สิทธิของผู้ต้องหา.png
เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-11

สิทธิของผู้ต้องหาคืออะไร ความหมายและความสำคัญ 

สิทธิของผู้ต้องหา คือ สิทธิตามกฎหมายของผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีที่มีโทษทางอาญา ในกระบวนการดำเนินคดีทางอาญาตั้งแต่ขั้นตอน การถูกจับกุมผู้ต้องหา การสอบสวนผู้ต้องหา การพิจารณาคดีในชั้นศาล 

ซึ่งสิทธิดังกล่าวจะถูกบัญญัติไว้ในกฎหมายฉบับต่างๆ เช่น รัฐธรรมนูญ ตาม ป.วิ.อาญา

สิทธิของผู้ต้องหานี้ มีความสำคัญหลายประการ เช่น 

  • คุ้มครองผู้ต้องหาไม่ให้ถูกละเมิดสิทธิเกินสมควร 
  • เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการพิจารณาคดีการสอบสวน 
  • เพื่อไม่ให้เกิดการโจมตีทางพยานหลักฐาน 
  • เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ 

ผู้ต้องหา vs จำเลย ความแตกต่างทางกฎหมาย 

เมื่อถูกดำเนินคดีอาญาแล้ว สิ่งที่จะแบ่งแยกว่าผู้ถูกดำเนินคดีเป็น “ผู้ต้องหา” หรือ “จำเลย” นั้นคือขั้นตอนการดำเนินคดี 

หากอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน แต่ยังไม่ถูกฟ้องคดีต่อศาลในขั้นตอนนี้จะถูกเรียกว่า "ผู้ต้องหา" แต่หากถูกยื่นฟ้องคดีต่อศาลและศาลประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาแล้วจะเรียกว่า "จำเลย" 

สิทธิผู้ต้องหาในคดีอาญาตามรัฐธรรมนูญ 

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นฉบับที่บังคับใช้อยู่ ณ เวลาที่เผยแพร่บทความนี้ กำหนดสิทธิของผู้ต้องหาไว้ในหมวดที่ 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ซึ่งวางหลักเอาไว้กว้างๆ โดยเราสามารถสรุปแบบเข้าใจง่ายๆ ได้ดังนี้ครับ 

  • ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด 
  • การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยให้กระทำได้เพียงเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี 
  • ในคดีอาญา จะบังคับให้บุคคลให้การเป็นผลร้ายต่อตนเองไม่ได้ 
  • สิทธิในการขอประกันตัวโดยผู้มีอำนาจควบคุมตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยจะปฏิเสธไม่ให้ประกัน โดยไม่พิจารณาคำขอไม่ได้ 

9 สิทธิสำคัญของผู้ต้องหาที่ต้องรู้ 

สิทธิของผู้ต้องหา (2).png

เมื่อต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือโดนตำรวจจับแล้วผู้ต้องหาจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เพื่อให้กระบวนการต่างๆ เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม และเป็นการคุ้มครองเสรีภาพของผู้ต้องหา ก่อนที่ศาลจะได้มีคำพิพากษา โดยเราสามารถแบ่งสิทธิต่างๆ ที่ผู้ต้องหาพึ่งได้ดังนี้ครับ 

1. สิทธิแจ้งญาติและบุคคลที่ไว้ใจเมื่อถูกจับกุม 

เมื่อผู้ต้องหาถูกจับกุมตัวและรับมอบตัวพนักสอบสวนต้อง แจ้งสิทธิผู้ต้องหาชั้นจับกุม ให้ผู้ถูกจับทราบว่า ผู้ถูกจับสามารถติดต่อญาติหรือบุคคลที่ไว้ใจให้ทราบถึงการถูกจับของตนเองได้ โดยหากผู้ถูกจับต้องการให้เจ้าพนักงานเป็นผู้แจ้งแทน เจ้าพนักงานก็ต้องดำเนินการให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็น สิทธิผู้ต้องหา ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 83 วรรคสอง และ 84 วรรคสอง 

2. สิทธิให้บุคคลที่ไว้ใจหรือทนายความเข้าร่วมในการถามปากคำ 

ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะเริ่มสอบปากคำผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนต้องแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือบุคคลที่ไว้ใจเข้าร่วมในการสอบปากคำได้ ซึ่งเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/3 และ134/4(2) 

3. สิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ 

ในการสอบปากคำของพนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวนนั้น ผู้ต้องหามีสิทธิจะให้การหรือไม่ให้การก็ได้พนักงานสอบสวนไม่สามารถบังคับให้ผู้ต้องหาให้การได้หากไม่เต็มใจ 

โดยในการจับกุม รับมอบตัว และก่อนสอบปากคำทุกครั้งพนักงานสอบสวนต้องแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบด้วยว่า ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะไม่ให้การ ซึ่งเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 วรรคสอง , 84วรรคแรก(2) ,134/4(1) 

(บทความที่เกี่ยวข้อง) ให้การเท็จ เบิกความเท็จ โกหกในชั้นศาล สามารถทำได้ไหม?

4. สิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความเป็นธรรม 

ในการสอบสวนนั้น พนักงานสอบสวนต้องสอบสวนได้ความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม ซึ่งเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 วรรคสาม 

5. การห้ามพนักงานสอบสวน ทรมาน ข่มขู่ หลอกลวง เพื่อจูงใจให้ผู้ต้องหาให้การในเรื่องที่ต้องหา 

ในการสอบปากคำผู้ต้องหา หรือผู้ต้องสงสัยนั้น พนักงานสอบสวนจะสอบสวนโดยใช้วิธีการทรมาน ข่มขู่ หลอกลวงให้ผู้ต้องหาให้การเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกสอบสวนไม่ได้ อีกทั้งการที่พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนโดยวิธีดังกล่าวพนักงานสอบสวนก็จะมีความรับผิดในทางอาญาอีกด้วย ซึ่งเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 135 

6. สิทธิในการประกันตัว และวิธีการขอประกันตัว 

เมื่อตกเป็นผู้ต้องสงสัย หรือถูกควบคุมตัวในคดีอาญาไม่ว่าจะอยู่ในชั้น ตำรวจ อัยการหรือชั้นศาล ผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนมีสิทธิที่จะขอปล่อยตัวชั่วคราว หรือที่เรามักเรียกว่า "การประกันตัว" ได้ 

ซึ่งในปัจจุบันขั้นตอนการประกันตัวนั้นเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก และบุคคลทั่วไปสามารถทำได้โดยการติดต่อหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานนั้นๆ สอบถามเรื่องเอกสารและหลักประกัน โดยในบางกรณีอาจสามารถประกันตัวได้โดยไม่ใช้หลักประกัน และดำเนินการตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำได้เลย 

ซึ่งการประกันตัวนี้หลายคนยังเข้าใจสับสนกับการจ่ายค่าปรับ เพราะการประกันตัวเป็นการที่ "ผู้ต้องหาหรือจำเลยวางหลักประกันต่อศาล เพื่อออกมาต่อสู้คดีระหว่างมีการดำเนินคดีเท่านั้น" ไม่ใช่ว่าประกันตัวแล้วคดีจะสิ้นสุดต่างจากการจ่ายค่าปรับ 

7. สิทธิในการเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาของญาติ 

ในกรณีที่ผู้ต้องหา จำเลย หรือนักโทษเด็ดขาดต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำเลย ทนายความ หรือญาติ มีสิทธิที่จะขอเข้าพบผู้ถูกควบคุมตัวได้ ตามหลักเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2561 มาตรา 61 และระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการเยี่ยม การติดต่อของบุคคลภายนอกกับผู้ต้องขัง และการเข้าดูกิจการหรือติดต่อการงานกับเรือนจำ พ.ศ. 2561 

8. สิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาล 

เมื่อเริ่มเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผู้ถูกกล่าวหาจะได้รับความคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาลตั้งแต่ขั้นตอนการจับกุมผู้ต้องหา โดยหากผู้จับเห็นว่ามีความจำเป็น ผู้จับสามารถปฐมพยาบาลผู้โดนจับกุมก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปได้ซึ่งเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสาม 

เมื่อถูกควบคุมแล้ว ผู้ถูกควบคุมตัวก็มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลหากมีอาการป่วยขณะถูกคุมขังโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และหากเป็นอาการป่วยฉุกเฉินเกินกว่าความสามารถในการรักษาของแพทย์ประจำสถานที่คุมขังนั้นๆ ผู้ถูกควบคุมตัวก็มีสิทธิได้รับการส่งตัวออกมารักษานอกสถานที่คุมขังตามหลักเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์ได้ 

9. สิทธิในการแก้ข้อกล่าวและแสดงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ต้องหา 

ในการสอบสวนผู้ต้องหาเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว พนักงานสอบสวนต้องเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาแก้ข้อกล่าวหา และแสดงพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา 

หากผู้ต้องหาไม่สามารถเข้าใจภาษาไทยได้ พนักงานสอบสวนก็ต้องจัดให้มีล่ามตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อที่ผู้ต้องหาจะสามารถเข้าใจข้อเท็จจริงและสามารถแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 13 , 134 วรรคสี่ 


หลักสันนิษฐานความบริสุทธิ์

สิทธิของผู้ต้องหา (3).png

หลักสันนิษฐานความบริสุทธิ์นี้ เป็นหลักกฎหมายสากลที่ใช้อยู่ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเกือบทุกประเทศ โดยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด 

สำหรับประเทศไทยนั้นหลักการดังกล่าวได้ถูกเขียนไว้อย่างกว้างๆ ในมาตรา 29 วรรคสอง แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และหลักการดังกล่าวได้ถูกนำมาปรับใช้ในกระบวนการยุติธรรมหลายในคดีอาญาหลายขั้นตอน เช่น 

  • ในการพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดอาญา ฝ่ายโจทก์ผู้กล่าวต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดเนื่องจาก การดำเนินคดีอาญานั้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด โจทก์ผู้กล่าวจึงต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์นั่นเอง 
  • ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาล ว่าจำเลยกระทำความผิดตามพยานหลักฐานที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ หากศาลรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์แล้วยังมีข้อสงสัยตามสมควร ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย ก็เนื่องมาจากคดีอาญานั้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดนั่นเอง ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง 

สิทธิของจำเลยในคดีแพ่ง แตกต่างจากคดีอาญาอย่างไร 

คดีแพ่งนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สิน สิทธิ และหน้าที่ของบุคคล ไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของคู่ความมากเหมือนคดีอาญาที่มีโทษทางอาญา เช่น จำคุก กักขังฯ 

สิทธิของจำเลยในคดีแพ่ง จึงไม่จำเป็นต้องคุ้มครอง สิทธิในเนื้อตัว ร่าง กายและเสรี เท่ากับคดีอาญา แต่จะเน้นไปที่สิทธิในการต่อสู้คดีโดยทั่วไป เช่น 

  • สิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม เช่น การเลื่อนคดี การหมายเรียกพยานหลักฐานจากผู้ครอบครอง 
  • สิทธิในการยื่นคำให้การแก้คดี 
  • สิทธิในการขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณา 

หากจะยกตัวอย่างถึงความแตกต่างระหว่าสิทธิของจำเลยในคดีแพ่งและคดีอาญาให้เห็นอย่างชัดเจนอาจสามารถเปรียบเทียบได้ดังนี้ครับ 

  • ในคดีอาญา จำเลยมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลแต่งตั้งทนายความให้ได้ แต่คดีแพ่งจำเลยต้องจัดหาทนายความ เองไม่สามารถร้องขอให้ศาลตั้งทนายในคดีแพ่งให้ได้ 
  • คดีอาญาจำเลยมีสิทธิยื่นขอประกันตัว แต่ในคดีแพ่งไม่มีเพราะในคดีแพ่งจำเลยจะไม่ถูกควบคุมตัวอย่าง คดีอาญา 
  • ในคดีแพ่งจำเลยไม่มีสิทธิใดๆ ในชั้นสอบสวนเหมือนอย่างคดีอาญา เพราะคดีแพ่งไม่มีการสอบสวนโดย พนักงานสอบสวนเหมือนอย่างคดีอาญา เป็นต้น 

การละเมิดสิทธิของผู้ต้องหามีผลในทางกฎหมายอย่างไร

สิทธิของผู้ต้องหา (4).png

การละเมิดสิทธิของผู้ต้องหาในคดีอาญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้นั้นมีผลที่ตามมาหลายประการซึ่งเราสามารถแบ่งได้ดังนี้ครับ 

1. มีโทษทางอาญา 

กล่าวคือ หากการละเมิดสิทธิของผู้ต้องหาเข้าองค์ประกอบความผิดทางอาญา เช่น ทรมานผู้ต้องหาให้รับสารภาพ เจ้าหน้าที่ ที่กระทำการดังกล่าวก็ต้องรับผิดทางอาญา เช่น ทำร้ายร่างกาย ฆ่า พยายามฆ่า ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเป็นต้น

(บทความที่เกี่ยวข้อง) เจตนาฆ่ากับทำร้ายพิจารณาจากอะไร? 

2. มีโทษทางวินัย 

กล่าวคือหากการละเมิดสิทธิของผู้ต้องหามีโทษทางวินัย ผู้ได้รับความเสียหายสามารถร้องเรียนให้ดำเนินการทางวินัยกับผู้กระทำละเมิดได้และจะมีผลเป็นการ ตักเตือน ไล่ออกจากราชการ ให้ออกจากราชการฯ เป็นต้น 

3. ส่งผลต่อการรับฟังพยานหลักฐานของศาลในชั้นพิจารณา 

กล่าวคือ การละเมิดสิทธิของผู้ต้องหาตามที่กฎหมายกำหนดนั้น เป็นพยานหลักฐานซึ่งเกิดจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานประเภทนี้ศาลไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานเพื่อใช่พิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ เช่น 

  • พยานหลักฐานที่เกิดจากการข่มขู่ 
  • พยานหลักฐานที่ได้มาจากการสอบสวนที่ไม่มีการแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตามที่กฎหมายกำหนด 
  • พยานหลักฐานที่เกิดมาจากการจับกุมที่ไม่ชอบ ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 , 84 วรรคสี่ , 134/4 วรรคสาม 

เมื่อไหร่มีสิทธิได้ "ทนายความจากรัฐ"

สิทธิของผู้ต้องหา (5).png

เมื่อถูกดำเนินคดีอาญา กฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ถูกกล่าวหาที่จะได้รับความช่วยเหลือจากทนายความที่รัฐแต่งตั้งให้อยู่ 2 ขั้นตอนด้วยกันได้แก่ 

1. ขั้นตอนแรกได้ขั้นตอนการสอบปากคำผู้ต้องหา

โดยในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตหรือผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน 18 ปีในวันที่ทำการสอบสวน พนักงานสอบสวนต้องแต่งตั้งทนายความ 

แต่หากเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกก่อนสอบปากคำพนักงานสอบสวนต้องถามผู้ต้องหาก่อนว่าต้องการทนายความหรือไม่ หากผู้ต้องหาต้องการก็ต้องแต่งตั้งทนายความให้แก่ผู้ต้องหาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

หากพนักสอบสวนไม่ดำเนินการศาลจะไม่สามารับฟังการสอบปากคำในครั้งนั้นเป็นพยานหลักฐานได้ ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/1 วรรคแรก และ วรรคสอง ,134/4 วรรคสาม 

2. ขั้นตอนที่สองคือขั้นตอนก่อนเริ่มพิจารณาคดีในชั้นศาล 

โดยในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตหรือผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน 18 ปีในวันที่ทำการสอบสวน พนักงานสอบสวนต้องแต่งตั้งทนายความ 

แต่หากเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกก่อนสอบปากคำพนักงานสอบสวนต้องถามผู้ต้องหาก่อนว่าต้องการทนายความหรือไม่ หากผู้ต้องหาต้องการก็ต้องแต่งตั้งทนายความให้แก่ผู้ต้องหาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับชั้นสอบสวน 

ซึ่งหากศาลไม่ดำเนินการถามทนายก่อนเริ่มการพิจารณาคดีถือเป็นการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 

ผู้ต้องหาเด็กและเยาวชน มีสิทธิพิเศษอย่างไร 

ในคดีที่มีเด็กอายุไม่เกิน 18 ปีเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องหาหรือพยานก็ตาม กฎหมายได้กำหนดขั้นตอนพิเศษสำหรับเด็กเอาไว้แบ่งได้ดังนี้ 

1. ในชั้นสอบสวน ชี้ตัวผู้ต้องหา หรือร้องทุกข์กล่าวโทษต้องจัดให้มีสหวิชาชีพเข้าร่วม

ซึ่งสหวิชาชีพนี้ได้แก่ นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลซึ่งเด็กร้องขอ และพนักงานอัยการ 

อีกทั้งยังต้องจัดให้มีการบันทึกภาพและเสียงของการถามปากคำเอาไว้ด้วย ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 124/1 ,133ทวิ , 133 ตรี 134/2 

2. ในชั้นพิจารณาคดี การสืบพยานซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี 

ศาลต้องจัดให้เด็กอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมอีกทั้งในการสืบพยานศาลจะต้องเป็นผู้ซักถามพยานที่เด็กอายุไม่เกิน 18 ปีเองหรือให้คู่ความถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ 

เมื่อมีเหตุจำเป็นศาลสามารถรับฟังสื่อภาพและเสียงที่บันทึกไว้ในชั้นสอบสวนได้ และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำเบิกความในชั้นพิจารณา ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ตรี 

3. หากขณะกระทำความผิดนั้นผู้ต้องหายังเป็นเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี 

กฎหมายก็ให้สิทธิแก่เด็กในการที่จะได้รับ ยกเว้นโทษ ยกเว้นโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต หรือลดโทษ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 , 73 , 74 , 75 และ 76 

สิทธิของผู้ต้องหาที่ต้องโทษประหารชีวิต 

ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้จำเลยต้องโทษถึงประหารชีวิต กฎหมายก็ได้กำหนดวิธีการเฉพาะสำหรับจำเลยที่ถูกตัดสินประหารชีวิตเอาไว้ด้วย นั่นก็คือ

สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาโดยไม่ต้องร้องขอ 

ในคดีที่ศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิตจำเลยนั้น แม้ไม่มีการอุทธรณ์ศาลชั้นต้นก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องส่งสำนวนคดีที่ตัดสินประหารชีวิตไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกชั้นหนึ่ง 

ที่กฎหมายกำหนดสิทธิในส่วนนี้เอาไว้ก็เพราะการประหารชีวิตส่งผลกระทนต่อเสรีภาพของจำเลยมาก จึงต้องมีการตรวจสอบคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นให้แน่ใจว่า จำเลยสมควรได้รับโทษประหารชีวิตนั่นเอง ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง 


การบันทึกการสอบสวนและพยานหลักฐาน

สิทธิของผู้ต้องหา (6).png

ในการดำเนินคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลนั้น กฎหมายบังคับว่าต้องมีการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายจากพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบก่อน 

โดยในการสอบสวนพนักงานสอบสวนต้องบันทึกคำให้การของพยานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังต้องรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมดเข้าสู่สำนวนการสอบสวน ไม่ว่าจะเป็น รูปที่เกิดเหตุ รู้ผู้ต้องหา อาวุธที่ใช้ในการกระทำความผิด ฯลฯ 

ซึ่งการสอบสวนนี้ มีขึ้นเพื่อพิสูจน์ความผิดและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาด้วย แต่การสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนนี้เป็นดุลพินิจส่วนตัวของพนักงานสอบสวนคนนั้น หากผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอไม่ครบถ้วน "ผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายมีสิทธิขอความเป็นธรรมตามกระบวนการ" เพื่อให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเข้าสู่สำนวนเพิ่มเติมครับ

ส่งท้าย

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านและสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับคดีของตัวเองได้นะครับ 

หากยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรรวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงทั้งหมดเข้าปรึกษาผู้มีความเชียวชาญ เพื่อจะได้รับคำแนะนำอย่างถูกต้องต่อไปครับ

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “