
ภาษีบริษัท ที่ผู้เปิดบริษัทเองควรรู้

‘ภาษี’ เป็นคำที่ฟังดูยุ่งยากและน่าปวดหัว และมักเป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจจำนวนมากเข้าใจไปว่าเป็นเรื่องของนักบัญชีเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วการเข้าใจภาษีจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการธุรกิจของเราได้อย่างถูกต้อง ไม่ต้องกลัวโดนปรับหรือเสียสิทธิประโยชน์โดยไม่จำเป็น และอาจช่วยให้เราสามารถประหยัดภาษีได้อีกด้วย
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับภาษีตัวสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรรู้ไว้ เพื่อให้ทุกบาททุกสตางค์ของกิจการถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าและถูกกฎหมาย
ประเภทของภาษีหลัก ๆ ที่บริษัทต้องรู้และมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
3) ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีทั้งสามประเภทนี้เป็นภาษีที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินกิจการของธุรกิจเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ผู้ประกอบการจึงควรทำความเข้าใจถึงลักษณะ วิธีการ และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาษีดังกล่าว ซึ่งมีรายละเอียดที่ควรทำความเข้าใจในเบื้องต้น ดังนี้
ประเภทแรก: ภาษีเงินได้นิติบุคคล

เมื่อมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจก่อนอันดับแรกคือ บริษัทที่เราก่อตั้งนั้นมีสถานะเปรียบเสมือนบุคคลคนหนึ่งในสายตาของกฎหมาย
ดังนั้น บริษัทของเราจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีด้วยเช่นกัน โดยภาษีบริษัทหรือภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นจะคำนวณจากตัวเลข ‘กำไรสุทธิ’
พออ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดว่า อย่างนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเพราะเราเปิดบริษัทและต้องทำบัญชี หรืองบกำไรขาดทุนอยู่แล้ว ซึ่งโดยปกติในงบก็ต้องมีการคำนวณกำไรขั้นต้นทางบัญชีอยู่แล้ว
แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นค่ะ เพราะกำไรขั้นต้นทางบัญชีไม่สามารถนำมาใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีได้เลยทันที แต่ต้องมีการปรับปรุงกำไรดังกล่าวนั้นให้กลายเป็น ‘กำไรสุทธิทางภาษี’ เสียก่อนนั่นเอง
ซึ่งการปรับปรุงกำไรทางภาษีก็เปรียบเสมือนการทำบัญชีทางภาษีอีกครั้งหนึ่ง เพราะมีค่าใช้จ่ายบางรายการที่เราอาจทำการบันทึกบัญชีเป็นรายจ่าย และนำมาหักออกกับรายได้เพื่อให้ทราบกำไรขั้นต้นทางบัญชี[1]
แต่ในทางภาษีนั้น มีค่าใช้จ่ายบางรายการที่กฎหมาย ‘ไม่อนุญาต’ ให้นำมาหักออกได้ เพราะถือเป็น ‘รายจ่ายต้องห้าม’ ดังนั้นในการคำนวณภาษีจึงต้องนำรายจ่ายต้องห้ามนี้มาบวกกลับเข้าไปเป็นรายได้ และคำนวณภาษีโดยใช้ตัวเลขรายได้นั้น ๆ นั่นเอง
ซึ่งรายการรายจ่ายต้องห้ามทางภาษีนั้น ถูกระบุไว้ในมาตรา 65 ตรี ของประมวลรัษฎากร ยกตัวอย่างเช่น
รายจ่ายส่วนตัว ซึ่งหมายถึง รายจ่ายที่แต่ละคนควรจะเป็นผู้จ่ายด้วยตนเองเป็นการส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของบริษัท และบริษัทไม่ได้มีภาระผูกพันธ์ตามสัญญาหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ต้องจ่าย [2]
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 3274/2548
เรื่อง ‘ค่าไฟฟ้าสำหรับมิเตอร์ชื่อบุคคลที่พักอาศัยกับส่วนที่ใช้ในกิจการ’[3]
ข้อเท็จจริงในคดีมีว่า : โจทก์เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประกอบกิจการ และมีอาคารสถานประกอบการภายในอาคารนั้น ชั้น 2 เป็นที่พักอาศัยของหุ้นส่วนและครอบครัวมีมิเตอร์ไฟฟ้าในชื่อ ‘นางจำรัส’ (บุคคลธรรมดา) สำหรับใช้ไฟฟ้าสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในส่วนที่พักอาศัย โจทก์ได้นำค่าไฟฟ้าจากมิเตอร์นั้นขึ้นเป็น ค่าใช้จ่าย ในการคำนวณกำไรสุทธิ กรมสรรพากร (จำเลย) โต้แย้งว่า ค่าไฟฟ้าสำหรับมิเตอร์นั้นเป็น ‘รายจ่ายส่วนตัว’ ไม่ใช่ ‘รายจ่ายเพื่อกิจการ’ และได้นำวิธีปันส่วนค่าไฟฟ้าโดยให้หักได้ร้อยละ 50 ซึ่งศาลเห็นว่าวิธีนี้สมเหตุสมผล และถือว่ารายจ่ายค่าไฟฟ้านั้นถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามครึ่งหนึ่ง ต้องบวกกลับเข้าไปในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษี
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ภาษีเงินได้นิติบุคคล คิดจากฐานกำไรสุทธิทางภาษี ซึ่งเกิดจาก รายได้ - ค่าใช้จ่าย และการปรับปรุงรายการตามกฎหมายนั่นเอง
⭐️ ปรึกษาทนายเบื้องต้นฟรี ง่ายๆผ่านทาง Free Q&A ของ Legardy โดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวตน
อัตราที่ใช้ในการคำนวณภาษี
ส่วนต่อมาที่ต้องทราบคือ ‘อัตราที่ใช้ในการคำนวณภาษี’ ซึ่งเป็นตัวเลขที่จะนำมาคูณกับตัวเลขกำไรสุทธิทางภาษี ซึ่งเป็นฐานภาษีที่เราคิดไว้ในข้างต้น ผลลัพธ์ที่ได้จะกลายเป็น ภาษีสุทธิ ที่บริษัทต้องเสีย ซึ่งอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศไทยปัจจุบันใช้อัตราแบบคงที่ 20 % ของกำไรสุทธิทางภาษีดังกล่าว
แต่หากกิจการของคุณเข้าลักษณะเป็น กิจการขนาดเล็ก หรือ SME ก็จะได้รับสิทธิลดอัตราภาษีด้วย โดยการจะเป็นกิจการขนาดเล็กตามกฎหมายนั้นต้องมีลักษณะดังนี้[4]
- ต้องมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และ
- ต้องมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท
หากเข้าทั้ง 2 เงื่อนไขจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดอัตราภาษี คือ
- กำไรสุทธิจำนวน 300,000 บาทแรกจะได้รับยกเว้นภาษี
- ส่วนที่เกินกว่า 300,000 บาทแต่ไม่เกิน 3,000,000 บาท จะถูกจัดเก็บในอัตราร้อยละ 15
- สุดท้ายกำไรส่วนที่เกินกว่า 3,000,000 บาทขึ้นไปจึงจะถูกจัดเก็บในอัตราร้อยละ 20 เหมือนบริษัททั่วไป
การยื่นภาษี
เมื่อทราบวิธีการคำนวณภาษีอย่างถูกต้องแล้ว ส่วนต่อมาก็ต้องทราบว่าจะต้องยื่นภาษีอย่างไร ซึ่งภาษีเงินได้นิติบุคคลในแต่ละปีหรือแต่ละรอบบัญชีนั้น บริษัทมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีทั้งหมด 2 รอบ คือ ภาษีครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี และ ภาษีสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
ภาษีครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี
คือ ภาษีที่บริษัทต้องยื่นเมื่อครบครึ่งปีของรอบบัญชีปกติ (ซึ่งหนึ่งรอบบัญชีมีระยะเวลา 12 เดือน) โดยจะคำนวณจากรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของปีบัญชี และต้องยื่นแบบภายใน 2 เดือนนับจากวันสิ้นสุดครึ่งปีนั้น
เช่น ถ้าบริษัทใช้รอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ก็จะต้องยื่นภาษีครึ่งรอบภายในสิ้นเดือนสิงหาคมของทุกปี และต้องทำการยื่นโดยใช้แบบ ภ.ง.ด. 51[5]
ภาษีสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
คือ ภาษีที่บริษัทต้องยื่นเมื่อครบรอบบัญชี โดยคำนวณจากรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งปี ได้ภาษีสุทธิเท่าไหร่ให้นำมาหักออกกับภาษีครึ่งปีที่ทำการเสียไป และภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ถูกหักไปในระหว่างปีทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ได้คือ จำนวนภาษีที่บริษัทอาจต้องจ่ายเพิ่ม หรือสามารถขอคืนได้นั่นเอง โดยภาษีสิ้นปีนี้ต้องทำการยื่นภายใน 150 วันนับจากวันสิ้นรอบบัญชีดังกล่าว (ตามมาตรา 68 และมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร)
เช่น ถ้าบริษัทใช้รอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ก็จะต้องยื่นภาษีสิ้นปีนี้ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม ของปีถัดไป และต้องทำการยื่นโดยใช้แบบ ภ.ง.ด. 50
ประเภทที่สอง: ภาษีมูลค่าเพิ่ม

หลังจากทำความเข้าใจภาษีเงินได้นิติบุคคลกันไปแล้ว อีกหนึ่งภาษีที่ผู้ประกอบการแทบทุกคนต้องเจอคือ ‘ภาษีมูลค่าเพิ่ม’ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ VAT
ซึ่งเจ้า VAT นี้เป็นภาษีที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับแทบจะทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า ผลิตสินค้า หรือการให้บริการใด ๆ ก็ตาม
ดังนั้น จึงเป็นภาษีที่เจ้าของกิจการควรทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร เราอยู่ในขอบข่ายที่ต้องจดทะเบียน VAT ไหม และถ้าต้องจดแล้วต้องยื่นอย่างไร เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างถูกต้องนั่นเองค่ะ
ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร
ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่ผู้ขายสินค้าหรือให้บริการจะต้องทำการจัดเก็บจากผู้ซื้อหรือผู้บริโภคแทนกรมสรรพากร โดยจัดเก็บในอัตรา 7 %[6]
ดังนั้น หากผู้ประกอบการต้องการจะขายสินค้าหรือบริการในราคาเท่าใด ก็ต้องทำการบวกค่าภาษีมูลค่าไปอีก 7 % ด้วยนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ต้องการขายไก่ทอดสูตรต้นตำรับในราคาตัวละ 500 บาท ก็ต้องบวกภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไป ราคาสุทธิที่คนซื้อต้องจ่ายให้แก่เราจะเท่ากับ 535 บาทนั่นเองค่ะ
ใครต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งการจะมีหน้าที่เก็บ VAT แทนกรมสรรพากรหรือไม่ ต้องไปดูว่ากิจการที่เราทำนั้นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ซึ่งพิจารณาได้ดังนี้ค่ะ
Check 1: กิจการได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่?
โดย กิจการที่ได้รับยกเว้น ไม่อยู่ในข่ายมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นถูกระบุไว้ใน มาตรา 81 ของประมวลรัษฎากร ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายรายการ ยกตัวอย่างเช่น
- การขายพืชผลทางการเกษตรในราชอาณาจักร เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว
- การขายสัตว์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตภายในราชอาณาจักร เช่น ไก่ หมู หรือเนื้อไก่เนื้อหมู
- การขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน เป็นต้น
ถ้าหากเป็นการประกอบกิจการตามที่ระบุยกเว้นไว้ ผู้ประกอบการก็ไม่มีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่หากกิจการของคุณไม่ใช่กิจการตามที่ระบุไว้ในมาตรา 81 ก็ให้ข้ามไปดูเงื่อนไขที่ 2 ต่อค่ะ
Check 2: กิจการมีรายรับเกิน 1.8 ล้านต่อปีหรือไม่?
ถ้ากิจการมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านต่อปีก็จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
เพราะถือเป็นกิจการขนาดย่อย ตามมาตรา 81/1 ของประมวลรัษฎากร แต่ถ้ามีรายเกินกว่านี้ก็หนีไม่พ้นต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มค่ะ
โดยจะต้องไปยื่นจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มภายในไม่เกิน 30 วันนับจากวันที่กิจการมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท[7] ดังนั้นก็แนะนำให้ลองคำนวณรายได้ดู และจดไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่านะคะ
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ต้องทำอะไรบ้าง ?
หน้าที่เกี่ยวกับใบกำกับภาษี และการคำนวณภาษีซื้อ - ภาษีขาย
เมื่อกิจการได้ทำการ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้ว กิจการจะมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม หน้าที่หลัก ๆ คือ การจัดเก็บ VAT จากผู้บริโภคแทนกรมสรรพากร แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น กิจการยังต้อง ออกเอกสารหลักฐานเพื่อยืนยันการจัดเก็บภาษี โดยเอกสารนี้เรียกว่า “ใบกำกับภาษี” ซึ่งเป็นเอกสารที่กิจการที่จดทะเบียน VAT เท่านั้นที่มีสิทธิออกได้[8]
วัตถุประสงค์ของการออกใบกำกับภาษีคือเพื่อใช้ยืนยันการเก็บภาษี และใช้เป็นหลักฐานการเสียภาษีสำหรับฝ่ายผู้ซื้อ โดยใบกำกับภาษีนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ใบกำกับภาษีซื้อ และ ใบกำกับภาษีขาย
1. ใบกำกับภาษีซื้อ คือ เอกสารที่กิจการจะได้รับมาจากการซื้อสินค้า หรือวัตถุดิบที่นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของสินค้าของตน โดยจะได้รับมาจากผู้ประกอบกิจการรายอื่นที่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น
กิจการ A. ขายไก่ทอดสูตรต้นตำรับ ในการผลิตไก่ทอด กิจการได้ซื้อวัตถุดิบหลายรายการจากบริษัท B. ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น แป้งทอดกรอบ น้ำมันพืช และผงปรุงรส โดยกิจการจะได้รับ ใบกำกับภาษีซื้อ จากบริษัท B. เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานว่ากิจการได้มีการเสียภาษีขาซื้อไปแล้วเป็นจำนวนเท่าไหร่ ตัวอย่างเช่น หากค่าต้นทุนวัตถุดิบแป้งทอดกรอบของกิจการ A. มีจำนวน1,000,000 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการซื้อแป้งทอดกรอบจะเท่ากับ 70,000 บาท ซึ่งภาษีขาซื้อนี้กิจการจะต้องนำไปหักกับ ภาษีขาย ซึ่งกิจการได้จัดเก็บมาในตอนที่ขายไก่ทอดให้แก่ผู้ลูกค้าของตนต่อไป เพื่อให้ได้ยอดภาษีมูลค่าเพิ่มที่กิจการมีหน้าที่ต้องนำส่งในแต่ละเดือน
2. ใบกำกับภาษีขาย คือ เอกสารที่กิจการมีหน้าที่ต้องออก เมื่อมีการขายสินค้าหรือให้บริการและกิจการทำการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อหรือลูกค้าของตน ยกตัวอย่างเช่น
ตามตัวอย่างเดิม หากกิจการ A. มีการขายไก่ทอดสูตรต้นตำรับให้กับร้านค้า ก.ราคารวมทั้งหมด 10,000 บาท กิจการ A. มีหน้าที่ต้องเก็บภาษีมูลค่าจากร้านค้า ก. 700 บาท และต้องออกใบกำกับภาษีขายให้กับร้านค้า ก. เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ใบกำกับภาษีขาย กิจการมีหน้าที่ต้องออก ส่วนใบกำกับภาษีซื้อ กิจการมีหน้าที่ต้องเก็บ
เมื่อมีการออก และเก็บใบกำกับภาษีทั้งขาซื้อและขาขายไว้ครบถ้วนและถูกต้องแล้วในแต่ละเดือน กิจการยังมีหน้าที่ต้อง ‘คำนวณ’ และ ‘นำส่ง’ ภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยใช้แบบ ภ.พ.30 ในทุก ๆ เดือนแม้ว่าในเดือนนั้นจะไม่มีภาษีซื้อและภาษีขายเกิดขึ้นก็ตาม [9]
โดยในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งให้แก่กรมสรรพากรตามแบบ ภ.พ.30 นั้น ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดไว้ว่า จะต้องทำการคำนวณโดย
นำภาษีขายทั้งหมดในเดือนนั้นที่ได้จัดเก็บและได้ออกใบกำกับภาษีไป หักกับ ภาษีซื้อทั้งหมดในเดือนนั้นที่ได้จ่ายออกไปและได้รับใบกำกับภาษีมา
หากคำนวณออกมาแล้วภาษีขายมีมากกว่าภาษีซื้อ ก็ให้ผู้ประกอบการชำระภาษีส่วนต่างนั้นเพิ่มเติม แต่หากคำนวณออกมาแล้วปรากฏว่ากิจการมีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย ก็ให้กิจการสามารถนำส่วนต่างนั้นมาใช้เป็นเครดิตภาษี และสามารถขอคืนได้ค่ะ
นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังมีหน้าที่ต้องจัดทำ รายงานภาษีซื้อ และ รายงานภาษีขายและในกรณีที่ประกอบกิจการขายสินค้า ยังมีหน้าที่ต้องจัดทำ รายงานสินค้าคงเหลือและวัตถุดิบ เพิ่มเติมด้วย[10]
เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบความถูกต้องของการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการคำนวณต้นทุนสินค้าและวัตถุดิบของกิจการ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของภาษีที่ผู้ประกอบการได้ยื่นไว้ได้อย่างครบถ้วนและถูกต้อง
โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่เป็นรายละเอียดในการจัดทำรายงานดังกล่าวนี้ ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 197)เรื่อง กำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการจัดทำรายงาน การลงรายการในรายงาน การเก็บใบกำกับภาษีและเอกสารหลักฐานอื่นที่ใช้ประกอบการลงรายงานภาษีซื้อตามมาตรา 87และมาตรา 87/3 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร[11]
ประเภทที่สาม: ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย

ประการที่สาม ซึ่งเป็นภาษีเรื่องสุดท้ายที่จะยกขึ้นมาพูดคุยกันในบทความนี้ คือ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ในมุมของบริษัทนั้นภาษีหัก ณ ที่จ่ายถือเป็นภาษีที่สำคัญมาก เพราะเป็นภาษีเงินได้อีกหนึ่งตัวที่บริษัทต้องทำหน้าที่จัดเก็บและนำส่งให้แก่กรมสรรพากร โดยจะต้องทำการหักจากเงินได้ที่บริษัททำการจ่ายให้แก่บุคคลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ตาม ดังนั้นจะเห็นได้ว่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายนั้นมีความเกี่ยวข้องกับ ‘รายจ่าย’ แต่ละอย่างที่บริษัทมีการจ่ายออกไป
โดยในการจะทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายนั้น บริษัทในฐานะผู้มีหน้าที่หักภาษีต้องทราบข้อมูลดังต่อไปนี้
1. รายจ่ายที่จ่ายออกไปนั้น เป็นรายจ่ายอะไร และถือเป็นเงินได้ประเภทใดตาม มาตรา 40 ของประมวลรัษฎากร
ต้องทราบว่ารายได้ที่บริษัททำการจ่ายไปในแต่ละครั้งถือเป็นเงินค่าอะไร เช่น จ่ายเงินเดือน จ่ายเงินปันผล จ่ายค่าจ้างฟรีแลนด์ ฯ เป็นต้น เพราะเงินได้แต่ละประเภทมีอัตราในการหัก และแบบฟอร์มที่ใช้ในการนำส่งแตกต่างกัน
2. ผู้รับเงินได้คือใคร
เป็นบุคคลธรรมดา หรือเป็นการรับเงินได้ในนามของบริษัทหรือนิติบุคคล เพราะสถานะที่ต่างกันจะส่งผลต่อเปอร์เซ็นต์การหัก และแบบฟอร์มที่ใช้ในการนำส่งที่ต่างกันด้วยเช่นกัน
3. รายจ่ายนั้นกฎหมายกำหนดให้ต้องหักภาษีกี่เปอร์เซ็นต์
ส่วนนี้พิจารณาจากประเภทเงินได้ และสถานะของผู้รับเงิน
ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นการจ่ายค่าเช่าให้กับบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลต้องหักภาษี 5 % แต่หากเป็นการจ่ายค่าทำบัญชีซึ่งถือเป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระให้กับบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลต้องหักภาษี 3 % เป็นต้น [12]
4. ต้องใช้แบบฟอร์มใดในการนำส่ง
แบบฟอร์มที่ใช้ในการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายนั้นมีด้วยกันหลัก ๆ คือ ภ.ง.ด. 1, ภ.ง.ด. 2, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53ในการยื่นแบบรายเดือน และ ภ.ง.ด.1 ก., ภ.ง.ด.2ก. ในการยื่นสรุปภาษีหัก ณ ที่จ่ายประจำปี [13]
แบบ ภ.ง.ด. 1
ใช้สำหรับการยื่นแบบรายเดือนในกรณีภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ถูกหักจากบุคคลธรรมดา ในเงินได้จากการจ้างแรงงาน และเงินได้จากตำแหน่งงานที่ทำ ตามมาตรา 40 (1)-(2) ของประมวลรัษฎากร[14] ส่วนการยื่นแบบรายปีที่เป็นรายงานสรุปยอดการหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งปีของบุคคลธรรมดาในเงินได้ประเภทเดียวกันนี้คือ แบบ ภ.ง.ด. 1 ก. [15]
แบบ ภ.ง.ด. 2
ใช้สำหรับการยื่นแบบรายเดือนในกรณีภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ถูกหักจากบุคคลธรรมดา ในเงินได้ที่เป็นค่าสิทธิ์ต่าง ๆ และเงินได้ที่เป็นดอกเบี้ย เงินปันผล ฯ ตามมาตรา 40 (3)-(4) ของประมวลรัษฎากร[16] และการยื่นแบบรายปีที่เป็นรายงานสรุปยอดการหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งปีของบุคคลธรรมดาในเงินได้จากเงินลงทุนตามมาตรา 40(4) คือ แบบ ภ.ง.ด. 2 ก. [17]
แบบ ภ.ง.ด. 3
ใช้สำหรับการยื่นแบบรายเดือนในกรณีภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ถูกหักจากบุคคลธรรมดา ในเงินได้ประเภทอื่น ๆ ที่เหลือตามมาตรา 40(5)-(8) เช่น เงินได้จากค่าเช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ หมอ ทนายความ ฯ เงินได้จากการรับเหมาก่อสร้างที่ผู้รับเหมาเป็นผู้จัดหาสัมภาระเอง เป็นต้น
แบบ ภ.ง.ด. 53
ใช้สำหรับการยื่นแบบรายเดือนในกรณีภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ถูกหักจาก นิติบุคคล[18]ในเงินได้ประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ อาทิเช่น เงินได้จากการขายสินค้าพืชผล การเกษตร (บางประเภท), ดอกเบี้ยเงินฝาก, ดอกเบี้ยตั๋วเงิน, เงินปันผล, เงินส่วนแบ่งกำไรหรือประโยชน์อื่นใด, เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ, เงินได้จากค่าจ้างทำของ, เงินได้จากการประกวด แข่งขัน ชิงโชค หรือการอื่น อันมีลักษณะนองเดียวกัน เงินได้จากค่าโฆษณา[19]เป็นต้น
ส่งท้าย
จากที่ได้เล่ามาทั้งหมดพอมาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า
การเปิดบริษัทไม่ได้จบแค่มีใบจดทะเบียน เพราะเรื่อง “ภาษี” ก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่เจ้าของกิจการทุกคนต้องรู้และจัดการให้ถูกต้อง
ไม่ว่าจะเป็น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีหัก ณ ที่จ่าย ต่างก็มีผลต่อทั้งภาพรวมทางการเงินและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ถ้าเข้าใจตั้งแต่ต้น วางระบบบัญชีและเอกสารให้ดี ชีวิตเจ้าของบริษัทจะง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ
ไม่ต้องมาปวดหัวทีหลังตอนยื่นภาษี แถมยังช่วยให้บริษัทดูโปร มีมาตรฐาน และพร้อมเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว สรุปง่าย ๆ คือ “รู้ภาษีไว้ก่อน ดีกว่ามาแก้ทีหลัง” ค่ะ
[1] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 68 ทวิ กำหนดให้นิติบุคคลต้องจัดทำบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน
[2] กรมสรรพากร , นิยามความหมายเพิ่มเติมของรายจ่ายต้องห้ามอันมีลักษณะเป็นรายจ่ายส่วนตัว < https://www.rd.go.th/827.html>
[3] https://www.rd.go.th/29430.html
[4] กรมสรรพากร, คู่มือภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SME <https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/lorkhor/newsbanner/2022/CIT_SME.pdf>
[5] กรมสรรพากร, ทำความรู้จักกับภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี ก่อนยื่นแบบภ.ง.ด. 51 ปีนี้ < https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/lorkhor/press_release/2023/07/PND51-66-new-ver.pdf>
[6] พระราชกฤษฎีกาออกตามควาในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 799) พ.ศ.2568ประกาศขยายเวลาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี มีผลถึง 30 กันยายน 2569
[7] กรมสรรพากร , ผู้มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และกำหนดเวลาการจดทะเบียน < https://www.rd.go.th/7061.html>
[8] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 86 กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องจัดทำใบกำกับภาษีและสำเนาใบกำกับภาษีสำหรับการขายหรือให้บริการทุกครั้ง และทันทีเมื่อความรับผิดทางภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น
[9] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 83 กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องทำการยื่นแบบรายการภาษีเป็นรายเดือน ไม่ว่าจะมีการขายสินค้าหรือให้บริการในเดือนภาษีนั้นหรือไม่ก็ตาม
[10] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 87 กำหนดให้จำทำรายงานการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
[11] https://www.rd.go.th/48265.html และ https://www.rd.go.th/3374.html
[12] กรมสรรพากร, คู่มือการหักภาษี ณ ที่จ่าย เฉพาะกรณีนำส่งด้วยแบบ ภ.ง.ด. 3 และ แบบ ภ.ง.ด.53 < https://www.rd.go.th/fileadmin/download/insight_pasi/wht_3_53_030260.pdf>
[13] กรมสรรพากร, แบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย < https://www.rd.go.th/7064.html >
[14] กรมสรรพากร, แบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย < https://www.rd.go.th/7064.html >
[15] กรมสรรพากร, แบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย < https://www.rd.go.th/7064.html >
[16] กรมสรรพากร, แบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย < https://www.rd.go.th/7064.html >
[17] กรมสรรพากร, แบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย < https://www.rd.go.th/7064.html >
[18] กรมสรรพากร, แบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย < https://www.rd.go.th/7064.html >
[19] กรมสรรพากร, คู่มือการหักภาษี ณ ที่จ่าย เฉพาะกรณีนำส่งด้วยแบบ ภ.ง.ด. 3 และ แบบ ภ.ง.ด.53 < https://www.rd.go.th/fileadmin/download/insight_pasi/wht_3_53_030260.pdf>
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ







