
คำว่า “ล้มละลาย” ฟังดูน่ากลัว แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แค่การมีหนี้เยอะจนจ่ายไม่ไหวเท่านั้น มันคือ “สถานะทางกฎหมาย” ที่ศาลมีคำพิพากษากำหนด และพอศาลสั่งแล้ว ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปหลายเรื่อง ทั้งสิทธิในการทำธุรกรรม การทำงาน การเดินทาง รวมถึงการจัดการทรัพย์สินทั้งหมดของเรา บทความนี้ตั้งใจเล่าให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าอะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้เข้าเกณฑ์ล้มละลาย ขั้นตอนในศาลเป็นยังไง ทางเลือกอย่างการประนอมหนี้ทำได้เมื่อไหร่ และถ้าศาลพิพากษาแล้วจะมีผลกระทบอะไรบ้าง
ล้มละลายคืออะไร?

การล้มละลายมิใช่เพียงสภาวะการมีหนี้สินท่วมท้น หากแต่เป็นสถานะทางกฎหมายที่กำหนดโดยคำพิพากษาศาล ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ และการดำเนินชีวิตของบุคคลหรือนิติบุคคล กฎหมายล้มละลายของประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483
โดยมีวัตถุประสงค์หลักสองประการ
- การรวบรวมและจัดสรรทรัพย์สินของลูกหนี้ให้แก่เจ้าหนี้อย่างเป็นธรรมและเสมอภาค
- การเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สุจริตเริ่มต้นชีวิตใหม่ทางเศรษฐกิจ
ล้มละลายเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง ?
หมวดที่ 1 เงื่อนไขการเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย
1.1 หนี้สินล้นพ้นตัว (Insolvency) ตามบทบัญญัติ มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย กำหนดเงื่อนไขประการแรกคือ ลูกหนี้ต้องมีสภาวะ "หนี้สินล้นพ้นตัว" ซึ่งตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา หมายถึง สภาวะที่ลูกหนี้มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินจนไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ทั้งหมด
1.2 เกณฑ์มูลหนี้ขั้นต่ำ มาตรา 9 กำหนดเกณฑ์มูลหนี้ขั้นต่ำเพื่อทำหน้าที่คัดกรอง (Gatekeeping Function) ดังนี้ - บุคคลธรรมดา หนี้สินไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท - นิติบุคคล หนี้สินไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท - หนี้ดังกล่าวต้องเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน
1.3 ข้อสันนิษฐานทางกฎหมาย มาตรา 8 กำหนดข้อสันนิษฐานว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวในกรณีดังต่อไปนี้ - การโอนทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งหลาย - การยักย้ายทรัพย์สินเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ - การไม่ชำระหนี้หลังจากได้รับหนังสือทวงถามจากเจ้าหนี้อย่างน้อยสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน
1.4 การพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2538 ศาลจะใช้ดุลพินิจพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เป็นสำคัญ โดยข้ออ้างเรื่องรายได้สูงเพียงอย่างเดียว หากไม่มีหลักฐานการชำระหนี้ที่ชัดเจน ถือว่าไม่เพียงพอต่อการหักล้างข้อเท็จจริงเรื่องหนี้สินล้นพ้นตัว
หมวดที่ 2 สาเหตุที่นำไปสู่การล้มละลาย
2.1 ปัจจัยระดับบุคคล
- การใช้จ่ายเกินตัว การก่อหนี้เพื่อการบริโภคโดยขาดการวางแผน โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง
- การค้ำประกัน การเข้าทำสัญญาค้ำประกันให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งอาจต้องรับผิดในหนี้ของผู้อื่นอย่างเต็มจำนวน
2.2 ปัจจัยด้านธุรกิจ
- การลงทุนที่ผิดพลาด การเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงสูงโดยขาดความรู้ความเข้าใจ
- การขยายธุรกิจรวดเร็วเกินไป การพึ่งพาเงินกู้เป็นหลักโดยขาดสภาพคล่อง
2.3 ปัจจัยเชิงโครงสร้าง
- สภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว
- วิกฤตการณ์ที่ไม่คาดฝัน
2.4 จุดวิกฤต
- หนี้ซ้ำซ้อน การถูกฟ้องร้องจากเจ้าหนี้หลายรายพร้อมกัน
- ภาระค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย ดอกเบี้ยผิดนัด และการถูกบังคับคดี
กระบวนการทางศาลเรื่อง ล้มละลาย

1 การยื่นคำฟ้อง
เจ้าหนี้ยื่นคำฟ้องต่อศาลล้มละลาย โจทก์ต้องวางเงินประกันค่าใช้จ่ายจำนวน 5,000 บาท เพื่อป้องกันการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต
2 คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว (Temporary Receivership)
ศาลอาจมีคำสั่งหากเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งเป็นมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อป้องกันการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน อำนาจจัดการทรัพย์สินโอนไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว
3 คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด (Absolute Receivership)
ศาลมีคำสั่งเมื่อวินิจฉัยว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริง โดยมีสถานะเทียบเท่าคำพิพากษาซึ่งเป็นจุดที่ไม่อาจหวนคืนและโจทก์ไม่สามารถถอนฟ้องได้ ดังนั้นอำนาจจัดการทรัพย์สินตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยสมบูรณ์
หน้าที่ของลูกหนี้และการประนอมหนี้
หน้าที่ของลูกหนี้
ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ลูกหนี้ต้องสาบานตนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยยื่นคำชี้แจงเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินตามแบบพิมพ์ที่กำหนดพร้อมทั้งระบุรายละเอียดทรัพย์สิน หนี้สิน คู่สมรส และหุ้นส่วนทางธุรกิจ
การประนอมหนี้ (Debt Compromise)
การประนอมหนี้เป็นโอกาสสุดท้ายในการหลีกเลี่ยงคำพิพากษาให้ล้มละลาย โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. การยื่นคำขอ ลูกหนี้ยื่นคำขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
2. การประชุมเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณา
3. มติพิเศษ ต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมากและมีจำนวนหนี้รวมกันไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนหนี้ทั้งหมด
4. การอนุมัติโดยศาล ศาลพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นขั้นตอนสุดท้าย
5. ผลผูกพัน หากได้รับอนุมัติ การประนอมหนี้ผูกพันเจ้าหนี้ทุกราย และลูกหนี้หลุดพ้นจากคดีล้มละลาย
กระทู้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเรื่อง "ล้มละลาย"
คำพิพากษาให้ล้มละลายและผลกระทบ

ศาลจะมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายในกรณีที่ไม่มีการเสนอขอประนอมหนี้หรือคำขอประนอมหนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมเจ้าหนี้หรือศาลไม่เห็นชอบกับการประนอมหนี้
ผลกระทบทางกฎหมาย ด้านนิติกรรมและการเงิน
- ไม่สามารถทำนิติกรรมและธุรกรรมทางการเงินทุกประเภท
- ไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารใหม่หรือขอสินเชื่อ
- รายได้ต้องนำส่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อจัดสรรให้เจ้าหนี้
- มีสิทธิขอรับเงินเลี้ยงชีพตามสมควรแก่ฐานานุรูป ด้านอาชีพการงาน
- ขาดคุณสมบัติในการรับราชการ
- ข้าราชการเดิมอาจต้องออกจากราชการ
- ไม่สามารถดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทจำกัด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล ด้านการเดินทาง
- ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
ข้อควรรู้
การถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ยังไม่ถือว่าเป็นบุคคลล้มละลาย ข้าราชการหรือกรรมการบริษัทยังไม่ขาดคุณสมบัติในทันที การเป็นบุคคลล้มละลาย เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วเท่านั้น ช่วงเวลาระหว่างสองสถานะนี้ถือเป็นโอกาส สำหรับการเจรจาประนอมหนี้และรักษาอาชีพการงาน
การปลดจากการล้มละลาย

ตาม มาตรา 81/1 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย บุคคลธรรมดาจะได้รับการปลดจากการล้มละลายโดยผลของกฎหมายตามระยะเวลาดังนี้
- กรณีปกติ 3 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาให้ล้มละลาย
- กรณีเคยล้มละลายมาก่อน 5 ปี
- กรณีบุคคลล้มละลายทุจริต 10 ปี หลุดพ้นจากหนี้สินทั้งปวงที่อาจขอรับชำระได้ในคดีล้มละลาย สามารถทำนิติกรรมและดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ได้รับโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ทางเศรษฐกิจ กฎหมายล้มละลายของประเทศไทยได้สร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้และการให้โอกาสแก่ลูกหนี้สุจริต กระบวนการล้มละลายมิใช่เพียงเครื่องมือในการบังคับชำระหนี้ แต่เป็นกลไกสำคัญในระบบเศรษฐกิจที่จัดการกับผลกระทบจากการก่อหนี้อย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษ และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายหาทางออกร่วมกัน
10 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเรื่องล้มละลาย
1. ล้มละลายคืออะไร ต่างจาก “พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด” อย่างไร
ล้มละลายคือสถานะทางกฎหมายที่เกิดหลังศาลพิพากษา ส่วน “พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด” เป็นคำสั่งให้ทรัพย์อยู่ภายใต้การดูแลเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ลูกหนี้ยังไม่เป็น “บุคคลล้มละลาย” ในช่วงพิทักษ์ทรัพย์ และยังมีช่องให้ประนอมหนี้ได้
2. หนี้เท่าไหร่ถึงฟ้องล้มละลายได้ เกณฑ์มูลหนี้ขั้นต่ำบุคคลธรรมดา-นิติบุคคล
เกณฑ์ขั้นต่ำโดยทั่วไป: บุคคลธรรมดา ≥ 1,000,000 บาท, นิติบุคคล ≥ 2,000,000 บาท และต้องเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนแน่นอนได้ พร้อมมีภาวะ “หนี้สินล้นพ้นตัว”
3. ล้มละลายเกิดจากอะไรได้บ้าง หนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคลมีผลไหม
สาเหตุพบบ่อยคือการใช้จ่ายเกินตัว หนี้บัตรเครดิต/สินเชื่อดอกสูงสะสม การค้ำประกันผู้อื่น การลงทุนพลาด หรือสภาพเศรษฐกิจถดถอย หากยอดหนี้รวมถึงเกณฑ์และลูกหนี้ชำระไม่ได้ เจ้าหนี้ยื่นฟ้องล้มละลายได้
4. ขั้นตอนยื่นฟ้องล้มละลายต้องทำอะไรบ้าง ตั้งแต่ยื่นคำฟ้องจนถึงคำพิพากษา
ลำดับทั่วไป: เจ้าหนี้ยื่นคำฟ้อง → ศาลอาจสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว → สั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด → ประชุมเจ้าหนี้/พิจารณาแผนประนอมหนี้ → หากไม่ผ่าน ศาลพิพากษาให้ล้มละลาย และเข้าสู่กระบวนการจำหน่ายแบ่งทรัพย์
5. ค่าใช้จ่ายฟ้องล้มละลาย 5,000 บาทคืออะไร ใครต้องวางเงินประกันคดี
โดยทั่วไป “เจ้าหนี้ผู้ยื่นฟ้อง” ต้องวางเงินประกันค่าใช้จ่ายคดี 5,000 บาทเมื่อยื่นฟ้อง เพื่อกรองคดีที่ไม่สุจริต ทั้งนี้ศาลอาจสั่งปรับเพิ่ม-ลดได้ตามสมควร
6. ประนอมหนี้ก่อนถูกพิพากษาให้ล้มละลายทำอย่างไร เงื่อนไขมติเจ้าหนี้คือเท่าไร
ลูกหนี้ยื่นคำขอประนอมหนี้ → เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุม → ต้องได้ “มติพิเศษ” (เสียงข้างมากและยอดหนี้รวมไม่น้อยกว่า 3/4 ของหนี้ทั้งหมด) → ศาลให้ความเห็นชอบ เมื่อผ่านแล้วผูกพันเจ้าหนี้ทุกคนและคดีสิ้นสุด
7. ล้มละลายเดินทางไปต่างประเทศได้ไหม ต้องขออนุญาตจากใคร
ระหว่างพิทักษ์ทรัพย์หรือเป็นบุคคลล้มละลาย การเดินทางออกนอกประเทศต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก่อน ฝ่าฝืนเสี่ยงถูกเพิกถอนสิทธิ/ดำเนินคดีเพิ่มเติม
8. ผลกระทบล้มละลายต่อการงาน-ตำแหน่งกรรมการบริษัท-สมัครราชการ
สถานะบุคคลล้มละลายมักเป็นลักษณะต้องห้ามในหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะกรรมการ/ผู้จัดการบริษัท และการรับราชการบางตำแหน่ง ช่วง “พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด” ยังไม่ใช่บุคคลล้มละลาย จึงยังมีโอกาสรักษาสถานะผ่านการประนอมหนี้
9. รายได้ใหม่-ทรัพย์สินระหว่างคดีล้มละลายต้องทำอย่างไร มี “ค่าเลี้ยงชีพ” ไหม
รายได้ใหม่โดยหลักต้องส่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อเฉลี่ยหนี้ ลูกหนี้สามารถยื่นขอ “ค่าเลี้ยงชีพตามสมควรแก่ฐานานุรูป” เพื่อใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน ศาลพิจารณาเป็นรายกรณี
10. ปลดจากล้มละลายกี่ปี ถึงจะกลับมาทำนิติกรรม-กู้เงิน-ทำงานได้ปกติ
โดยทั่วไปปลดจากล้มละลายอัตโนมัติภายใน 3 ปีนับแต่วันที่พิพากษา (บางกรณี 5 ปี หากเคยล้มละลายมาก่อน และ 10 ปี หากมีพฤติการณ์ทุจริต) หลังปลดแล้วสามารถกลับมาทำนิติกรรมและดำเนินชีวิตทางเศรษฐกิจได้ปกติ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ







