
โดนหลอกโอนเงิน ต้องทำอย่างไรบ้างภายใน 72 ชั่วโมง?
ในปัจจุบัน ปัญหาการหลอกลวงให้โอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อเตือนภัยจากหน่วยงานภาครัฐและสื่อมวลชนอยู่เสมอ แต่ประชาชนยังคงตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการหลอกให้ลงทุน การปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ การปลอมไลน์หรือบัญชีโซเชียลของบุคคลใกล้ชิด หรือการหลอกขายสินค้าออนไลน์
รูปแบบการกระทำความผิดเหล่านี้ล้วนมีจุดร่วมคือ “การอาศัยความไว้ใจของผู้เสียหาย” เพื่อให้โอนเงินออกจากบัญชีโดยสมัครใจ ซึ่งเมื่อโอนเงินออกไปแล้ว การติดตามและเรียกคืนมักทำได้ยาก และมีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับเงินคืนทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หากผู้เสียหายดำเนินการอายัดบัญชี ภายใน 72 ชั่วโมง ยังมีโอกาสที่จะสามารถอายัดบัญชีปลายทางได้ก่อนที่คนร้ายจะโอนเงินต่อหรือถอนเงินออกไป
การรู้และเข้าใจ “ขั้นตอนที่ถูกต้องในการดำเนินการภายในระยะเวลาอันจำกัด” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสียหายและเพิ่มโอกาสในการติดตามเงินคืนได้
5 ขั้นตอนเร่งด่วน โดนหลอกโอนเงินแล้วต้องทำอย่างไร ?
ขั้นที่ 1 ตั้งสติ หยุดการติดต่อกับมิจฉาชีพและรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ครบถ้วน
ขั้นที่ 2 ติดต่อ call center ของธนาคารต้นทางที่ได้ใช้ทำรายการโอนไปยังธนาคารปลายทางทันที เพื่อแจ้งอายัดบัญชีธนาคารปลายทาง
ขั้นที่ 3 โทรสายด่วน 1441 (AOC) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ขั้นที่ 4 แจ้งความดำเนินคดีทันทีที่สถานีตำรวจในพื้นที่ใกล้บ้าน หรือ
ขั้นที่ 5 แจ้งความออนไลน์ ได้ที่ www.thaipoliceonline.com ช่องทางเดียว เท่านั้น(สำนักงานตำรวจแห่งชาติ)
ขั้นตอนและวิธีการติดต่อสายด่วน 1441 (AOC) ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์
สายด่วน 1441 เป็นศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง สามารถติดต่อเพื่อขอแจ้งอายัดบัญชีมิจฉาชีพได้ทันที นานถึง 72 ชั่วโมง โดยแจ้งข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะทำการระงับบัญชีของมิจฉาชีพไว้ และจะส่งข้อมูล “เลขรับแจ้งความ” และ “เลขระงับบัญชีธนาคาร” โดยแจ้งผ่าน sms บนเบอร์มือถือที่ได้ให้ไว้ เพื่อนำไปแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจต่อไป
ข้อมูลที่ต้องแจ้งให้แก่เจ้าหน้าที่ทราบ มีดังนี้
- แจ้งชื่อนาม-สกุล ของผู้เสียหาย
- แจ้งเบอร์โทรติดต่อ และเลขบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย
- แจ้งข้อมูลวันที่ทำรายการโอน - จำนวนยอดเงินที่ได้โอนไป
- แจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ซื้อสินค้าใด , เพจชื่ออะไร เป็นต้น
- แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับมิจฉาชีพ เช่น ชื่อ-นามสกุล ,ชื่อธนาคารและเลขบัญชีธนาคาร,เบอร์ติดต่อ,ชื่อเพจหรือเว็บไซต์ เป็นต้น
ขั้นตอนติดต่อธนาคารเพื่อระงับและอายัดบัญชีมิจฉาชีพ
สามารถติดต่อ call center ของแต่ละธนาคาร ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อขออายัดบัญชีปลายทางได้ทันที นานถึง 72 ชั่วโมง โดยได้รวบรวมมาไว้ ดังนี้
- ธนาคารกสิกรไทย 0 2888 8888 กด 1
- ธนาคารกรุงไทย 0 2111 1111 กด 108
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 1572 กด 5
- ธนาคารกรุงเทพ 1333 หรือ 0 2645 5555 กด *3
- ธนาคารไทยพาณิชย์ 02777 7575
- ธนาคารทหารไทยธนชาต 1428 กด 03
- ธนาคารออมสิน 1115 กด 6
- ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย 0 2626 7777 กด 00
- ธนาคารไทยเครดิต 0 2697 5454
- ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 0 2459 0000 กด 8
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 0 2645 9000 กด 33
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 0 2555 0555 กด *3
- ธนาคารยูโอบี 0 2344 9555
- ธนาคารซิตี้แบงค์ 0 2344 9555
- ธนาคารเกียรตินาคินภัทร 0 2165 5555 กด 6
- ธนาคารทิสโก้ 0 2633 6000 กด *7
โดนหลอกโอนเงินแล้วจะได้เงินคืนหรือไม่ ?
คำตอบคือ “ขึ้นอยู่กับความเร็วในการดำเนินการ” หากผู้เสียหายแจ้งอายัดบัญชีได้ก่อนที่มิจฉาชีพจะถอนหรือโอนเงินต่อ ธนาคารจะสามารถระงับยอดเงินคงเหลือไว้ได้บางส่วน หรือทั้งหมด แต่หากเงินถูกถอนหรือโอนต่อไปยังหลายบัญชี โอกาสได้เงินคืนจะลดลง ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานานหลายเดือนในการติดตามมิจฉาชีพมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
วิธีแจ้งความออนไลน์เมื่อถูกหลอกโอนเงิน
หากไม่สะดวกเดินทางไปสถานีตำรวจ สามารถแจ้งความผ่านเว็บไซต์ www. thaipoliceonline.com เป็นช่องทางอย่างเป็นทางการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กำหนดแนบหลักฐานและติดตามสถานะความคืบหน้าของคดี และรอการติดต่อกลับจากพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนคดี
ขั้นตอนมีดังนี้
- เข้าเว็บไซต์ www. thaipoliceonline.com เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น
- ลงทะเบียนก่อนเข้าสู่ระบบ (กรอกข้อมูลส่วนตัว) พร้อมเตรียมบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง
- เมื่อลงทะเบียนเสร็จจะได้รับรหัส OTP ส่งมาที่เบอร์มือถือที่ทำการลงทะเบียนไว้
- เข้าสู่ระบบ จึงไปที่หัวข้อ “แจ้งเรื่องใหม่” และกรอกข้อมูลพร้อมแนบหลักฐานให้เรียบร้อย ก่อนกดยืนยันส่งแจ้งความออนไลน์
- เมื่อแจ้งความออนไลน์เรียบร้อยแล้ว สามารถเช็คสถานะความคืบหน้าของคดีได้ที่หน้าเว็บไซต์ได้เลย
ขั้นตอนแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ เอกสารและหลักฐานที่ต้องเตรียม
เมื่อถูกหลอกให้โอนเงิน ผู้เสียหายสามารถเข้าไปแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนได้ทันทีที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน หรือในพื้นที่ที่เกิดเหตุ เพื่อให้ถ้อยคำแก่พนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกให้ผู้ถูกกล่าวหาเพื่อเรียกเข้ามาสอบปากคำ และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
หลักฐานที่ควรจัดเตรียม มีดังนี้
- สลิปการโอนเงิน หรือ รายการเดินบัญชีธนาคาร
- ข้อความการสนทนาระหว่างผู้เสียหายกับมิจฉาชีพ (เช่น Facebook, LINE, Instagram หรือ SMS)
- ข้อมูลของผู้กระทำความผิด เช่น ชื่อบัญชีธนาคาร เลขที่บัญชี เบอร์โทรศัพท์ หรือโปรไฟล์โซเชียลมีเดีย เป็นต้น
- ข้อมูลของผู้เสียหาย เช่น สำเนาบัตรประชาชน ชื่อบัญชีธนาคาร และเบอร์ติดต่อ เป็นต้น
- หลักฐานอื่น ๆ เช่น ภาพโพสต์ข้อความ ภาพถ่ายสินค้า หรือหลักฐานประกาศขายสินค้าทางออนไลน์ เป็นต้น
วิธีตรวจสอบบัญชีมิจฉาชีพก่อนโอนเงิน เช็คชื่อบัญชีมิจฉาชีพและคนโกงออนไลน์
ก่อนทำรายการโอนเงิน ควรตรวจสอบชื่อบัญชีและหมายเลขบัญชีผ่านเว็บไซต์ตรวจสอบบัญชีผู้ต้องสงสัย เช่น
- www.blacklistseller.com (แพลตฟอร์มรวมรายชื่อบัญชีหลอกลวง)
- กลุ่มเตือนภัยคนโกง มิจฉาชีพออนไลน์
- หรือค้นหาชื่อบัญชี/เบอร์โทรใน Google และโซเชียล เพื่อดูประวัติการร้องเรียนจากผู้เสียหายรายอื่นๆ
แอปพลิเคชันที่ตรวจสอบมิจฉาชีพที่น่าเชื่อถือ
- Whoscall : รู้ทันมิจทุกมุก : สามารถขึ้นแจ้งเมื่อมีเบอร์แปลกที่ไม่รู้จักและเป็นหมายเลขที่ถูกผู้ใช้รายงานไว้โทรเข้ามา เช่น เบอร์ก่อกวน,หลอกลวง,มิจฉาชีพ เป็นต้น
- Cyber Check (กองบัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) : สามารถช่วยคัดกรองและตรวจสอบเลขบัญชีธนาคารก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน ,สามารถเช็คเบอร์มือถือโดยใส่หมายเลขมือถือแล้วกดโทรออก
รูปแบบการหลอกลวงออนไลน์ที่ต้องระวัง
- หลอกลงทุนหรือทำงานผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น งานพาร์ทไทม์ กดไลค์ กดแชร์ ได้ค่าคอมฯ
- แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือธนาคาร โทรหลอกว่ามีคดีความ หรือบัญชีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
- Phishing / ปลอมเว็บไซต์ธนาคาร เพื่อขโมยรหัส OTP และข้อมูลธุรกรรมทางการเงิน
- หลอกขายของออนไลน์ โอนแล้วไม่ส่งสินค้า หรือส่งของไม่ตรงปก
ปัจจุบันมิจฉาชีพมักนิยมใช้วิธี Phishing
Phishing (ฟิชชิง) รูปแบบการหลอกลวงทางโลกออนไลน์ที่สามารถพบได้บ่อยที่สุด โดยการปลอมแปลงให้เหมือนเว็บไซต์จริง ทำมาเพื่อหลอกลวงเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลสำคัญทางการเงิน เช่น ธนาคาร หน่วยงานรัฐ บริษัทขนส่ง หรือแพลตฟอร์มโซเชียล เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินให้แก่มิจฉาชีพ เช่น
- ชื่อผู้ใช้ (Username)
- รหัสผ่าน (Password)
- หมายเลขบัตรเครดิต/เดบิต
- รหัส OTP
- เลขบัญชีธนาคาร
ยกอย่างวิธีการที่มิจฉาชีพนิยมใช้
- อีเมลปลอม ส่งอีเมลปลอมที่ดูเหมือนมาจากองค์กรจริง พร้อมลิงก์ให้กด เช่น “กรุณายืนยันบัญชีธนาคาร” หรือ “ระบบตรวจพบการเข้าสู่ระบบผิดปกติ”
- SMS ปลอม ส่งข้อความพร้อมลิงก์ให้กด เช่น “พัสดุตกค้าง กรุณาชำระค่าขนส่ง” หรือ “บัญชีของคุณถูกระงับ ให้กดลิงก์เพื่อยืนยันตัวตน”
- โทรศัพท์ปลอม โทรแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ตำรวจ หรือหน่วยงานรัฐ เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงินหรือบอกรหัส OTP
- เว็บไซต์ปลอม สร้างเว็บที่หน้าตาเหมือนเว็บจริงของธนาคารหรือร้านค้าออนไลน์ เพื่อให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว
- ใช้บัญชีปลอมส่งข้อความใน Facebook, Line, Instagram หลอกให้โอนเงินหรือกรอกข้อมูลในลิงก์
วิธีป้องกันการโดนหลอกโอนเงิน
ในยุคดิจิทัลที่ทุกธุรกรรมสามารถทำได้เพียงปลายนิ้ว การป้องกันตัวเองตั้งแต่ต้นจึงเป็น เกราะป้องกันสำคัญที่สุด ก่อนที่จะเกิดความเสียหายทางการเงิน
- อย่าโอนเงินโดยไม่ตรวจสอบที่มา: หากได้รับข้อความ โทรศัพท์ หรือการติดต่อให้โอนเงินไม่ว่าจะอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ บริษัทขนส่ง หน่วยงานราชการ หรือบุคคลใกล้ชิด ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนทุกครั้ง
- ระวังโปรโมชั่นหรือลงทุนที่ “ดีเกินจริง”: กลโกงส่วนใหญ่ใช้วิธีล่อใจ เช่น ลงทุนหลักร้อย ได้กำไรหลักหมื่น แจกเงินฟรี หรือผลตอบแทนสูงเกินจริง
- อย่ากรอกข้อมูลส่วนตัวผ่านลิงก์ที่ไม่รู้แหล่งที่มา: เช่น ลิงก์ที่ส่งมาทาง SMS, LINE หรือโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะลิงก์ที่คล้ายกับเว็บไซต์ธนาคาร
- ตั้งข้อสงสัยกับความเร่งรีบ: กลโกงมักมากับคำพูดเร่งรัด เช่น “ถ้าไม่โอนตอนนี้จะโดนฟ้อง/จะถูกระงับบัญชี” เพื่อให้ผู้เสียหายขาดการไตร่ตรอง
- แจ้งคนใกล้ชิดหรือสอบถามหน่วยงานทางการ ก่อนดำเนินการใด ๆ
การตรวจสอบบัญชีปลายทางก่อนโอนเงิน
ก่อนที่จะทำการโอนเงิน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าออนไลน์ การลงทุน หรือการจองบริการต่าง ๆ ควรตรวจสอบบัญชีปลายทางให้รอบคอบ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
- เช็กชื่อบัญชีกับธนาคารโดยตรง หากบัญชีปลายทางเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลที่ไม่คุ้นเคย
- สังเกตความผิดปกติของบัญชี เช่น ชื่อไม่ตรงกับชื่อผู้ขาย, มีรีวิวเชิงลบจำนวนมาก, เพจเพิ่งเปิดใหม่หรือมีการเร่งให้โอนเงิน
- ขอใบเสร็จหรือเอกสารยืนยันตัวตน จากผู้ขายหรือผู้ให้บริการ เช่น บัตรประชาชน ใบจดทะเบียนพาณิชย์ หรือเอกสารประกอบกิจการ เพื่อยืนยันตัวตนและลดความเสี่ยง
การรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนตัวออนไลน์
การป้องกันตัวเองจากการโดนหลอก ไม่ได้มีเพียงการตรวจสอบปลายทางเท่านั้น แต่ยังรวมถึง การป้องกันไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวของเราไปถึงมือมิจฉาชีพ
- ตั้งรหัสผ่านให้รัดกุม ไม่ใช้รหัสเดียวกันกับทุกบัญชี และควรมีทั้งตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์
- เปิดระบบยืนยันตัวตน 2 ชั้น (Two-Factor Authentication) สำหรับทุกบัญชีสำคัญ เช่น แอปธนาคาร อีเมล และโซเชียลมีเดีย
- อย่าโพสต์ข้อมูลสำคัญลงโซเชียล เช่น เลขบัญชีธนาคาร บัตรประชาชน บัตรเครดิต วันเกิด เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลการทำธุรกรรม
- หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะ เมื่อต้องทำธุรกรรมทางการเงิน เพราะมีความเสี่ยงสูงที่ข้อมูลจะถูกดักจับ
- หมั่นเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ และตรวจสอบการล็อกอินที่ผิดปกติจากอุปกรณ์หรือสถานที่แปลกปลอม
กฎหมายและบทลงโทษสำหรับมิจฉาชีพ
1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
“ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
“ถ้าความผิดตามมาตรา 341 ได้กระทำโดยการกล่าวเท็จต่อประชาชน หรือโดยการปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งต่อประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรกได้กระทำภายใต้พฤติการณ์ดังกล่าวในมาตรา 342 วรรคใดวรรคหนึ่งด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท”
3.พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14
“ผู้ใดนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
(1)โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา.
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน.
(3)นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา.
(4)นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4) ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง (1) มิได้กระทำต่อประชาชน แต่เป็นการกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้กระทำ ผู้เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้เป็นความผิดอันยอมความได้
ยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา
(ฎีกาที่ 1220/2567)
ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 แม้จะเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน แต่ประชาชนคนหนึ่งคนใดที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินไปจากการถูกหลอกลวง ต้องถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดฐานนี้ด้วยย่อมเป็นผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีได้ด้วยตนเองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 28 (2)
(ฎีกาที่ 1093/2568)
การที่โจทก์ทั้งสองโอนเงินให้แก่จำเลยทั้งสอง จึงเป็นการเชื่อจากกลอุบายการหลอกลวงของจำเลยทั้งสองมาตั้งแต่ต้นโดยใช้ผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราสูงเป็นเครื่องล่อใจเป็นวิธีการหลอกลวงอย่างหนึ่งและจำเลยทั้งสองยังปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้นำเงินลงทุนไปประกอบกิจการใด ๆ ที่จะได้รับผลตอบแทนเพียงพอที่จะให้ผู้ฝากออมได้ประโยชน์ โจทก์ที่ 1 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 จะนำเงินไปปล่อยกู้ในบ่อนหรือให้กับนายวงแชร์หรือประกอบธุรกิจใดที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ได้มีส่วนในการกระทำความผิด หรือไม่เป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนหรือรู้เห็นในการกระทำความผิดหรือการกระทำที่มีวัตถุประสงค์ที่ผิดต่อกฎหมายของจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย จึงมีอำนาจฟ้อง
มาตรการคุ้มครองผู้เสียหายจากธนาคาร
ธนาคารมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการถูกหลอกโอนเงิน การอายัดบัญชีปลายทางทันที ได้นานถึง 72 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการโอนย้ายเงินของผู้เสียหายไปยังบัญชีอื่นๆหรือถอนเงินออกไป ก่อนดำเนินการไปแจ้งความดำเนินคดีได้ทันเวลา
มาตรการหลักมีดังนี้:
- อายัดบัญชีปลายทางทันที นานถึง 72 ชั่วโมง
- เมื่อผู้เสียหายแจ้งเหตุฉ้อโกง ธนาคารสามารถระงับบัญชีของมิจฉาชีพ เพื่อป้องกันไม่ให้โอนหรือถอนเงินต่อได้
- มาตรการนี้มีผลเฉพาะในช่วงที่เงินยังคงอยู่ในบัญชี หากมิจฉาชีพโอนหรือถอนเงินไปแล้ว การติดตามเงินคืนจะซับซ้อนขึ้นมาก
- ตรวจสอบความผิดปกติของธุรกรรม
- ธนาคารจะวิเคราะห์รายการโอนเงินและแจ้งเตือนผู้เสียหายหากพบธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง
- การตรวจสอบนี้ช่วยให้ผู้เสียหายรับมือได้เร็ว และลดความเสียหายทางการเงิน
- จำกัดวงเงินการโอนรายวัน ได้แก่ ไม่เกิน 50,000 บาท/ วัน,ไม่เกิน 200,000 บาท /วัน สามารถช่วยลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- ประสานงานกับหน่วยงานรัฐและตำรวจ
- ธนาคารมีช่องทางร่วมกับ สายด่วน 1441 (AOC) และตำรวจ เพื่อส่งข้อมูลบัญชีปลายทางและหลักฐานธุรกรรมให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีต่อ
- การประสานงานนี้ทำให้การติดตามเงินคืนและออกหมายจับมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียหาย
- ธนาคารจะไม่เปิดเผยข้อมูลผู้เสียหายต่อบุคคลภายนอก
- ผู้เสียหายสามารถแจ้งเหตุและดำเนินการโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว
- ติดตามความคืบหน้าคดี
- หลังแจ้งอายัดบัญชีแล้ว ธนาคารจะให้ผู้เสียหายติดตามสถานะผ่าน Call Center หรือเจ้าหน้าที่ธนาคารที่รับผิดชอบ หรือ
- หากมิจฉาชีพติดต่อเพื่อขอโอนเงินคืน ธนาคารและตำรวจจะเป็นผู้ประสานงานโดยตรง เพื่อให้ผู้เสียหายรับเงินคืนอย่างปลอดภัย
การติดตามสถานะและคดีและผลการแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนคดี
หลังแจ้งความดำเนินคดีและแจ้งอายัดบัญชีธนาคารปลายทางแล้ว ควรติดตามผลกับพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเป็นอย่างเป็นระยะ เพื่อทราบความคืบหน้าของคดี กรณีหากมิจฉาชีพติดต่อกลับมาเพื่อขอคืนเงินแก่ผู้เสียหาย พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนคดีจะเป็นผู้ประสานให้ผู้เสียหายเข้ารับเงินคืนโดยตรง
ดังนั้น การถูกหลอกให้โอนเงินเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ทั้งจากตัวเราเองและบุคคลในครอบครัว บุคคลใกล้ชิด แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การดำเนินการอย่างถูกต้องและรวดเร็ว” โดยเฉพาะการรีบแจ้งอายัดบัญชีธนาคารปลายทางทันที โดยสามารถอายัดได้นานถึง 72 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการโยกย้ายถ่ายโอนเงินไปยังบัญชีอื่นหรือถอนเงินออกไป การรู้เท่าทันมิจฉาชีพและมีความเข้าใจในกระบวนการทางกฎหมาย จะช่วยให้ผู้เสียหายสามารถปกป้องสิทธิของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในอนาคตได้
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








