young-child-getting-physical-abuse-from-parent.jpg
เผยแพร่เมื่อ: 2023-08-08

ขออธิบายให้เข้าใจว่า “ความผิดฐานพรากผู้เยาว์”

 

“ความผิดฐานพรากผู้เยาว์”เป็นความผิดที่ผู้กระทำได้กระทำต่อ เสรีภาพของผู้เยาว์ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เป็นความผิดอาญาแผ่นดินอันเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ แม้ผู้เสียหายไม่ได้ฟ้องตัวหรือร้องทุกข์เอาผิดตัวผู้กระทำ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ตำรวจก็สามารถจับตัวผู้กระทำให้มารับโทษทางอาญาได้ 

 

ซึ่งความผิดฐานพรากผู้เยาว์ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317-319 

 

โดยขอแบ่งแยกความผิดฐานพรากผู้เยาว์เป็นรายข้อดังนี้

 

1.ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 317 

 

 วรรคแรกบัญญัติว่า “ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา

 ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษ…” ในมาตรา 317 จึงมุ่งคุ้มครองเด็กที่มีอายุไม่เกิน 15 ปี , 

 

2.ส่วนมาตรา 318 กับมาตรา 319 

 

เป็นการกระทำความผิดต่อเด็กอายุเกินกว่า 15 ปีแต่ไม่เกิน 18 ปีแตกต่างกันตรงที่ 

มาตรา 318 เด็กไม่ได้ยินยอมหรือเต็มใจไปกับผู้กระทำความผิดด้วย แต่มาตรา 319 เด็กยินยอมไปด้วย , 

 

3.มาตรา 317-319 วรรค 2 บัญญัติว่า

 

“ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น” ,

 

 4. ตามมาตรา 317 วรรคสาม,318 วรรคสาม และ 319 วรรคแรก

 

เป็นการกระทำที่ผู้พรากได้พรากโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อ "หากำไร" หรือ "อนาจาร" 

 

คำว่า "หากำไร" คือ

คนพรากได้ประโยชน์ทางทรัพย์สินจากเด็กคือ นำเด็กไปขายตัว ,ไปเป็นขอทาน

 

  คำว่า “อนาจาร” แปลว่า

การกระทำอันไม่สมควรทางเพศ ผู้ที่พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารอาจทำเพราะสนองความใคร่ของตนเองหรือของผู้อื่นก็ได้

 

 

เรามาลองวิเคราะห์จากตัวอย่างกันครับ

 

 นาง ก.ชวนนางสาว ข.อายุ 17 ปีให้ไปหลับนอนกับ นายค.สามีของนาง ก.เพื่อแลกกับเงินให้นางสาว ข. 

ดังนี้แม้เป็นการพรากเด็กอายุกว่า 15 ไม่เกิน 18 ปีโดยเด็กยินยอมอันเป็นความผิดตามมาตรา 319 วรรคแรกแล้ว 

นาง ก.ก็ยังผิดฐานเป็นธุระจัดหาไป พาไปเพื่อการอนาจารอันเป็นการสนองความใคร่ของนายค. (ผู้อื่น) ด้วยโดย

นางสาวข.ยินยอมก็มีความผิดตามมาตรา 282 วรรคแรกด้วย 

 

ความผิดฐานพรากผู้เยาว์มุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของผู้แทนโดยชอบธรรม เมื่อเด็กถูกพรากไปย่อมกระทบกระเทือนต่ออำนาจปกครองของผู้แทนโดยชอบธรรมซึ่งเป็นผู้ดูแลให้ได้รับความเสียหาย

 ซึ่งผู้ได้รับความเสียหายในความผิดฐานนี้อันจะเป็น “ผู้เสียหาย” จึงเป็นตัวผู้ใช้อำนาจปกครอง ดูแลเด็กไม่ใช่ตัวเด็กที่ถูกพรากตัวไป 

เพราะเด็กหรือผู้เยาว์ถือเป็นผู้ไร้ความสามารถตามกฎหมาย จึงจำเป็นต้องมีผู้ปกครองดูแลซึ่งก็คือ “ผู้แทนโดยชอบธรรม” 

 

คำว่า “พราก” ตามมาตรา 317-319 แปลว่า 

 

พาเอาไปเสีย ซึ่งต้องกระทบกระเทือนอำนาจปกครองของผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็ก ผู้ปกครองของเด็กดูจากการใช้อำนาจปกครอง”ตามความเป็นจริง” ผู้ปกครองของเด็กไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ที่ชอบด้วยกฎหมาย (ที่จดทะเบียนสมรสกัน) หรืออาจเป็นพ่อแม่บุญธรรม เด็กอาจอยู่อาศัยกับปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ขณะที่ถูกพรากก็ได้ โดยไม่จำกัดวิธีพรากหรือระยะทางว่า เด็กถูกพาไปห่างไกลจากผู้ปกครองมากน้อยเพียงใด ขอเป็นเพียงการกระทำที่กระทบต่ออำนาจปกครองก็เป็นความผิดฐานนี้ เด็กที่ถูกพรากไม่จำเป็นต้องอยู่กับผู้ปกครองตลอดเวลา

 เพราะกรณีเด็กหนีออกจากบ้านและถูกพาตัวไปนั้น ถ้าปรากฎว่า 

 

ผู้ปกครองยังติดตามตัวเด็กถือว่ามีความหวงแหนกันอยู่ถือว่าเด็กยังอยู่ในอำนาจปกครองของผู้ปกครอง"อันจะถูกพรากได้"

(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8052/2549)

 

 กลับกัน......

 

หากพ่อแม่ผู้ปกครองทอดทิ้งเด็ก ตัดขาดเด็ก 

เลิกตามหาเด็กที่หายไปและเด็กถูกพาตัวไป 

คนพาไปก็ไม่ผิดฐานพรากผู้เยาว์ 

ผู้พรากต้องกระทำผิด"โดยปราศจากเหตุอันสมควร"

 

 

 กล่าวคือ ไม่ได้รับความยินยอมหรือไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองให้พาตัวเด็กไป ผู้กระทำนอกจากต้องรู้ว่า ตนพรากเด็กไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรแล้ว

 ต้องรู้อายุของเด็กที่ตนพรากว่าอายุเท่าไรด้วย เพราะอายุเด็กที่พรากเป็นข้อเท็จจริงอันสำคัญที่จะถือว่าผู้กระทำมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลในความผิดฐานนี้

ตามที่มาตรา 59 วรรค 3 แต่ถ้าหากผู้พรากเด็กไปได้พรากเด็กที่มีอายุไม่เกิน 13 ปี ห้ามอ้างความไม่รู้อายุของเด็กเป็นข้ออ้างปฏิเสธความรับผิดตามมาตรา 321/1 อายุของเด็กดูขณะที่ถูกพาตัวไป 

 

ขอยกตัวอย่างให้ให้เข้าใจดังนี้ครับ

 

กรณีที่เป็นการพาตัวเด็กไปโดยมีเหตุอันสมควร ไม่เป็นพรากผู้เยาว์

เช่น 1.กรณีพ่อไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับแม่ของเด็ก) ประสงค์จะพาตัวเด็กไปอุปการะเลี้ยงดู ไม่ถือเป็นการพาไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงไม่ผิดพรากผู้เยาว์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 398/2517) 

2.ชายผู้ที่จะพาเด็กสาวไปเลี้ยงดูอยู่กินฉันสามีภริยาถือว่ามีเหตุอันสมควรที่จะพาไป แต่ต้องปรากฎว่า ชายที่พาตัวไปขณะนั้นไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว 

 

ลองอ่านความผิดฐานพรากผู้เยาว์ที่น่าสนใจ !!! 

 

1.ความผิดฐานพรากไม่จำกัดว่าต้องเป็นการพาตัวเด็กเคลื่อนที่เสมอไป เช่น นาย ก.เป็นแขกในบ้านของนายข.ซึ่งนายข.มีลูกสาวคือ ด.ญ.ค. นาย ก.เห็นด.ญ.ค.อยู่ในห้องของตัวเองตามลำพัง นายก.จึงเดินเข้าไปในห้องนั้นล็อกประตูและทำการลวนลามล่วงเกินด.ญ.ค. แม้ไม่ได้พาตัวเด็กไปก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งนายก.ย่อมรู้ว่าการกระทำของตนย่อมกระทบกระเทือนอำนาจปกครองของ นายข.บิดาของด.ญ.ค. นายก.นอกจากต้องรับผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปีเพื่อการอนาจารตามมาตรา 317 วรรคสามแล้วยังต้องรับผิดฐานกระทำอันไม่สมควรทางเพศต่อ ด.ญ.ค.เป็นการกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปีตามมาตรา 279 วรรคสามและเป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นตามาตรา 310 วรรคแรกด้วย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 156/2565)

 

2.คนที่พรากตัวเด็กไปไม่จำเป็นต้องเข้าหาตัวเด็ก แต่เด็กอาจเข้าหาตัวผู้กระทำแล้วถูกพรากไปก็ได้ เช่น ด.ญ.A ไปเที่ยวหานาย B ที่บ้านของนาย B กลับถูกนาย B ลวนลามอย่างนี้นาย B ก็ผิดฐานพรากผู้เยาว์แล้ว การพาเอาไปเสียอันจะเป็นพรากได้ 3.พรากไม่ต้องระยะทางไกล แท้ระยะเพียงน้อยนิดแต่เป็นการพาเอาไปก็ผิดฐานพรากได้แล้ว เช่น นางสาว A อายุ 17 ปีขึ้นซ้อนมอไซด์ของนาย B ที่จอดอยู่หน้าบ้านของตนโดยที่ไม่ได้บอกพ่อแม่ แค่เพียงขึ้นคร่อมมอไซด์ของนาย B ตรงหน้าบ้านยังไม่พ้นเขตบ้าน นาย B ก็ผิดฐานพรากผู้เยาว์แล้ว

 

Image by Freepik
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “
cta
ปรึกษาทนายได้ตลอด 24 ชม.