่นนี้เป็นโมฆะตามมาตรา 11 ของกฎหมายดังกล่าว โดยเปรียบเทียบกับแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 10570/2557 (กรณีห้างสรรพสินค้าติดป้ายไม่รับผิดชอบรถหาย ซึ่งศาลถือว่าเป็นโมฆะเพราะผู้เสียหายไม่ได้ยินยอม)
คำตัดสิน: ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ขายต้องรับผิดชอบความเสียหายเบื้องต้นต่อสินค้าที่แตกหักระหว่างขนส่ง แม้ผู้ซื้อจะไม่มีวิดีโอเป็นหลักฐาน โดยผู้ขาย/ผู้ส่งของควรจะเป็นฝ่ายตรวจสอบหรือบันทึกภาพตอนแพ็คสินค้า และหากสินค้าชำรุดเสียหายก็ให้ผู้ขายไปเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทขนส่งต่อไป เงื่อนไขที่ให้ผู้ซื้อถ่ายวิดีโอและปฏิเสธความรับผิดทุกกรณีหากไม่มีวิดีโอจึงใช้บังคับมิได้เพราะโมฆะ ผู้บริโภคชนะคดีในศาลชั้นต้น (คดีนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่ศาลยึดหลักตามแนวฎีกาว่าเงื่อนไขฝ่ายเดียวที่ไม่เป็นธรรมไม่มีผลบังคับ)
(หมายเหตุ: คดีนี้เป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยังไม่ถึงที่สุด แต่เป็นกรณีตัวอย่างที่แสดงถึงการคุ้มครองผู้บริโภคกรณีสินค้าไม่ตรงปกหรือชำรุดเสียหาย)
กรณีโอนเงินแล้วไม่ได้รับสินค้า / ถูกหลอกให้โอนเงินแล้วไม่มีการส่งของ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8687/2563 (คดีฉ้อโกงประชาชน – หลอกขายเสื้อออนไลน์แล้วไม่ส่งของ)
คำพิพากษาฉบับเต็ม:
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า ลักษณะการกระทำความผิดของจำเลยมุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตนด้วยการหลอกลวงประชาชนทั่วไปในลักษณะวงกว้าง โดยอาศัยการเข้าถึงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ไม่ได้จำกัดเพียงผู้เสียหาย นับว่าเป็นภัยต่อสุจริตชนโดยทั่วไป พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยที่ 1 จะได้ชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นที่พอใจ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 ได้ แต่โทษจำคุกที่กำหนดมานั้นหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่รูปคดี เนื่องจากฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7
สรุปคำพิพากษา:
ข้อเท็จจริง: คดีนี้อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องในความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงขายสินค้าออนไลน์ (เสื้อผ้า) ผ่านทางเฟซบุ๊ก เพจ “Shop by pimmada” โดยโฆษณาจำหน่ายเสื้อกันหนาวโปรโมชั่นราคาพิเศษ แต่ความจริง ไม่มีเจตนาจะส่งสินค้าให้ผู้ซื้อ เป็นเพียงอุบายหลอกให้โอนเงิน แล้วเชิดเงินหนี
พฤติการณ์แห่งคดี: ในช่วงเดือนธันวาคม 2561 มีผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อโอนเงินค่าสั่งซื้อเสื้อผ้าตามที่จำเลยโฆษณา หนึ่งในนั้นคือผู้เสียหายที่โอนเงิน 950 บาท สั่งเสื้อ 3 ชุดไปยังบัญชีธนาคารของจำเลย แต่ไม่ได้รับสินค้าแม้ทวงถาม กรณีนี้สร้างความเสียหายแก่ประชาชนทั่วไป (ฉ้อโกงลักษณะเป็นภัยต่อสังคมวงกว้าง) คดีผ่านการพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โดยจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินคืนผู้เสียหายระหว่างพิจารณาคดี และขอให้ศาลรอลงอาญา
การพิจารณาของศาล: ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ลงโทษจำคุก 4 ปี แต่ลดโทษกึ่งหนึ่งเพราะรับสารภาพ เหลือจำคุก 2 ปี (และยกฟ้องจำเลยที่ 2 เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอว่าร่วมกระทำผิด) ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้โทษจำเลยที่ 1 เป็นจำคุก 3 ปี ลดโทษครึ่งหนึ่งเหลือ 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 1 ยังยื่นฎีกาขอให้รอลงอาญาเนื่องจากได้ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว แต่ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำผิดเป็นภัยต่อส่วนรวมแม้จะชดใช้แล้วก็ ไม่ใช่เหตุให้รอการลงโทษ เพราะเป็นการหลอกลวงประชาชนหลายรายผ่านอินเทอร์เน็ต พฤติการณ์ร้ายแรง แต่ศาลฎีกาพิจารณาว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนด (1 ปี 6 เดือน) หนักเกินไปเมื่อเทียบรูปคดี จึงมีเหตุปรับลด
คำตัดสิน: ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษจำเลยที่ 1 เป็นจำคุก 1 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 6 เดือน และไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้องตามศาลล่าง (เนื่องจากไม่มีหลักฐานร่วมกระทำผิด) คำพิพากษานี้ย้ำให้เห็นว่า การฉ้อโกงขายของออนไลน์ไม่ว่ามูลค่าจะมากหรือน้อย ผู้กระทำผิดมีโอกาสถูกลงโทษถึงจำคุกจริง เพื่อเป็นตัวอย่างว่าการหลอกลวงผู้บริโภคทางออนไลน์ส่งผลเสียหายและเป็นภัยสังคม ศาลจะไม่ปรานีแม้จะคืนเงินเหยื่อภายหลัง
FAQ คำถามเกี่ยวกับการโดนโกงเงินออนไลน์
โดนหลอกโอนเงิน จะได้เงินคืนไหม?
ไม่มีคำตอบตายตัวว่าจะได้เงินคืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและจำนวนเงินที่ถูกโกง
โอนเงินแล้วไม่ส่งของ แจ้งความได้ไหม?
แจ้งความได้ทันที เป็นความผิด ฉ้อโกงออนไลน์ ตามมาตรา 341
⚠️ สำคัญ: ต้องแจ้งภายใน 3 เดือน (ความผิดยอมความได้)
แจ้งความโดนโกงออนไลน์แล้ว ต่อไปทำอะไร?
- ติดตามสถานะ ด้วยเลขอ้างอิง
- ประสานธนาคาร เรื่องอายัดบัญชี
- เก็บหลักฐานเพิ่ม หากพบใหม่
- รอการติดต่อ จากตำรวจ (1-2 สัปดาห์)
ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะได้เงินคืน?
- แจ้งความอาญา: 6-18 เดือน (เฉลี่ย 12 เดือน)
- ฟ้องคดีแพ่ง: 8-24 เดือน (เฉลี่ย 15 เดือน)
- ประนีประนอม: 1-3 เดือน (เร็วที่สุด)
ค่าทนายความเท่าไหร่ สำหรับคดีโกงออนไลน์?
- เหมาจ่าย: 15,000-40,000 บาท
- Success Fee: 20-40% ของเงินที่ได้รับ
- รายชั่วโมง: 1,500-5,000 บาท/ชั่วโมง
โดนโกงเงินน้อย ควรฟ้องไหม?
- < 30,000 บาท: ❌ ไม่คุ้ม (แจ้งความเท่านั้น)
- 30,000-50,000 บาท: ⚠️ ลองแจ้งความก่อน
- 50,000 บาท: ✅ คุ้มค่าฟ้อง
ร้านค้าปิดตัวไปแล้ว ยังฟ้องได้ไหม?
ฟ้องได้ หากหาตัวเจ้าของร้านได้ผ่าน
- ทะเบียนพาณิชย์
- ข้อมูลจากธนาคาร
- ทะเบียนบริษัท/ห้างหุ้นส่วน
- จำเลยอยู่ต่างจังหวัด ฟ้องที่ไหน?
- ศาลในเขตที่จำเลยอยู่
- ศาลในเขตที่เกิดเหตุ (ที่โอนเงิน)
- ศาลในเขตที่มีทรัพย์สินจำเลย
- หมายเลขแจ้งความออนไลน์ คืออะไร?
- เลขอ้างอิงการแจ้งความ (ติดตามคดี)
- รหัสอ้างอิงธนาคาร (อายัดบัญชี)
- เลขใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (หลักฐาน)
- เลขติดตามสืบสวน (ติดต่อนักสืบ)
- ขั้นตอนการแจ้งความออนไลน์มีอะไรบ้าง?
- อายัดบัญชี + เก็บหลักฐาน
- เข้า thaipoliceonline.go.th
- ลงทะเบียน + เลือก "แจ้งเรื่องใหม่"
- กรอกข้อมูล + แนบหลักฐาน
- ตรวจสอบ + ยืนยัน ส่งใบแจ้งความ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








