
คำถามนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก โดยเฉพาะกับคนที่ต้องเผชิญหน้ากับคดีอาญาที่มีหลายข้อหาพร้อมกัน บางคนคิดว่าถ้าโดนฟ้อง 5 ข้อหา แต่ละข้อหาจำคุก 2 ปี ก็ต้องติดคุกรวม 10 ปีแน่ ๆ แต่ความจริงแล้ว กฎหมายไทยมีกลไกคุ้มครอง ไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหาโดนโทษหนักเกินสมควร นั่นคือ "การรวมโทษตามมาตรา 90 และ 91 อาญา"
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจว่า ข้อหาหลายกระทง คืออะไร ต่างจาก "กรรมเดียวผิดหลายบท" อย่างไร โทษสูงสุดที่รวมได้คือเท่าไร โทษต่ำสุดที่อาจได้จริงเป็นอย่างไร และที่สำคัญ — ถ้าคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญคดีแบบนี้ ควรทำอะไรเพื่อลดโทษให้ได้มากที่สุด
บทความนี้เขียนโดยอ้างอิงกฎหมายจริง คำพิพากษาศาลฎีกา และกรณีตัวอย่างจากระบบ Legardy ที่มีทนายความกว่า 700 ท่านให้คำปรึกษาคนไทยทั่วประเทศมากกว่า 26,000 เคสต่อปี เราจะอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่เทคนิค และใช้ได้จริง
ข้อหาหลายกระทงคืออะไร มาตรา 90-91 อาญาต่างกันอย่างไร?

"ข้อหาหลายกระทง คือการที่บุคคลคนเดียวทำความผิดหลายข้อหา ซึ่งศาลต้องลงโทษแยกเป็นกระทง ๆ ไป แต่ว่าจะรวมโทษได้มากแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็น 'กรรมเดียวผิดหลายบท' (มาตรา 90) หรือ 'หลายกรรมต่างกัน' (มาตรา 91)"
เรื่องนี้สำคัญมากในทางปฏิบัติ เพราะผลลัพธ์ต่างกันชัดเจน ถ้าศาลวินิจฉัยว่าเป็น "กรรมเดียว" คุณจะโดนโทษแค่ข้อหาที่หนักสุดข้อหาเดียว ไม่ต้องรวมโทษ แต่ถ้าศาลวินิจฉัยว่าเป็น "หลายกรรมต่างกัน" ศาลจะลงโทษทุกข้อหาแยกกัน แล้วรวมโทษทั้งหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจทำให้โทษพุ่งขึ้นเป็นหลายปีได้ในชั่วพริบตา
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ถ้าโดนฟ้องหลายข้อหาก็ต้องรวมโทษทุกกรณี หรือบางคนคิดตรงกันข้ามว่า ถ้าทำผิดแค่ครั้งเดียวก็ไม่ต้องรวมโทษ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น กฎหมายดูที่ "ลักษณะการกระทำ" และ "เจตนา" มากกว่าจำนวนข้อหา
ลองมาทำความเข้าใจกันทีละขั้นว่า มาตรา 90 กับ มาตรา 91 ต่างกันยังไง และทำไมคนที่โดนฟ้องหลายข้อหาถึงต้องรู้เรื่องนี้ให้ชัดเจน
มาตรา 90 อาญา: กรรมเดียว ผิดหลายบท — ใช้โทษที่หนักสุด
"กรรมเดียวผิดหลายบท หมายถึงการกระทำเพียงครั้งเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายมาตรา ศาลจะลงโทษตามมาตราที่มีโทษหนักที่สุดเท่านั้น ไม่รวมโทษจากข้อหาอื่น"
หลักการนี้เกิดขึ้นเพื่อความยุติธรรม เพราะถ้าคนคนหนึ่งกระทำผิดด้วย "เจตนาเดียว" ในเหตุการณ์เดียวกัน แม้จะผิดหลายมาตราก็ตาม การลงโทษควรสะท้อนถึงความผิดนั้นในภาพรวม ไม่ใช่บวกโทษทุกข้อหาเข้าด้วยกันจนเกินความผิดที่แท้จริง กฎหมายเลยกำหนดให้ใช้โทษของบทที่หนักที่สุดเพียงบทเดียว
ตัวอย่างที่เข้าใจได้ทันที
ลองนึกภาพว่าคุณขับรถไปทำธุระในตอนเช้า รถติดมาก คุณเร่งความเร็วเกินกำหนด 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และลืมคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย ตำรวจจราจรสั่งหยุดรถคุณและออกใบสั่งพร้อมกันสองข้อหา คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด ซึ่งปรับไม่เกินพันบาท และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
คำถามคือ คุณต้องจ่ายค่าปรับรวมกันหนึ่งพันห้าร้อยบาทใช่ไหม? คำตอบคือ ไม่ใช่ ตามหลักมาตรา 90 คุณจะโดนปรับแค่ข้อหาที่มีโทษหนักกว่า คือขับรถเร็วเกินกำหนดเท่านั้น ไม่ต้องบวกค่าปรับจากข้อหาไม่คาดเข็มขัดเพิ่ม เพราะการกระทำของคุณเป็น "กรรมเดียว" คือการขับรถไปในเหตุการณ์เดียวกัน แม้จะผิดกฎหมายสองมาตราก็ตาม
มาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า
"เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด"
แหล่งอ้างอิง: ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มาตรา 90 — ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 73 ตอนที่ 95
หลักการนี้ใช้กับความผิดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นความผิดลหุโทษ หรือความผิดร้ายแรง ตราบใดที่การกระทำนั้นเป็น "กรรมเดียว" ก็ใช้โทษบทที่หนักที่สุดเพียงบทเดียว
Case Study: กรณีของคุณสมชาย — เข้าบ้านคนอื่นแล้วขโมยของ
สถานการณ์: คุณสมชายเป็นคนงานก่อสร้างที่ว่างงานมาสามเดือน เขาเห็นบ้านของนายจ้างเก่าเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ในตอนกลางวัน จึงตัดสินใจปีนเข้าไปในบ้านและหยิบทองคำหนัก 2 บาทออกมา เจ้าของบ้านแจ้งความ และตำรวจจับกุมได้
เมื่อศาลพิจารณาคดี โจทก์ฟ้องคุณสมชายทั้งสองข้อหา ได้แก่ ข้อหาที่ 1: บุกรุกเคหสถาน ตามมาตรา 362 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท และ ข้อหาที่ 2: ลักทรัพย์ในเคหสถาน/สถานที่ราชการ/สถานบริการ ตามมาตรา 335 วรรคแรก (8) ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี
คำถาม: ศาลจะรวมโทษทั้งสองข้อหานี้ไหม คุณสมชายจะต้องติดคุกสามปีครึ่งหรือเปล่า?
คำตอบ: ไม่ ศาลจะพิจารณาว่าการกระทำของคุณสมชายเป็น "กรรมเดียว" เพราะเขาเข้าบ้านและขโมยของในเหตุการณ์เดียวกัน มีเจตนาเดียวคือต้องการขโมยทรัพย์สิน การบุกรุกเป็นเพียงวิธีการเข้าถึงทรัพย์สินเท่านั้น ไม่ใช่เจตนาแยกต่างหาก ดังนั้น ตามมาตรา 90 ศาลจะลงโทษคุณสมชายเฉพาะข้อหา ลักทรัพย์ในเคหสถาน ซึ่งเป็นข้อหาที่มีโทษหนักกว่า ไม่ต้องลงโทษข้อหาบุกรุกเพิ่มเติม
ในคำพิพากษาจริง หากคุณสมชายให้การรับสารภาพ ศาลอาจลดโทษให้เหลือจำคุกประมาณหนึ่งปีถึงหนึ่งปีครึ่ง ไม่ใช่สามปีครึ่งตามที่หลายคนเข้าใจผิด
มาตรา 90 จะใช้ได้ต่อเมื่อการกระทำนั้นเป็น "กรรมเดียว" จริง ๆ ซึ่งหมายความว่าต้องเกิดขึ้นในเหตุการณ์เดียวกัน เวลาเดียวกัน และมีเจตนาเดียวกัน ถ้าการกระทำเกิดขึ้นต่างเวลา ต่างสถานที่ หรือมีเจตนาที่แตกต่างกันชัดเจน แสดงว่าไม่ใช่กรรมเดียวแล้ว ต้องใช้มาตรา 91 แทน ซึ่งจะต้องรวมโทษทุกกระทง
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขโมยของในบ้านหลังหนึ่งเมื่อวันจันทร์ แล้วกลับไปขโมยในบ้านเดิมอีกครั้งในวันพุธ นี่ไม่ใช่กรรมเดียว เป็นสองกรรมแยกกัน เพราะทำต่างเวลา มีเจตนาแยกกันสองครั้ง ศาลจะต้องลงโทษทั้งสองกระทงและรวมโทษตามมาตรา 91
นอกจากนี้ ศาลยังดูที่ "ลักษณะของความผิด" ด้วย บางข้อหาถึงแม้จะเกิดในเหตุการณ์เดียวกัน แต่ถ้ามีลักษณะเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง หรือมีเจตนาที่แยกออกจากกันได้ชัดเจน ศาลก็อาจแยกเป็นหลายกรรมได้ เช่น การฉ้อโกงและการมีธนบัตรปลอมไว้เพื่อนำออกใช้ แม้จะเกิดในเหตุการณ์เดียว แต่เป็นความผิดที่มีเจตนาต่างกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นต่างกรรมกัน
มาตรา 91 อาญา: หลายกรรม ต่างวาระ — รวมโทษทุกกระทง
"หลายกรรมต่างกัน หมายถึงการกระทำความผิดหลายครั้ง หลายเหตุการณ์ หรือมีเจตนาแยกกัน ศาลจะลงโทษแต่ละกรรมเป็นกระทงความผิดไป แล้วจึงรวมโทษทั้งหมด แต่มีเพดาน ไม่ให้เกินกำหนดตามมาตรา 91"
นี่คือจุดที่หลายคนเข้าใจผิด บางคนคิดว่าถ้าทำผิดห้าข้อหา แต่ละข้อหาจำคุกสองปี ก็ต้องติดคุกสิบปีแน่ ๆ แต่ความจริงแล้ว กฎหมายไทยมีกลไกคุ้มครอง คือ "การกำหนดโทษสูงสุดที่รวมได้" เพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดโดนโทษหนักเกินสมควร แม้จะทำผิดหลายกรรมก็ตาม
หลักการของมาตรา 91 คือ ศาลจะลงโทษทุกกรรมแยกกันก่อน เช่น กรรมแรกจำคุกสามปี กรรมที่สองจำคุกสองปี กรรมที่สามจำคุกหนึ่งปี แล้วจึงเรียงกระทงรวมโทษเข้าด้วยกัน แต่เมื่อรวมแล้ว ต้องไม่เกินกำหนดตามมาตรา 91 ซึ่งดูจากความผิดกระทงที่หนักที่สุด
มาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า
"เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ไม่ว่าจะมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษด้วยหรือไม่ก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนดดังต่อไปนี้
(1) สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี
(2) ยี่สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี
(3) ห้าสิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต"
แหล่งอ้างอิง: ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มาตรา 91 (แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2526) — ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 100 ตอนที่ 53 วันที่ 5 เมษายน 2526
Case Study: กรณีของคุณสมหญิง — ลักทรัพย์สองครั้งในบ้านเดิม
สถานการณ์: คุณสมหญิงเป็นแม่บ้านประจำในบ้านนายจ้างคนหนึ่ง เดือนมกราคม เธอลักสร้อยทองหนักหนึ่งบาทไปขายได้เงินสามหมื่นบาท จากนั้นสองเดือนต่อมาในเดือนมีนาคม เธอกลับมาลักแหวนเพชรมูลค่าห้าหมื่นบาทอีกครั้งในบ้านหลังเดียวกัน นายจ้างตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้วแจ้งความ ตำรวจจับกุมคุณสมหญิงได้พร้อมของกลาง
เมื่อศาลพิจารณาคดี โจทก์ฟ้องคุณสมหญิงฐาน ลักทรัพย์ในเคหสถาน สองกระทงความผิด กระทงแรกเกี่ยวกับสร้อยทอง และกระทงหลังเกี่ยวกับแหวนเพชร แต่ละกระทงมีโทษจำคุกไม่เกินสามปีตามมาตรา 335 วรรคแรก (8)
คำถาม: นี่เป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม? ถ้าเป็นหลายกรรม คุณสมหญิงจะต้องติดคุกหกปีเต็มหรือเปล่า?
คำตอบ: การกระทำของคุณสมหญิงเป็น "หลายกรรมต่างกัน" อย่างชัดเจน เพราะการลักทรัพย์ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นต่างเวลากัน ห่างกันสองเดือน และแต่ละครั้งมีเจตนาแยกกัน ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวกัน แม้จะเกิดในบ้านหลังเดียวกันก็ตาม ดังนั้น ศาลจะต้องลงโทษทั้งสองกระทงและรวมโทษตามมาตรา 91
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คุณสมหญิงมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษกระทงแรกจำคุกสามปี กระทงหลังจำคุกสองปี เรียงกระทงรวมโทษจำคุกห้าปี แต่เนื่องจากคุณสมหญิงให้การรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุกสองปีหกเดือน
สังเกตว่า แม้โทษของแต่ละกระทงรวมกันเป็นห้าปี แต่หลังลดโทษกลายเป็นสองปีครึ่ง ไม่ใช่หกปีตามที่หลายคนคิด และที่สำคัญคือ แม้คุณสมหญิงจะทำผิดสองครั้ง แต่เนื่องจากข้อหาลักทรัพย์มีอัตราโทษสูงสุดไม่เกินสามปี ตามมาตรา 91 (1) การรวมโทษต้องไม่เกินสิบปี จึงเป็นการคุ้มครองไม่ให้โทษหนักเกินไป
ความแตกต่างระหว่าง "กรรมเดียว" กับ "หลายกรรม"
จุดสำคัญที่ศาลใช้พิจารณาคือ "เจตนา" และ "เวลาที่กระทำ" หากการกระทำเกิดขึ้นในเหตุการณ์เดียวกัน มีเจตนาเดียว แม้จะผิดหลายมาตราก็เป็นกรรมเดียว แต่หากการกระทำเกิดขึ้นต่างเวลา ต่างสถานที่ หรือมีเจตนาที่แยกกันชัดเจน ก็เป็นหลายกรรม
ตัวอย่างเช่น หากคุณขโมยของในบ้านหลังหนึ่งตอนเช้า แล้วขับรถหนีไปขโมยของในบ้านอีกหลังหนึ่งตอนบ่าย นี่คือสองกรรมแยกกัน เพราะทำต่างเวลา ต่างสถานที่ มีเจตนาแยกกันสองครั้ง ศาลจะลงโทษทั้งสองกระทงและรวมโทษตามมาตรา 91
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ หากคุณฉ้อโกงคนหนึ่งในวันจันทร์ แล้วไปฉ้อโกงอีกคนหนึ่งในวันพุธ นี่ก็เป็นสองกรรม แม้จะเป็นข้อหาเดียวกันก็ตาม เพราะเหยื่อต่างคน เวลาต่างกัน มีเจตนาแยกกัน
แต่บางกรณีอาจไม่ชัดเจนนัก เช่น การที่คุณฉ้อโกงคนหนึ่งแล้วใช้ธนบัตรปลอมในการทำธุรกรรมนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่านี่เป็น "ต่างกรรมกัน" เพราะความผิดฐานฉ้อโกงกับความผิดฐานมีธนบัตรปลอมไว้เพื่อนำออกใช้เป็นความผิดที่มีเจตนาประสงค์ต่อผลแตกต่างกัน และสามารถแยกการกระทำได้ จึงต้องลงโทษทั้งสองกระทงและรวมโทษ
ตัวอย่างเคสอื่น ๆ ที่เป็นหลายกรรมต่างกัน
เคสแรก คือการมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง และพยายามจำหน่ายอาวุธปืน แม้ว่าทั้งสามข้อหาจะเกี่ยวกับอาวุธปืนกระบอกเดียวกัน แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นสามกรรมแยกกัน เพราะแต่ละข้อหามีองค์ประกอบความผิดต่างกัน มีเจตนาต่างกัน จึงต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงไปและรวมโทษ
เคสที่สอง คือการที่จำเลยร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหายสี่คน ในสี่เหตุการณ์แยกกัน โดยใช้วิธีการหลอกลวงแล้วสับเปลี่ยนธนบัตรจริงเป็นธนบัตรปลอม ศาลวินิจฉัยว่าเป็นสี่กรรมแยกกัน แต่ละกรรมมีผู้เสียหายต่างคน เวลาต่างกัน จึงต้องลงโทษทั้งสี่กระทงและรวมโทษ
เคสที่สาม คือการที่จำเลยกระทำความผิดหลายข้อหาที่เกี่ยวพันกัน จนโจทก์ฟ้องเป็นคดีเดียวกัน เช่น ผลิตปุ๋ยเคมีโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ผลิตปุ๋ยอินทรีย์โดยไม่ขึ้นทะเบียน ขายปุ๋ยที่ผลิตโดยไม่ได้รับอนุญาต และโฆษณาปุ๋ยอย่างเข้าใจผิด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะเกี่ยวกับปุ๋ยชุดเดียวกัน แต่ลักษณะของความผิดในแต่ละข้อหาแตกต่างกัน มีเจตนาแยกกันได้ จึงต้องลงโทษเป็นหลายกระทงและรวมโทษตามมาตรา 91
จุดสำคัญที่ต้องจำเกี่ยวกับมาตรา 91
ประการแรก ศาลจะลงโทษแต่ละกรรมแยกกันก่อน แล้วจึงรวมโทษทั้งหมดเข้าด้วยกัน แต่เมื่อรวมแล้วต้องไม่เกินเพดานที่กฎหมายกำหนด ซึ่งดูจากความผิดกระทงที่หนักที่สุด
ประการที่สอง การลดโทษเนื่องจากการรับสารภาพหรือเหตุบรรเทาโทษอื่น ๆ นั้น มีคำถามว่าควรลดก่อนรวมโทษหรือรวมโทษก่อนแล้วค่อยลด ศาลฎีกามีคำพิพากษาชี้แจงว่า ต้องลดโทษให้เป็นรายกระทงก่อน แล้วจึงรวมโทษตามมาตรา 91 ไม่ใช่รวมโทษก่อนแล้วค่อยลด เพราะจะทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษหนักเกินไป
ประการที่สาม มาตรา 91 ใช้ได้เฉพาะกรณีที่ความผิดทั้งหมดมีลักษณะที่เกี่ยวพันกันจนอาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 160 วรรคหนึ่ง หรือรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้ หากเป็นคดีที่มีคำฟ้องและคำพิพากษาต่างสำนวนต่างหากออกไป และความผิดไม่ได้เกี่ยวพันกันจนอาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้ กรณีจะไม่ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 91
อ่านบทความเพิ่มเติม:
ถูกฟ้องหลายข้อหาในคดีเดียวต้องรับโทษทุกข้อหาหรือไม่? — อธิบายความแตกต่างระหว่างกรรมเดียวกับหลายกรรมอย่างละเอียด พร้อมตัวอย่างคำพิพากษา
ทำผิดซ้ำๆ ระวังโทษหนักขึ้น! — หลักกฎหมายเรื่องการกระทำความผิดซ้ำ และการเพิ่มโทษตามมาตรา 92-94
ต่างกรรมต่างวาระ หมายความว่าอย่างไร?

"ต่างกรรมต่างวาระ คือการกระทำความผิดที่แยกกันได้ชัดเจนทั้งในเรื่องของเวลา สถานที่ หรือเจตนา ทำให้ศาลต้องลงโทษแต่ละกรรมเป็นกระทงไปแล้วรวมโทษ ซึ่งต่างจาก 'กรรมเดียวผิดหลายบท' ที่ทำในเหตุการณ์เดียวกันด้วยเจตนาเดียว"
คำว่า "ต่างกรรมต่างวาระ" เป็นศัพท์เฉพาะทางกฎหมายที่หลายคนสับสนและเข้าใจผิดบ่อยมาก โดยเฉพาะคนที่โดนฟ้องหลายข้อหาพร้อมกัน บางคนคิดว่า ถ้าทำผิดในวันเดียวกันก็ไม่ใช่ต่างวาระ หรือบางคนคิดว่า ถ้าทำผิดในที่เดียวกันก็ต้องเป็นกรรมเดียว แต่ความจริงแล้ว กฎหมายไม่ได้ดูแค่เวลาหรือสถานที่เท่านั้น แต่ดูที่ "เจตนา" และ "ลักษณะของความผิด" เป็นหลัก
หลักการพื้นฐานคือ ถ้าการกระทำแต่ละครั้งมีเจตนาแยกกัน หรือเป็นความผิดที่สำเร็จในตัวเอง แม้จะเกิดในเวลาใกล้เคียงกัน หรือแม้แต่ในเหตุการณ์เดียวกัน ก็อาจถือเป็น "ต่างกรรมต่างวาระ" ได้ ซึ่งจะทำให้ศาลต้องลงโทษทุกกรรมแยกกันและรวมโทษตามมาตรา 91
ลองมาดูตัวอย่างจริงเพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น
Case Study 1: การฉ้อโกงและมีธนบัตรปลอม — ต่างกรรมกันหรือไม่?
สถานการณ์: คุณประเสริฐและพวกวางแผนหลอกลวงผู้เสียหายสี่คนโดยการสับเปลี่ยนธนบัตรจริงเป็นธนบัตรปลอม เขาและพวกเข้าหาผู้เสียหายคนแรกในตลาดนัด อ้างว่าต้องการแลกเงินแล้วสับเปลี่ยนธนบัตรจริงเป็นธนบัตรปลอมที่เตรียมมาล่วงหน้า จากนั้นก็ไปหาผู้เสียหายคนที่สอง สาม และสี่ในวันเดียวกัน ทำวิธีการเดียวกัน ตำรวจจับกุมได้พร้อมธนบัตรปลอมที่เหลืออยู่
เมื่อศาลพิจารณาคดี โจทก์ฟ้องคุณประเสริฐและพวกทั้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงสี่กระทง และข้อหามีธนบัตรปลอมไว้เพื่อนำออกใช้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 ประกอบมาตรา 247
คำถาม: การฉ้อโกงสี่ครั้งนี้เป็นกี่กรรม? และการมีธนบัตรปลอมกับการฉ้อโกงเป็นกรรมเดียวกันหรือต่างกรรม?
คำตอบจากศาลฎีกา: ศาลฎีกาวินิจฉัยในคำพิพากษาที่ 901/2565 ว่า การฉ้อโกงผู้เสียหายแต่ละคนเป็นสี่กรรมแยกกัน เพราะแต่ละครั้งมีผู้เสียหายต่างคน เวลาและสถานที่ต่างกัน แม้จะใช้วิธีการเดียวกันและทำในวันเดียวกันก็ตาม
ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงกับความผิดฐานมีธนบัตรปลอมไว้เพื่อนำออกใช้ นั้น ศาลฎีกาชี้แจงว่าเป็นต่างกรรมกัน เพราะมีเจตนาประสงค์ต่อผลแตกต่างกัน การมีธนบัตรปลอมเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการรับธนบัตรนั้นไว้เพื่อนำออกใช้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนบัตรปลอม ไม่ใช่เมื่อมีการนำออกใช้ ส่วนการฉ้อโกงเป็นความผิดที่สำเร็จเมื่อหลอกลวงผู้อื่นแล้วได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ดังนั้น แม้จะใช้ธนบัตรปลอมเดียวกันในการฉ้อโกง แต่ก็เป็นสองความผิดที่แยกกันได้ จึงต้องลงโทษทั้งสองกระทงและรวมโทษตามมาตรา 91
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้การกระทำทั้งหมดจะเกิดขึ้นในเหตุการณ์เดียวกัน และใช้ธนบัตรปลอมชุดเดียวกัน แต่เนื่องจากมีเจตนาที่แตกต่างกัน คือ เจตนาหนึ่งเพื่อหลอกลวงผู้อื่น และเจตนาที่สองเพื่อมีธนบัตรปลอมไว้เพื่อนำออกใช้ ศาลจึงแยกเป็นต่างกรรมกัน
จุดสำคัญที่ต้องจำเกี่ยวกับ "ต่างกรรมต่างวาระ"
สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ "ต่างวาระ" ไม่ได้หมายความว่าต้องทำต่างเวลากันเสมอไป แต่หมายถึงทำในโอกาสต่างกัน หรือมีเจตนาแยกกัน ถึงแม้จะเกิดในวันเดียวกันหรือเวลาใกล้เคียงกันก็ตาม
สิ่งที่สองคือ ศาลจะพิจารณาจากลักษณะของความผิด และองค์ประกอบความผิด ว่าเป็นความผิดที่สำเร็จในตัวเองหรือไม่ หากแต่ละข้อหามีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน มีเจตนาที่แตกต่างกัน แม้จะเกิดในเหตุการณ์เดียวกันก็อาจถือเป็นต่างกรรมได้
สิ่งที่สามคือ การที่ศาลตัดสินว่าเป็นกรรมเดียวหรือต่างกรรมนั้น มีผลโดยตรงต่อโทษที่จำเลยจะได้รับ หากเป็นกรรมเดียวจะใช้โทษที่หนักที่สุดเพียงบทเดียว แต่หากเป็นต่างกรรมจะต้องรวมโทษทุกกระทง ซึ่งอาจทำให้โทษเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
สิ่งที่สี่คือ ในทางปฏิบัติ หากคุณหรือทนายของคุณสามารถโต้แย้งได้ว่าการกระทำเป็นกรรมเดียว มีเจตนาเดียว ไม่ใช่ต่างกรรมต่างวาระ อาจช่วยลดโทษได้อย่างมาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมการมีทนายความที่เข้าใจหลักกฎหมายในเรื่องนี้จึงสำคัญมาก
ถ้าคุณกำลังโดนฟ้องหลายข้อหา และไม่แน่ใจว่าข้อหาเหล่านั้นเป็น "กรรมเดียว" หรือ "ต่างกรรมต่างวาระ" การวิเคราะห์ถูกต้องอาจช่วยลดโทษได้อย่างมาก เพราะถ้าศาลยอมรับว่าเป็นกรรมเดียว คุณจะโดนโทษแค่ข้อหาที่หนักสุดเพียงข้อเดียว แต่ถ้าถูกตัดสินว่าเป็นต่างกรรม โทษอาจพุ่งขึ้นเป็นสองเท่าหรือมากกว่า Legardy มีทนายความมากกว่า 700 ท่านทั่วประเทศ พร้อมวิเคราะห์กรณีของคุณและวางกลยุทธ์ต่อสู้คดี แชทถามทนายตอนนี้
โทษสูงสุดที่รวมได้ตามมาตรา 91 คือกี่ปี?
"โทษสูงสุดที่รวมได้ ขึ้นอยู่กับอัตราโทษของกระทงที่หนักที่สุด โดยถ้ากระทงที่หนักสุดมีโทษไม่เกิน 3 ปี รวมได้ไม่เกิน 10 ปี ถ้าเกิน 3 แต่ไม่เกิน 10 ปี รวมได้ไม่เกิน 20 ปี และถ้าเกิน 10 ปีขึ้นไป รวมได้ไม่เกิน 50 ปี ยกเว้นกรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต"
นี่คือหลักการคุ้มครองที่สำคัญมากในระบบกฎหมายไทย เพราะถ้าไม่มีข้อจำกัดนี้ คนที่ทำผิดหลายกรรมอาจต้องติดคุกเป็นร้อยปีได้ ซึ่งไม่สมเหตุสมผล กฎหมายจึงกำหนดเพดานไว้ให้ชัดเจน โดยดูจากความผิดกระทงที่หนักที่สุดเป็นตัวกำหนดว่าจะรวมโทษได้มากที่สุดเท่าไร
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ "อัตราโทษอย่างสูง" ในที่นี้หมายถึงโทษสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติไว้ ไม่ใช่โทษที่ศาลลงจริง ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี แม้ศาลจะลงโทษคุณเพียงสองปีก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาว่าจะรวมโทษได้เท่าไร ก็ต้องดูที่อัตราโทษอย่างสูงคือห้าปี ซึ่งอยู่ในช่วงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี ดังนั้นการรวมโทษทั้งหมดต้องไม่เกินยี่สิบปี
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ถ้าทำผิดสิบข้อหา แต่ละข้อหาจำคุกสองปี ก็ต้องรวมเป็นยี่สิบปีเต็ม แต่จริงแล้วต้องดูว่าอัตราโทษของข้อหาที่หนักที่สุดคืออะไรก่อน ถ้าอัตราโทษอย่างสูงไม่เกินสามปี การรวมโทษทั้งหมดต้องไม่เกินสิบปี ไม่ว่าจะมีกี่กระทงก็ตาม
กระทงหนักสุด ≤ 3 ปี → รวมไม่เกิน 10 ปี
"หากความผิดกระทงที่หนักที่สุด มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินสิบปี ตามมาตรา 91 (1)"
กรณีนี้มักพบในความผิดที่ไม่ร้ายแรงมากนัก เช่น ลักทรัพย์ทั่วไป ยักยอกทรัพย์มูลค่าไม่มาก ทำร้ายร่างกายเล็กน้อย หรือความผิดเกี่ยวกับเอกสารบางกรณี แม้จะทำผิดหลายครั้ง แต่เนื่องจากแต่ละข้อหามีอัตราโทษไม่เกินสามปี การรวมโทษจึงไม่เกินสิบปี
หลักการนี้เกิดขึ้นเพื่อความเป็นธรรม เพราะถ้าคนคนหนึ่งกระทำความผิดเล็กน้อยหลายครั้ง เช่น ขโมยของราคาถูกสิบครั้ง ถ้าไม่มีข้อจำกัดก็อาจต้องติดคุกหลายสิบปี ซึ่งไม่สมส่วนกับความร้ายแรงของความผิด กฎหมายจึงกำหนดให้รวมโทษได้ไม่เกินสิบปี
Case Study: กรณีของคุณมานะ — ลักทรัพย์สามครั้งในสถานที่ต่าง ๆ
สถานการณ์: คุณมานะเป็นหนุ่มว่างงานที่มีปัญหาทางการเงิน เขาตัดสินใจลักทรัพย์เพื่อนำไปขายหาเงิน ครั้งแรก เขาลักโทรศัพท์มือถือจากร้านค้ามูลค่าหกพันบาท ครั้งที่สอง เขาลักกระเป๋าเงินจากรถยนต์คันหนึ่งมูลค่าสามพันบาท และครั้งที่สาม เขาลักจักรยานจากหน้าห้างสรรพสินค้ามูลค่าห้าพันบาท ตำรวจสืบสวนติดตามจับกุมได้ครบทั้งสามคดี
เมื่อศาลพิจารณา โจทก์ฟ้องคุณมานะทั้งสามกระทงความผิด แต่ละกระทงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คุณมานะมีความผิดทั้งสามกระทง ลงโทษกระทงแรกจำคุกสองปี กระทงที่สองจำคุกหนึ่งปีหกเดือน กระทงที่สามจำคุกหนึ่งปี หากรวมตามตัวเลขตรง ๆ จะได้สี่ปีหกเดือน แต่ศาลต้องเรียงกระทงและตรวจสอบว่าไม่เกินเพดานที่กฎหมายกำหนด
เนื่องจากความผิดกระทงที่หนักที่สุดคือลักทรัพย์ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงไม่เกินสามปี จึงอยู่ในบังคับของมาตรา 91 (1) ดังนั้น การรวมโทษทั้งหมดต้องไม่เกินสิบปี ในกรณีนี้การรวมโทษสี่ปีครึ่งยังไม่เกินเพดาน จึงถูกต้องตามกฎหมาย
ตัวอย่างความผิดที่มีอัตราโทษอย่างสูงไม่เกินสามปี
ความผิดหลายประเภทมีอัตราโทษในช่วงนี้ เช่น ลักทรัพย์ทั่วไป ตามมาตรา 334 มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ตามมาตรา 326 จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บุกรุกเคหสถานหรืออสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 362 มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทำร้ายร่างกายเล็กน้อย ตามมาตรา 295 มีโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดอื่น ๆ อีกหลายข้อหาที่มีลักษณะไม่ร้ายแรงมาก
หากคุณกระทำความผิดเหล่านี้หลายกรรม ไม่ว่าจะเป็นกี่กรรมก็ตาม การรวมโทษทั้งหมดต้องไม่เกินสิบปี นี่คือการคุ้มครองที่กฎหมายให้ไว้ เพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดเล็กน้อยต้องรับโทษหนักเกินสมควร
กระทงหนักสุด > 3 ถึง 10 ปี → รวมไม่เกิน 20 ปี
"หากความผิดกระทงที่หนักที่สุด มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินยี่สิบปี ตามมาตรา 91 (2)"
กรณีนี้มักพบในความผิดที่ร้ายแรงปานกลาง เช่น ลักทรัพย์ในเคหสถาน ฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสาร ทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัส หรือความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดบางกรณี ความผิดเหล่านี้มีความร้ายแรงมากกว่าความผิดทั่วไป จึงมีอัตราโทษที่สูงขึ้น และเมื่อรวมโทษก็สามารถรวมได้มากขึ้นเป็นยี่สิบปี
นี่คือช่วงที่พบมากที่สุดในคดีอาญา เพราะความผิดหลายประเภทที่เกิดขึ้นบ่อยมีอัตราโทษในช่วงนี้ การเข้าใจว่าจะรวมโทษได้มากที่สุดเท่าไรจึงสำคัญมาก เพราะอาจเป็นตัวกำหนดว่าจำเลยจะต้องติดคุกนานแค่ไหน
Case Study: กรณีของคุณสมบูรณ์ — ลักทรัพย์ในเคหสถานสองครั้ง
สถานการณ์: คุณสมบูรณ์เป็นขโมยมืออาชีพที่วางแผนลักทรัพย์ในบ้านเรือน เขาสังเกตบ้านหลังหนึ่งที่เจ้าของไม่อยู่บ่อย จึงงัดประตูหน้าต่างเข้าไปลักทองคำและเงินสดรวมมูลค่าสามแสนบาท หนึ่งเดือนต่อมา เขากลับมาลักในบ้านหลังเดิมอีกครั้ง ได้ทรัพย์สินมูลค่าสองแสนบาท เจ้าของบ้านตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้วแจ้งความ ตำรวจตามจับได้พร้อมของกลาง
เมื่อศาลพิจารณา โจทก์ฟ้องคุณสมบูรณ์ทั้งสองกระทงความผิด แต่ละกระทงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานวันตามมาตรา 335 วรรคแรก (8) ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คุณสมบูรณ์มีความผิดทั้งสองกระทง ลงโทษกระทงแรกจำคุกห้าปี กระทงที่สองจำคุกสี่ปี เรียงกระทงรวมจำคุกเก้าปี หากดูจากตัวเลขยังไม่เกินเพดานที่กฎหมายกำหนด
เนื่องจากความผิดกระทงที่หนักที่สุดคือลักทรัพย์ในเคหสถานซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงไม่เกินห้าปี ซึ่งอยู่ในช่วงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี จึงอยู่ในบังคับของมาตรา 91 (2) ดังนั้น การรวมโทษทั้งหมดต้องไม่เกินยี่สิบปี ในกรณีนี้การรวมโทษเก้าปียังไม่เกินเพดาน จึงถูกต้อง
แต่คุณสมบูรณ์ให้การรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งเป็นรายกระทงก่อน กระทงแรกเหลือสองปีหกเดือน กระทงที่สองเหลือสองปี แล้วจึงเรียงกระทงรวมเป็นสี่ปีหกเดือน ศาลจึงพิพากษาให้คุณสมบูรณ์จำคุกสี่ปีหกเดือน
กรณีนี้แสดงให้เห็นหลักการสำคัญว่า ต้องลดโทษเป็นรายกระทงก่อน แล้วจึงรวมโทษ ถ้ารวมโทษก่อนแล้วค่อยลด จะได้สี่ปีครึ่งเท่ากัน แต่วิธีที่ถูกต้องคือลดก่อนแล้วค่อยรวม เพราะเป็นประโยชน์แก่จำเลยมากกว่า
ตัวอย่างความผิดที่มีอัตราโทษอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี
ความผิดหลายประเภทมีอัตราโทษในช่วงนี้ เช่น ลักทรัพย์ในเคหสถาน ตามมาตรา 335 มีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท ฉ้อโกง ตามมาตรา 341 มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่บางกรณีที่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมอาจเพิ่มโทษได้ถึงห้าปี
ปลอมแปลงเอกสาร ตามมาตรา 264 มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ วิ่งราวทรัพย์ ตามมาตรา 336 มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท ทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297 มีโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
ความผิดเหล่านี้มีความร้ายแรงปานกลางถึงสูง หากกระทำหลายกรรมอาจต้องรับโทษหนัก แต่การรวมโทษจะไม่เกินยี่สิบปีตามที่กฎหมายกำหนด
กระทงหนักสุด > 10 ปี → รวมไม่เกิน 50 ปี
"หากความผิดกระทงที่หนักที่สุด มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินห้าสิบปี ตามมาตรา 91 (3) เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต"
กรณีนี้เป็นความผิดที่ร้ายแรงมาก เช่น ฆาตกรรม ข่มขืนกระทำชำเรา ค้ายาเสพติดในปริมาณมาก ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธ หรือความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ความผิดเหล่านี้มีอัตราโทษสูงมาก บางข้อหาถึงกับจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต เมื่อกระทำหลายกรรมจึงสามารถรวมโทษได้สูงถึงห้าสิบปี
การกำหนดเพดานที่ห้าสิบปีนี้มีเหตุผลว่า ถ้าไม่มีข้อจำกัด ผู้กระทำความผิดร้ายแรงหลายกรรมอาจต้องโดนโทษรวมเป็นร้อยปีหรือหลายร้อยปี ซึ่งไม่มีความหมายในทางปฏิบัติ เพราะอายุคนเฉลี่ยไม่ถึงร้อยปี กฎหมายจึงกำหนดเพดานที่ห้าสิบปี ซึ่งก็ยาวนานพอที่จะสะท้อนความร้ายแรงของการกระทำแล้ว
สิ่งสำคัญที่ต้องจำคือ หากศาลเห็นว่าความผิดร้ายแรงถึงขนาดสมควรลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ก็ไม่ต้องคำนึงถึงเพดานห้าสิบปี เพราะโทษจำคุกตลอดชีวิตหนักกว่าโทษจำคุกกี่ปีก็ตาม นี่คือข้อยกเว้นที่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนในมาตรา 91 (3)
ตัวอย่างความผิดที่มีอัตราโทษอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป
ความผิดที่ร้ายแรงมากมีอัตราโทษในช่วงนี้ เช่น ฆาตกรรม ตามมาตรา 288 มีโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี ข่มขืนกระทำชำเรา ตามมาตรา 276 มีโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท ปล้นทรัพย์ ตามมาตรา 339 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-10ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 - 200,000 บาท
จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทที่หนึ่งปริมาณมาก ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มีโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต ขึ้นอยู่กับปริมาณ ลักพาตัว ตามมาตรา 310 วรรคสาม มีโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท
ความผิดเหล่านี้มีความร้ายแรงสูงสุด สะท้อนถึงอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ และความสงบสุขของสังคม การกำหนดโทษจึงสูงมาก และหากกระทำหลายกรรมก็สามารถรวมโทษได้สูงถึงห้าสิบปี
วิธีคำนวณโทษรวมหลายกระทง

"การคำนวณโทษรวม ต้องทำตามลำดับขั้นตอน คือ ลงโทษแต่ละกระทงก่อน แล้วเรียงกระทงรวมโทษ สุดท้ายจึงลดโทษถ้ามีเหตุบรรเทา ถ้าทำผิดลำดับอาจทำให้จำเลยโดนโทษหนักเกินกว่าที่ควรจะเป็น"
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า การรวมโทษหลายกระทงเป็นเรื่องง่าย แค่เอาโทษแต่ละข้อหามาบวกกัน แล้วถ้ารับสารภาพก็แบ่งครึ่ง แต่ความจริงแล้ว กระบวนการคำนวณโทษมีขั้นตอนที่ชัดเจน และถ้าทำผิดลำดับจะส่งผลให้จำเลยได้รับโทษที่แตกต่างกันมาก
ศาลฎีกามีคำพิพากษาหลายฉบับที่ชี้แจงว่า ต้องลดโทษเป็นรายกระทงก่อน แล้วจึงรวมโทษ ไม่ใช่รวมโทษก่อนแล้วค่อยลด เพราะถ้ารวมก่อนแล้วค่อยลด จำเลยจะได้รับโทษหนักกว่า ซึ่งไม่เป็นธรรม นี่คือหลักการสำคัญที่ทนายและผู้พิพากษาทุกคนต้องเข้าใจ
ลองมาดูทีละขั้นตอนอย่างละเอียดพร้อมตัวอย่างเคสจริงเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
ขั้นตอนที่ 1: ลงโทษแต่ละกระทงก่อน
"ขั้นตอนแรก ศาลต้องลงโทษแต่ละกระทงแยกกันก่อน โดยพิจารณาจากความร้ายแรงของแต่ละความผิด มูลค่าความเสียหาย และพฤติการณ์ของการกระทำ แล้วจึงกำหนดโทษที่เหมาะสมสำหรับแต่ละกระทง"
การลงโทษแต่ละกระทงนี้เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่า ศาลพิจารณาแต่ละความผิดอย่างรอบคอบ ไม่ใช่มองเป็นกลุ่มเดียว ศาลจะดูที่ปัจจัยหลายอย่าง เช่น มูลค่าทรัพย์สินที่เสียหาย ความร้ายแรงของการกระทำ ผลกระทบต่อผู้เสียหาย และเจตนาของจำเลย
หลักการลงโทษแต่ละกระทง
ศาลจะพิจารณาความร้ายแรงของแต่ละกระทงแยกกัน แม้จะเป็นความผิดประเภทเดียวกันก็ตาม ตัวอย่างเช่น ถ้าลักทรัพย์สามครั้ง กระทงที่มูลค่าสูงกว่าจะได้โทษหนักกว่า หรือถ้ากระทงใดมีพฤติการณ์ฉกรรจ์ เช่น ใช้อาวุธ หรือทำในเวลากลางคืน ก็จะได้โทษหนักกว่ากระทงที่เป็นการกระทำธรรมดา
ตัวอย่างการลงโทษแต่ละกระทง:
ลักทรัพย์มูลค่า 50,000 บาท → ศาลอาจลงโทษ 2 ปี
ลักทรัพย์มูลค่า 20,000 บาท → ศาลอาจลงโทษ 1 ปี 6 เดือน
ลักทรัพย์มูลค่า 10,000 บาท → ศาลอาจลงโทษ 1 ปี
ขั้นตอนที่ 2: เรียงกระทงลงโทษ (ตาม ม.91)
"ขั้นตอนที่สอง คือการเรียงกระทงรวมโทษทุกกระทงเข้าด้วยกัน ตามมาตรา 91 โดยนำโทษที่ลงไว้ในแต่ละกระทงมาบวกรวมกัน แต่ต้องไม่เกินเพดานที่กฎหมายกำหนด"
หลังจากที่ศาลลงโทษแต่ละกระทงแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการรวมโทษทั้งหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งเรียกว่า "เรียงกระทงลงโทษ" การรวมโทษนี้ไม่ใช่แค่การบวกเลขธรรมดา แต่ต้องตรวจสอบว่าไม่เกินเพดานที่มาตรา 91 กำหนดไว้
วิธีการเรียงกระทงและตรวจสอบเพดาน
ประการแรก นำโทษจำคุกจากทุกกระทงมารวมกัน ตัวอย่างเช่น ถ้ามีสามกระทง ได้โทษ 2 ปี, 1 ปี 6 เดือน, และ 1 ปี เมื่อรวมกันจะได้ 4 ปี 6 เดือน
ประการที่สอง ต้องตรวจสอบว่าความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษอย่างสูงเท่าไร เพื่อดูว่าอยู่ในข่ายมาตรา 91 ข้อไหน
ถ้าอัตราโทษสูงสุด ≤ 3 ปี → รวมได้ไม่เกิน 10 ปี
ถ้าอัตราโทษสูงสุด > 3 ถึง 10 ปี → รวมได้ไม่เกิน 20 ปี
ถ้าอัตราโทษสูงสุด > 10 ปี → รวมได้ไม่เกิน 50 ปี
ขั้นตอนที่ 3: ลดโทษสารภาพ (ม.78) — ลดทีหลัง หรือก่อนรวม?
"ขั้นตอนสุดท้าย คือการลดโทษ โดยต้องลดโทษเป็นรายกระทงก่อน แล้วจึงรวมโทษ ไม่ใช่รวมโทษก่อนแล้วค่อยลด เพราะจะทำให้จำเลยได้รับโทษหนักเกินไป"
นี่คือจุดที่หลายคนเข้าใจผิด และเป็นประเด็นที่ศาลฎีกาต้องแก้ไขบ่อย เพราะบางครั้งศาลชั้นต้นคำนวณผิดลำดับ ทำให้จำเลยโดนโทษหนักเกินกว่าที่ควรจะเป็น
หลักการลดโทษที่ถูกต้อง
วิธีที่ถูก: ลดโทษแต่ละกระทงก่อน → แล้วจึงรวมโทษ
ถ้าจำเลยรับสารภาพ ตามมาตรา 78 ศาลสามารถลดโทษให้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง วิธีที่ถูกต้องคือ
ลดโทษแต่ละกระทงก่อน (ลดกึ่งหนึ่ง)
แล้วจึงนำโทษที่ลดแล้วมารวมกัน
ตัวอย่างการคำนวณที่ถูกต้อง:
จำเลยรับสารภาพ มีความผิด 3 กระทง
กระทง 1: จำคุก 2 ปี → ลดกึ่งหนึ่ง = 1 ปี
กระทง 2: จำคุก 1 ปี 6 เดือน → ลดกึ่งหนึ่ง = 9 เดือน
กระทง 3: จำคุก 1 ปี → ลดกึ่งหนึ่ง = 6 เดือน
รวมโทษหลังลด = 2 ปี 3 เดือน
ทำไมต้องลดก่อนแล้วค่อยรวม?
ศาลฎีกาชี้แจงในหลายคำพิพากษาว่า การลดโทษเป็นรายกระทงก่อนแล้วจึงรวม เป็นวิธีที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยมากกว่า และเป็นไปตามหลักการตีความกฎหมายอาญาที่ต้องตีความให้เป็นคุณแก่จำเลย
ตัวอย่างที่ผลต่างชัดเจน: ถ้ามีการลดโทษไม่เท่ากันในแต่ละกระทง เช่น กระทงหนึ่งลดกึ่งหนึ่ง แต่อีกกระทงลดหนึ่งในสาม การลดก่อนแล้วรวมจะให้ผลที่แตกต่างจากการรวมก่อนแล้วลด
โทษต่ำสุดที่ได้จริง

"โทษต่ำสุดที่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่การรับสารภาพเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีเหตุบรรเทาโทษหลายประการประกอบกัน เช่น ไม่เคยมีประวัติ ชดใช้ความเสียหาย กระทำเพราะความจำเป็น หรือให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งรวมกันแล้วอาจทำให้ได้รอการลงโทษแทนการติดคุกจริง"
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ถ้ารับสารภาพก็ลดโทษครึ่งหนึ่งแล้วเสร็จ แต่ความจริงแล้ว การลดโทษมีหลายชั้น และถ้ารู้จักใช้เหตุบรรเทาโทษอย่างถูกต้อง อาจลดโทษได้มากกว่าที่คิด หรือแม้กระทั่งได้รอการลงโทษ ไม่ต้องติดคุกเลย
กฎหมายอาญาไทยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงผู้กระทำความผิดมากกว่าการลงโทษเพื่อแก้แค้น ดังนั้น ถ้าผู้กระทำความผิดแสดงความสำนึกผิด พยายามแก้ไขเยียวยา และมีโอกาสกลับตัว ศาลมีดุลพินิจที่จะลดโทษหรือรอการลงโทษได้
ส่วนนี้จะอธิบายเทคนิคการลดโทษที่ใช้ได้จริงตามกฎหมาย ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมหรือวิธีการที่ผิดกฎหมาย แต่เป็นสิทธิที่กฎหมายให้ไว้แก่ผู้กระทำความผิดทุกคน
สารภาพ = ลดกึ่งหนึ่ง (ม.78)
"การรับสารภาพความผิด เป็นเหตุบรรเทาโทษที่สำคัญที่สุด ศาลสามารถลดโทษให้ไม่เกินกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 แต่ต้องเป็นการสารภาพที่แท้จริงและเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ไม่ใช่แค่ยอมรับเพราะหลักฐานชัดแล้ว"
การรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษที่พบมากที่สุดในคดีอาญา เพราะเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาและได้ผลชัดเจน แต่หลายคนไม่เข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกการสารภาพจะได้ลดโทษเท่ากัน และบางกรณีแม้จะสารภาพก็อาจไม่ได้ลดโทษเลย
มาตรา 78 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า:
"เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ไม่ว่าจะได้มีการเพิ่มหรือการลดโทษตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นแล้วหรือไม่ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้ เหตุบรรเทาโทษนั้น ได้แก่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญา ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีคุณความดีมาแต่ก่อน รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานหรือให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา หรือเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะทำนองเดียวกัน"
แหล่งอ้างอิง: ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มาตรา 78 — ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 73 ตอนที่ 95
การสารภาพที่ได้ลดโทษ VS ไม่ได้ลดโทษ
- การสารภาพที่ได้ลดโทษ คือการสารภาพที่แท้จริง ตั้งแต่เริ่มต้น และเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ตัวอย่างเช่น สารภาพตั้งแต่ถูกจับกุม สารภาพในชั้นสอบสวนและคงการสารภาพจนถึงศาล บอกรายละเอียดที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่ตามจับผู้ร่วมกระทำความผิดได้ หรือบอกที่ซ่อนของกลาง
- การสารภาพที่ไม่ได้ลดโทษหรือลดน้อย คือการสารภาพเมื่อหลักฐานชัดเจนแล้ว ไม่มีทางปฏิเสธ เช่น ถูกจับขณะกระทำความผิด มีกล้องวงจรปิดชัดเจน หรือมีพยานเห็นเหตุการณ์หลายคน ในกรณีเหล่านี้ การสารภาพไม่ได้ช่วยอะไรศาลมากนัก เพราะศาลก็รู้ความจริงอยู่แล้ว
นอกจากนี้ บางกรณีที่แม้จะสารภาพแต่ศาลก็ไม่ลดโทษให้ เช่น ความผิดร้ายแรงมาก เช่น ฆาตกรรมโดยไตร่ตรอง ข่มขืนเด็ก หรือค้ายาเสพติดปริมาณมาก ศาลอาจเห็นว่าการสารภาพไม่เพียงพอที่จะลดโทษ เพราะความร้ายแรงของการกระทำมากเกินไป
เทคนิคการสารภาพที่มีประสิทธิภาพ
สารภาพตั้งแต่เริ่มต้น คือสารภาพทันทีที่ถูกจับกุม หรือแม้กระทั่งมอบตัวเองก่อนถูกจับ นี่แสดงความสำนึกผิดอย่างแท้จริง
สารภาพอย่างสม่ำเสมอ คือสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และคงการสารภาพจนถึงศาล ไม่เปลี่ยนคำให้การไปมา เพราะถ้าสารภาพในชั้นจับกุมแล้วปฏิเสธในศาล ศาลอาจไม่ลดโทษให้
สารภาพพร้อมให้ความร่วมมือ คือไม่เพียงแค่ยอมรับว่าทำผิด แต่ยังช่วยเจ้าหน้าที่ด้วย เช่น บอกที่ซ่อนของกลาง บอกชื่อผู้ร่วมกระทำความผิด หรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน
สารภาพพร้อมแสดงความสำนึกผิด คือแสดงออกว่ารู้สึกผิดจริง ๆ ไม่ใช่แค่สารภาพเพื่อลดโทษ เช่น ขอโทษผู้เสียหาย พยายามชดใช้ค่าเสียหาย หรือแสดงความตั้งใจที่จะไม่กระทำผิดอีก
เหตุบรรเทาโทษอื่น ๆ ที่ใช้ได้จริง
"เหตุบรรเทาโทษ ไม่ได้มีแค่การสารภาพเท่านั้น กฎหมายยอมรับเหตุบรรเทาอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม ชดใช้ความเสียหายแล้ว กระทำเพราะความจำเป็น หรือมีคุณความดีมาก่อน ซึ่งถ้ารวมกันหลายเหตุ อาจลดโทษได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง"
มาตรา 78 ระบุเหตุบรรเทาโทษหลายประการ และยังเปิดให้ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาเหตุอื่น ๆ ที่มีลักษณะทำนองเดียวกันด้วย ดังนั้น ถ้ามีเหตุบรรเทาหลายประการ ก็ควรนำเสนอต่อศาลทั้งหมด
เหตุบรรเทาโทษที่พบบ่อยและใช้ได้จริง
ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน คือผู้กระทำความผิดไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม เป็นครั้งแรกที่ทำผิด นี่แสดงว่ามีโอกาสปรับปรุงตัวได้ ไม่ใช่อาชญากรประจำ
มีคุณความดีมาแต่ก่อน คือเคยช่วยเหลือสังคม ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น หรือมีความประพฤติดีมาตลอด สามารถนำหนังสือรับรองความประพฤติจากชุมชน นายจ้าง หรือผู้นำศาสนามาแสดงต่อศาล
รู้สึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้าย คือพยายามแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหาย คืนทรัพย์สินที่ลักไป หรือช่วยเหลือผู้เสียหายในการรักษาพยาบาล
ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส คือกระทำความผิดเพราะความจำเป็น เช่น ไม่มีเงินซื้อนมให้ลูก จึงลักทรัพย์ หรือถูกข่มขู่จนต้องกระทำความผิด แต่ต้องมีหลักฐานประกอบว่าเป็นความจำเป็นจริง ไม่ใช่แค่ข้ออ้าง
ให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คือให้ข้อมูลที่ช่วยให้ศาลเข้าใจความจริง หรือช่วยในการสืบสวน เช่น บอกชื่อผู้ร่วมกระทำความผิด บอกแหล่งที่มาของของกลาง หรือให้ข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดรายอื่น
เป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญา คือมีสติปัญญาต่ำกว่าคนปกติ ไม่เข้าใจผลของการกระทำ แต่ต้องมีการประเมินจากแพทย์หรือนักจิตวิทยา ไม่ใช่แค่อ้างว่าโง่
กรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจพิเศษ — รอการลงโทษ (ม.56)
"การรอการลงโทษ ตามมาตรา 56 คือการที่ศาลไม่ลงโทษจำคุกจริง แต่กำหนดระยะเวลาทดลอง ถ้าไม่กระทำผิดอีกภายในเวลาที่กำหนด ก็ไม่ต้องติดคุก ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายที่กฎหมายให้แก่ผู้กระทำความผิดครั้งแรก"
การรอการลงโทษเป็นมาตรการที่แสดงถึงปรัชญาของกฎหมายอาญาไทยที่ มุ่งปรับปรุงมากกว่าลงโทษ ถ้าผู้กระทำความผิดมีโอกาสกลับตัวได้ ศาลจะให้โอกาสโดยการรอการลงโทษ แทนที่จะส่งเข้าคุก
มาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า:
"ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุกหรือปรับ และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปีไม่ว่าจะลงโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตามหรือลงโทษปรับ ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น (1) ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน หรือ (2) เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสำหรับความผิดซึ่งได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลเห็นว่าการกระทำความผิดของผู้นั้นมิได้ร้ายแรงนัก มีเหตุอันควรงดโทษจำคุก หรือไม่กำหนดโทษให้เป็นที่สุด เพื่อให้ผู้นั้นมีโอกาสได้ดัดสดปรับปรุงความประพฤติของตน ถ้าศาลเห็นสมควรจะกำหนดเงื่อนไขและวางทัณฑ์บนให้เป็นไปตามที่ศาลเห็นสมควรก็ได้
เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่ศาลกำหนดไว้โดยผู้นั้นมิได้กระทำผิดเงื่อนไขอันศาลได้วางไว้ ให้ถือว่าค่ำพิพากษาลงโทษนั้นเป็นอันระงับสิ้นไป"
แหล่งอ้างอิง: ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มาตรา 56 — ราชกิจจานุเบกษา
เงื่อนไขการได้รอการลงโทษ
เงื่อนไขแรก คือ ต้องไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน หรือถ้าเคยก็ต้องเป็นโทษจำคุกจากความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษเท่านั้น ถ้าเคยติดคุกในคดีอาญาร้ายแรงมาก่อน จะไม่ได้รอการลงโทษ
เงื่อนไขที่สอง คือ โทษที่ศาลจะลงต้องไม่เกินห้าปี ถ้าศาลเห็นว่าควรลงโทษเกินห้าปี ก็ไม่สามารถรอการลงโทษได้ แม้จำเลยจะไม่เคยมีประวัติก็ตาม
เงื่อนไขที่สาม คือ การกระทำมิได้ร้ายแรงนัก ถ้าเป็นความผิดร้ายแรงมาก เช่น ฆาตกรรม ข่มขืน หรือค้ายาเสพติด ศาลมักไม่รอการลงโทษ แม้จะเป็นครั้งแรกก็ตาม
เงื่อนไขที่สี่ คือ มีเหตุอันควรงดโทษจำคุก เช่น มีเหตุบรรเทาโทษหลายประการ ชดใช้ความเสียหายแล้ว รับสารภาพแท้จริง และแสดงความสำนึกผิด
ระยะเวลาทดลองและเงื่อนไขที่ศาลกำหนด
เมื่อศาลรอการลงโทษ จะกำหนดระยะเวลาทดลองซึ่งมักเป็น 2-5 ปี ในระหว่างนี้ จำเลยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด เช่น ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ไม่เข้าไปในสถานเริงรมย์ ไม่ติดต่อกับผู้ร่วมกระทำความผิด หรือทำกิจกรรมบริการสังคม
ถ้าพ้นระยะเวลาทดลองโดยไม่กระทำผิดเงื่อนไข คำพิพากษาลงโทษนั้นเป็นอันระงับสิ้นไป หมายความว่าไม่ต้องติดคุกเลย และไม่ถือเป็นประวัติอาชญากรรม
แต่ถ้ากระทำผิดเงื่อนไขหรือกระทำความผิดอีกในระหว่างทดลอง ศาลอาจเพิกถอนการรอการลงโทษ และสั่งให้ต้องรับโทษตามที่ตัดสินไว้
13 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการรวมโทษ
1.ถูกฟ้องหลายข้อหาในคดีเดียว ต้องรวมโทษทุกข้อหาหรือไม่?
ไม่จำเป็น ถ้าเป็นกรรมเดียวผิดหลายบท (ทำครั้งเดียว) ศาลลงโทษแค่ข้อหาหนักสุด ไม่รวม แต่ถ้าเป็นหลายกรรมต่างกัน (ต่างเวลา/เจตนา) ต้องรวมโทษตามมาตรา 91
1.รวมโทษได้สูงสุดกี่ปี?
อัตราโทษสูงสุด ≤ 3 ปี → รวมไม่เกิน 10 ปี
อัตราโทษสูงสุด > 3-10 ปี → รวมไม่เกิน 20 ปี
อัตราโทษสูงสุด > 10 ปี → รวมไม่เกิน 50 ปี
2.รับสารภาพลดโทษได้เท่าไหร่?
ลดได้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 78 แต่ต้องสารภาพตั้งแต่เริ่มต้นและเป็นประโยชน์ ถ้าสารภาพเพราะหลักฐานชัดแล้วอาจไม่ได้ลด สำคัญ: ต้องลดแต่ละกระทงก่อนแล้วค่อยรวม
3."กรรมเดียว" กับ "ต่างกรรม" ต่างกันอย่างไร?
กรรมเดียว = เหตุการณ์เดียว เจตนาเดียว → ลงโทษแค่บทหนักสุด ต่างกรรม = ต่างเวลา/เจตนา/สถานที่ → ลงโทษทุกกระทงแล้วรวม
4.ทำผิดหลายครั้งในวันเดียว เป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม?
ดูที่เจตนา ไม่ใช่วัน ถ้าต่างเวลา ต่างสถานที่ มีเจตนาแยกกัน = หลายกรรม ต้องรวมโทษ
5.ชดใช้ความเสียหายแล้วลดโทษได้ไหม?
ได้ ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษ อาจลดโทษหรือรอลงอาญา แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความผิด
6.วิธีคำนวณการรวมโทษ?
3 ขั้นตอน:
ลงโทษแต่ละกระทงแยกกัน
ลดโทษเป็นรายกระทง (ถ้ามีเหตุบรรเทา)
รวมโทษทั้งหมด แล้วเช็กไม่เกินเพดาน
7.ศาลคำนวณโทษผิด ทำอย่างไร?
อุทธรณ์หรือฎีกาได้ โดยเฉพาะถ้าศาลรวมโทษก่อนแล้วค่อยลด (ผิดลำดับ) ศาลฎีกาสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้
8.ไม่เคยมีประวัติจะได้รอลงอาญาไหม?
อาจได้ ถ้า: (1) ไม่เคยรับโทษจำคุก (2) โทษไม่เกิน 5 ปี (3) ความผิดไม่ร้ายแรงนัก (4) มีเหตุบรรเทาหลายประการ
9.คดีแยกกันต่างศาล จะรวมโทษไหม?
ไม่รวม มาตรา 91 ใช้เฉพาะคดีที่ ฟ้องรวมกันในคดีเดียว หรือรวมพิจารณาได้ คดีแยกต่างศาลไม่อยู่ในบังคับมาตรา 91
10.ถ้าฟ้องหลายข้อหา แต่ศาลตัดสินว่าผิดแค่บางข้อหา?
ศาลลงโทษเฉพาะข้อหาที่พิสูจน์ได้ ส่วนข้อหาที่ไม่มีมูลไม่ต้องรวม
11.กระทำความผิดร่วมกับคนอื่น โทษเท่ากันหรือเปล่า?
ไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับบทบาท พฤติการณ์ และเหตุบรรเทาของแต่ละคน คนรับสารภาพอาจได้โทษน้อยกว่า
12.มีคดีค้างอีก ถูกฟ้องคดีใหม่ จะรวมโทษไหม?
ไม่รวม แต่อาจถือว่ากระทำผิดซ้ำตามมาตรา 92-94 ซึ่งจะเพิ่มโทษได้กึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสาม
ถ้าความผิดแต่ละกระทงมีโทษต่างกัน คำนวณยังไง?
ลงโทษแต่ละกระทงตามความหนักเบา แล้วรวม โดยดูเพดานจากกระทงที่มีอัตราโทษสูงสุด
สรุป: สิ่งสำคัญที่ต้องจำ
✅ กรรมเดียว = ลงโทษแค่บทหนักสุด / หลายกรรม = รวมโทษแต่มีเพดาน ✅ ลดโทษแต่ละกระทงก่อน → แล้วค่อยรวม (อย่าทำผิดลำดับ) ✅ เหตุบรรเทาหลายประการ ช่วยลดโทษได้มาก อาจรอลงอาญา ✅ อัตราโทษของกระทงหนักสุด กำหนดเพดานการรวมโทษ ✅ ปรึกษาทนายทันที เพราะการวิเคราะห์ถูกต้องช่วยลดโทษได้หลายปี
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ







