ผลของ “การยกให้โดยเสน่หา” เมื่อผู้ให้ถูกปฏิบัติไม่ดีจากผู้รับ: ฟ้องเพิกถอนได้หรือไม่ ?
โดยปกติแล้ว เมื่อเรายกทรัพย์สินใด ๆ ให้แก่บุคคลอื่นโดยเสน่หา ไม่ว่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์ เช่น เงินสด รถยนต์ เครื่องประดับของมีค่าต่าง ๆ หรืออสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านและที่ดิน หากมีการตกลงทำสัญญาให้กันถูกต้องตามกฎหมายแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเหล่านั้นย่อมโอนไปเป็นของผู้รับโดยเด็ดขาด
ผู้รับมีสิทธิที่จะจำหน่าย จ่าย โอน และได้ผลประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นอย่างเต็มที่ตามมาตรา 1336 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เราซึ่งเป็นเจ้าของเดิมผู้ให้ทรัพย์สินนั้นไปไม่มีสิทธิที่จะขอคืน หรือแม้กระทั่งจะขอซื้อคืนก็ไม่ได้ ถ้าผู้รับไม่ยอมขายคืนให้
อย่างไรก็ตาม หากผู้รับมีพฤติกรรมที่ในทางกฎหมายเรียกว่า “ประพฤติเนรคุณ” ต่อผู้ให้ กฎหมายได้กำหนดข้อยกเว้นว่า ผู้ให้มีสิทธิเรียกเอาทรัพย์สินที่ยกให้คืนจากผู้รับที่ประพฤติเนรคุณนั้นได้
ในบทความนี้จะพาท่านทำความเข้าใจว่า เหตุถอนคืนการให้เพราะผู้รับประพฤติเนรคุณมีอะไรบ้าง มีกรณียกเว้นใดบ้างที่ถอนคืนการให้ไม่ได้แม้ผู้รับจะประพฤติเนรคุณ รวมถึงหากต้องการถอนคืนการให้จะต้องใช้สิทธิอย่างไร และเมื่อถอนคืนการให้สำเร็จแล้วจะได้อะไรคืนมาบ้าง
เหตุถอนคืนการให้
มาตรา 531 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ได้กำหนดพฤติกรรมของผู้รับที่จะทำให้ผู้ให้มีสิทธิเรียกเอาทรัพย์สินที่ยกให้คืนได้ตามกฎหมาย 3 ประการ ดังนี้
1. ผู้รับประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา
เมื่อผู้รับประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) ผู้ให้มีสิทธิเรียกเอาทรัพย์สินที่ยกให้คืนได้ตามมาตรา 531 (1) ป.พ.พ. ซึ่งการประทุษร้ายดังกล่าว ได้แก่
- การฆ่าผู้ให้โดยเจตนาตาม มาตรา 288 ป.อ.
- การทำร้ายผู้ให้จนได้รับอันตรายสาหัสตาม มาตรา 297 ป.อ. เช่น การทำร้ายจนผู้ให้พิการ เสียโฉมติดตัว เสียแขนขา หรือตาบอด ฯลฯ
- การทำร้ายร่างกายผู้ให้เป็นเหตุได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจที่ไม่ถึงอันตรายสาหัสตาม มาตรา 295 ป.อ. เช่น การชกต่อยหรือตบตีผู้ให้ ก็เป็นเหตุเรียกเอาทรัพย์สินที่ให้คืนได้เช่นกัน แต่ไม่รวมถึงกรณีที่กระทำต่อผู้ให้โดยประมาท เช่น ผู้รับขับรถชนผู้ให้โดยประมาทจนผู้ให้ตายหรือได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้ผู้ให้จะมาเรียกเอาทรัพย์สินที่ยกให้คืนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 412/2528
การที่จำเลย (ผู้รับ) ทำร้ายร่างกายโจทก์ผู้เป็นมารดา (ผู้ให้) จนได้รับอันตรายแก่กาย เป็นการแสดงว่าจำเลยขาดความกตัญญู แม้โจทก์ได้รับบาดเจ็บไม่ถึงสาหัสก็ถือได้ว่าจำเลยได้ประพฤติเนรคุณโดยประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรง โจทก์เรียกถอนคืนการให้ได้
2. ผู้รับทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง
เมื่อผู้รับทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง ผู้ให้มีสิทธิเรียกเอาทรัพย์สินที่ยกให้คืนได้ตามมาตรา 531 (2) ป.พ.พ.
โดยการทำให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงที่ทำให้ผู้ให้มีสิทธิเรียกเอาทรัพย์สินที่ยกให้คืนนั้นมีความหมายกว้างกว่าความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญา กล่าวคือ ถ้อยคำบางอย่างแม้จะไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญา แต่อาจเข้าข่ายที่ทำให้ผู้ให้มีสิทธิเรียกเอาทรัพย์สินที่ยกให้คืนได้แล้ว เช่น การด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย หรือการเรียกด้วยถ้อยคำดูหมิ่นไม่ให้เกียรติ เป็นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3502/2535
หมิ่นประมาทตามมาตรา 531 (2) หาจำต้องถึงกับเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาททางอาญาไม่ เพียงแต่ได้ความว่าเจตนาดูหมิ่นก็ถือว่าประพฤติเนรคุณแล้ว
ตัวอย่างถ้อยคำ ที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการดูหมิ่นผู้ให้ซึ่งเพียงพอที่ผู้ให้จะใช้สิทธิเรียกเอาทรัพย์สินคืนได้ เช่น
- “อีดอกทอง อีแก่เจ้าเล่ห์เป็นคนร้อยลิ้น” (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2504)
- “อีดอกทอง อีแก่ อีหัวหงอก” (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 206/2510)
- “อีโคตรพ่ออีโคตรแม่ อีหน้าด้าน อีหน้าหมา อีไม่มีศีลธรรม” (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2522)
- “ไอ้เปรต ไอ้เฒ่าบ้า แก่จะเข้าโลงยังหลงบ้าสมบัติแถมบ้าเมีย ไม่สมแก่ ไอ้หัวล้าน” (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2540)
มีข้อสังเกตว่า ยิ่งหากว่าผู้รับเป็นบุตรหลานที่กล่าวถ้อยคำหยาบคายต่อผู้ให้ซึ่งเป็นบุพการีหรือญาติผู้ใหญ่ ศาลมักมีแนวโน้มที่จะวินิจฉัยว่า ผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรงซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ให้มีสิทธิเรียกคืนทรัพย์สินที่ยกให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8752/2558
การที่จำเลย (ผู้รับ) ใช้คำ “อีเฒ่าหัวหงอก” และ “มึง” เป็นสรรพนามในการเรียกโจทก์ผู้เป็นมารดา (ผู้ให้) ซึ่งไม่ปรากฏว่าโดยปกติบุคคลทั่วไปรวมถึงจำเลยใช้สรรพนามดังกล่าวแทนมารดา คำดังกล่าวไม่ได้มีความหมายว่ามารดา แต่มีความหมายเปรียบเปรยไปในทางที่ไม่ให้ความเคารพ การที่จำเลยด่าโจทก์ผู้เป็นมารดาด้วยถ้อยคำดังกล่าวจึงเป็นการดูถูกเหยียดหยามและหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง
3. ผู้รับบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของเลี้ยงชีวิตที่จำเป็นแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับสามารถจะให้ได้
เมื่อผู้ให้อยู่ในฐานะยากไร้ขาดแคลนสิ่งของเลี้ยงชีพที่จำเป็น เช่น ขาดแคลนอาหารน้ำดื่ม ไม่มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ไม่มีเงินซื้อยารักษาโรค หรือไม่มีที่อยู่อาศัย ฯลฯ หากผู้ให้ได้มาขอความช่วยเหลือจากผู้รับ แต่ผู้รับกลับปฏิเสธไม่ยอมให้ความช่วยเหลือทั้งที่ผู้รับก็อยู่ในฐานะที่พร้อมจะช่วยเหลือตามคำขอนั้นได้ เช่นนี้ ผู้ให้มีสิทธิเรียกเอาทรัพย์สินที่เคยยกให้คืนได้ตามมาตรา 531 (3) ป.พ.พ.
แต่ไม่รวมถึงกรณีที่ผู้ให้ขอยืมเงินจากผู้รับแล้วผู้รับปฏิเสธไม่ยอมให้ยืม เช่นนี้ผู้ให้จะมาเรียกเอาทรัพย์สินที่ยกให้คืนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2520
โจทก์ (ผู้ให้) ยกที่นาให้จำเลย (ผู้รับ) ต่อมาโจทก์ขออาศัยทำนาเพื่อขายผลิตผลชำระหนี้ซึ่งโจทก์เป็นหนี้ผู้อื่นแต่จำเลยไม่ยอม โจทก์ขอยืมเงินแต่จำเลยก็ไม่ให้ ดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยไม่ช่วยเหลือโจทก์ในการชำระหนี้สินของโจทก์เท่านั้น มิใช่เป็นการที่ผู้รับบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้ตามมาตรา 531 (3) ไม่เป็นเหตุอันจะเรียกถอนคืนการให้ได้
ข้อยกเว้นที่ทำให้ถอนคืนการให้ไม่ได้
1. การให้บางประเภทถอนคืนการให้ไม่ได้
มาตรา 535 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดข้อยกเว้นว่า การให้บางประเภทแม้ว่าผู้รับจะประพฤติเนรคุณ ผู้ให้ก็จะเรียกเอาทรัพย์สินที่ให้ไปแล้วคืนไม่ได้ ได้แก่
- การให้เป็นบำเหน็จสินจ้าง คือ การให้ในลักษณะเป็นรางวัลหรือเป็นสินน้ำใจเพื่อเป็นการตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การให้ทิปตอบแทนพนักงานร้านค้าที่ดูแลอำนวยความสะดวก
- การให้สิ่งที่มีภาระติดพัน คือ การให้ที่ผู้รับมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบภาระบางอย่างที่ติดมากับตัวทรัพย์นั้น เช่น การให้ที่ดินที่ติดจำนองโดยกำหนดให้เป็นภาระหน้าที่ของผู้รับที่จะต้องไถ่ถอนจำนองนั้นเอง
- การให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา คือ การให้ตามหน้าที่ทางศีลธรรม เช่น การให้ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดที่ผู้ปกครองให้แก่เด็ก (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1584/2497)
- การให้ในการสมรส คือ การให้อันเนื่องมาจากมีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย เช่น การให้ของขวัญแต่งงาน หรือการให้ของรับไหว้แก่คู่บ่าวสาว เป็นต้น
2. การให้อภัยผู้รับที่ประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้
มาตรา 533 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดข้อยกเว้นว่า เมื่อมีการให้เกิดขึ้นแม้ผู้รับได้ประพฤติเนรคุณ แต่หากต่อมาผู้ให้ได้ให้อภัยแก่ผู้รับในการกระทำที่เป็นการประพฤติเนรคุณนั้นแล้ว ผู้ให้ก็จะเรียกเอาทรัพย์สินที่ให้ไปแล้วคืนไม่ได้ เช่น ผู้รับทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง แต่ต่อมาผู้รับได้ขอขมาผู้ให้ และผู้ให้ได้ให้อภัยแก่ผู้รับไม่ว่าโดยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม ผู้ให้ก็ไม่สามารถเรียกเอาทรัพย์สินที่ให้ไปแล้วคืนได้
3. การขาดอายุความ
มาตรา 533 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดข้อยกเว้นว่า เมื่อมีการให้เกิดขึ้น แม้ผู้รับได้ประพฤติเนรคุณ แต่หากผู้ให้หรือทายาทของผู้ให้ (ในกรณีผู้ให้ถึงแก่ความตาย) ไม่ฟ้องคดีเพื่อเรียกทรัพย์สินคืนภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ทราบถึงการประพฤติเนรคุณของผู้รับ หรือหากไม่เคยทราบถึงการประพฤติเนรคุณของผู้รับเลยและไม่ฟ้องคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ผู้รับประพฤติเนรคุณ คดีย่อมขาดอายุความ ผู้ให้จะฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากผู้รับไม่ได้
การใช้สิทธิถอนคืนการให้
การถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ ผู้ให้อาจเลือกใช้วิธีบอกกล่าวเรียกเอาทรัพย์สินที่ให้คืนด้วยตนเองก็ได้ ซึ่งหากผู้รับสมัครใจยินยอมส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินคืนให้แก่ผู้รับก็มีผลตามกฎหมายและเป็นอันเสร็จสิ้นไปโดยไม่ต้องฟ้องคดี ซึ่งเป็นการประหยัดค่าทนายความและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินคดี
อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างผู้ให้กับผู้รับ ในทางปฏิบัติผู้ให้ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะฟ้องคดีผู้รับต่อศาลเป็นคดีแพ่ง โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวให้ผู้รับทราบก่อน ซึ่งบุคคลผู้มีสิทธิฟ้องคดีดังกล่าว ได้แก่
1. ผู้ให้
โดยหลักแล้ว ผู้ให้ต้องเป็นผู้ฟ้องคดีถอนคืนการให้ด้วยตนเองเพราะเป็นบุคคลผู้ถูกโต้แย้งสิทธิโดยตรง โดยผู้ให้จะเป็นโจทก์ส่วนผู้รับจะเป็นจำเลยในคดี
2. ทายาทของผู้ให้
มาตรา 540 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้ทายาทของผู้ให้มีสิทธิฟ้องและดำเนินคดีถอนคืนการให้แทนผู้ให้ได้ในบางสถานการณ์ ได้แก่
- ผู้ให้ถูกผู้รับฆ่าตายโดยเจตนาและไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นเหตุถอนคืนการให้ประการหนึ่ง ตามมาตรา 531 (1) ซึ่งผู้ให้ไม่สามารถมาฟ้องและดำเนินคดีได้เองโดยสภาพ ทายาทของผู้ให้จึงฟ้องและดำเนินคดีแทนได้
- ผู้ให้ถูกผู้รับกีดกันไม่ให้ฟ้องคดีถอนคืนการให้ในระหว่างมีชีวิต หากต่อมาผู้ให้ถึงแก่ความตายโดยยังไม่ได้ฟ้องคดีไว้ ทายาทของผู้ให้สามารถฟ้องและดำเนินคดีแทนได้
- ผู้ให้ได้ฟ้องคดีถอนคืนการให้ไว้แล้วแต่ถึงแก่ความตายก่อนคดีจะเสร็จสิ้น ทายาทของผู้ให้ย่อมดำเนินคดีแทนต่อไปได้ตามมาตรา 42 และมาตรา 43 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ผลของการถอนคืนการให้
หากมีการฟ้องถอนคืนการให้และผลปรากฏว่าฝ่ายผู้ให้ชนะคดี ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายผู้ให้จะได้รับทรัพย์สินที่ให้กลับคืนมาครบถ้วนตามมูลค่าหรือสภาพเช่นเดียวกับตอนที่ให้เสมอไป
ในประเด็นนี้สามารถแยกอธิบายออก เป็น 2 กรณี ดังนี้
1. กรณีให้เงิน
มาตรา 534 ประกอบมาตรา 412 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดว่า หากทรัพย์สินที่ให้เป็นเงิน เมื่อมีการถอนคืนการให้แล้ว ผู้รับที่ประพฤติเนรคุณจะต้องคืนเงินเพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะที่เรียกคืน เช่น ให้เงินสด 1 ล้านบาท ผู้รับนำไปใช้จ่ายแล้ว 2 แสนบาท ต่อมาผู้รับได้ประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้ และมีการฟ้องถอนคืนการให้จนผู้ให้ชนะคดี เช่นนี้ ผู้ให้มีสิทธิได้รับเงินคืนจากผู้รับเเพียง 8 แสนบาทเท่านั้น
2. กรณีให้ทรัพย์สินอย่างอื่นที่ไม่ใช่เงิน
มาตรา 534 ประกอบมาตรา 413 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดว่า หากทรัพย์สินที่ให้เป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่เงิน เมื่อมีการถอนคืนการให้แล้ว ผู้รับที่ประพฤติเนรคุณจะต้องคืนทรัพย์สินตามสภาพที่เป็นอยู่โดยไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายหรือการสูญหายของทรัพย์สินนั้น
แต่หากได้รับค่าสินไหมทดแทนมาเพราะความเสียหายหรือการสูญหายก็ต้องคืนแก่ผู้ให้ด้วย เช่น ให้รถยนต์มือหนึ่ง ผู้รับได้นำไปขับขี่และเกิดเฉี่ยวชนขึ้น ต่อมาผู้รับได้ประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้ และมีการฟ้องถอนคืนการให้จนผู้ให้ชนะคดี เช่นนี้ ผู้รับต้องคืนรถยนต์ตามสภาพที่มีรอยเฉี่ยวชนโดยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายหรือค่าซ่อมแซมใด ๆ แก่ผู้ให้ แต่หากผู้รับได้เงินค่าสินไหมทดแทนจากผู้เฉี่ยวชนหรือเงินประกันที่จ่ายให้เพราะการเฉี่ยวชนนั้น ผู้รับก็ต้องคืนเงินดังกล่าวพร้อมกับรถยนต์แก่ผู้ให้ด้วย
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ







