
ทำร้ายร่างกายกับโทษทางกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญา ไม่มีบัญญัตินิยามของคำว่า “ทำร้าย” ไว้โดยเฉพาะ คงมีแต่นิยามของคำว่า “ใช้กำลังประทุษร้าย” ซึ่งหมายถึง การประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของบุคคล ไม่ว่าจะทำด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด และให้หมายความรวมถึงการกระทำใดๆ ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ไม่ว่าจะโดยใช้ยาทำให้มึนเมา สะกดจิต หรือใช้วิธีอื่นใดอันคล้ายคลึงกัน (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(6))
ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย

ความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามกฎหมายแล้วต้องเกิดจากการกระทำโดยเจตนา กล่าวคือ ผู้กระทำต้องรู้สำนึกในการกระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำต้องประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นด้วย
ในทางกลับกันหากผู้กระทำไม่มีเจตนาทำร้าย แต่กระทำไปโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง ผู้กระทำก็รับโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390) หรือกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส (มาตรา 300) แล้วแต่กรณี
โทษเกี่ยวกับความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
1. ความผิดฐานใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391) โดยการจะพิจารณาว่ากรณีใดไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ให้พิจารณาจากบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับประกอบ เช่น
- มีรอยบวมเล็กน้อยที่ขมับ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2535)
- รอยช้ำบวมที่หัวคิ้วขวา (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2536)
- บาดแผลถลอกที่ข้อศอก, ริมฝีปาก, แก้ม และรอยฟกช้ำที่หน้าผาก (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1638/2561) เป็นต้น
กรณีเหล่านี้ ถือว่าไม่ถึงกับเกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
2. ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295) โดยความผิดฐานทำร้ายร่างกายนั้น บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับจะรุนแรงกว่ากรณีไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ เช่น
- มีรอยช้ำบวมหลายแห่ง และมีเลือดไหล (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2515)
- ฟันหัก (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2513) เป็นต้น
กรณีที่ต้องรับโทษหนักขึ้น: หากความผิดฐานทำร้ายร่างกายนั้น มีลักษณะประการหนึ่งประการใดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 เช่น ทำร้ายบุพการี ทำร้ายเจ้าพนักงาน ทำร้ายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นต้น กรณีเหล่านี้ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296)
3. ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาทถึง 200,000 บาท (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297) โดยอันตรายสาหัสนั้น กฎหมายกำหนดไว้ดังต่อไปนี้
- ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท
- เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์
- เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด
- หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว
- แท้งลูก
- จิตพิการอย่างติดตัว
- ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต
- ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน
กรณีที่ต้องรับโทษหนักขึ้น: หากความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสนั้น มีลักษณะประการหนึ่งประการใดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 เช่น ทำร้ายบุพการี ทำร้ายเจ้าพนักงาน ทำร้ายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นต้น กรณีเหล่านี้ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 – 10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 – 200,000 บาท (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 298)
(อ่านเพิ่มเติม) ลูกฟ้องพ่อแม่ได้ไหม ?
4. ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 15 ปี (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290) โดยความผิดฐานนี้ ต้องเริ่มจากผู้กระทำไม่ได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย เช่น
- ผู้กระทำใช้ไม่ตี (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 447/2510)
- ใช้มือเท้าทำร้าย (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 699/2510) เป็นต้น
เนื่องจากหากผู้กระทำมีเจตนาฆ่าผู้ตายแล้ว ย่อมถือเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 หรือ 289 แล้วแต่กรณี
กรณีที่ต้องรับโทษหนักขึ้น: หากความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายนั้น มีลักษณะประการหนึ่งประการใดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 เช่น ทำร้ายบุพการี ทำร้ายเจ้าพนักงาน ทำร้ายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นต้น กรณีเหล่านี้ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 20 ปี (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคสอง)
หากถูกทำร้ายร่างกายต้องดำเนินการอย่างไร

1. ตรวจร่างกาย
หากถูกทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย รักษาและขอใบรับรองแพทย์ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าได้รับบาดเจ็บจากอะไร นอกจากนี้ อาจถ่ายภาพร่องรอยบาดแผล เสื้อผ้าที่เสียหายเบื้องต้น เท่าที่จะสามารถทำได้
2. แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน
เมื่อได้รับใบรับรองแพทย์ และหลักฐานอื่นๆ เบื้องต้นแล้ว ผู้เสียหายควรไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด โดยแจ้งรายละเอียดและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับคดี เช่น วันเวลาเกิดเหตุ สถานที่เกิดเหตุ บุคคลผู้กระทำความผิด(หากทราบ) พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ เป็นต้น พร้อมพยานหลักฐานประกอบการแจ้งความ
กรณีผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ หรือคนไร้ความสามารถ การแจ้งความนั้น ผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้อนุบาล สามารถจัดการแจ้งความร้องทุกข์แทนผู้เสียหายได้ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(1))
กรณีผู้เสียหายบาดเจ็บหนักจนจัดการด้วยตนเองไม่ได้ หรือถึงแก่ความตาย การแจ้งความนั้น ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน คู่สมรส สามารถจัดการแจ้งความร้องทุกข์แทนผู้เสียหายได้ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2))
แนวทางการดำเนินคดี
การดำเนินคดีอาญานั้นผู้เสียหายสามารถกระทำได้ 2 ช่องทาง ดังนี้
1. กระทำผ่านพนักงานอัยการ
กล่าวคือ ภายหลังจากที่ผู้เสียหายหรือผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้ว พนักงานสอบสวนจะเป็นผู้ทำการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ตลอดจนสรุปสำนวน เพื่อให้พนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาลที่อยู่ในเขตอำนาจต่อไป
2. ผู้เสียหายฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจด้วยตนเอง
การเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำความผิด
กรณีที่ผู้กระทำความผิดได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย นอกจากผู้กระทำจะต้องรับผิดทางอาญาแล้ว ยังถือว่าผู้กระทำได้กระทำละเมิดต่อผู้เสียหาย และทำให้ผู้เสียหายเกิดสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งได้ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ ค่าสินไหมทดแทนอื่นอันไม่ใช่ตัวเงิน เป็นต้น
การเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำความผิดนั้น ผู้เสียหายสามารถฟ้องเป็นคดีแพ่งจากเหตุละเมิดเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย หรือสามารถยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 เข้าไปในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นจำเลยได้
แนวทางการต่อสู้คดีของผู้กระทำความผิดที่พบบ่อย
1. การป้องกัน (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68)
เมื่อผู้กระทำความผิดถูกดำเนินคดีแล้ว ผู้กระทำอาจต่อสู้คดีได้ว่า การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น อ้างว่าผู้เสียหายจะเข้ามาทำร้าย ตนจึงต้องป้องกัน เป็นต้น ซึ่งผลของการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ย่อมเป็นเหตุยกเว้นความผิด และผู้กระทำไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
2. การบันดาลโทสะ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72)
การต่อสู้คดีว่าการกระทำนั้นได้กระทำไปโดยบันดาลโทสะ หมายความว่า ผู้กระทำถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงเกิดความโกรธหรือมีโทสะ และกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงไปในขณะที่ยังมีโทสะนั้นอยู่ ซึ่งผลของการบันดาลโทสะนั้น ย่อมเป็นเหตุให้ศาลสามารถลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดได้ แต่ผู้กระทำความผิดก็ยังถือว่ามีความผิดตามกฎหมายอยู่เช่นเดิม
สิทธิขอรับค่าตอบแทนของผู้เสียหายจากกระทรวงยุติธรรม
1. บุคคลที่มีอำนาจยื่นคำขอ
- ผู้เสียหาย
- ทายาทซึ่งได้รับความเสียหาย
2. ระยะเวลาในการยื่นคำขอ
ผู้เสียหาย หรือทายาทซึ่งได้รับความเสียหาย สามารถยื่นคำขอรับค่าตอบแทนได้ภายในระยะเวลา 1 ปีนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการกระทำความผิด (พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 มาตรา 22 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559)
3. ค่าตอบแทนที่ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับ
ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 มาตรา 18
- ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล รวมทั้งค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ
- ค่าตอบแทนในกรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตาย
- ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ
- ค่าตอบแทนความเสียหายอื่นตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร
สรุป

การทำร้ายร่างกายเป็นความผิดอาญาที่มีโทษแตกต่างกันตามความร้ายแรง ตั้งแต่ปรับหรือจำคุกไม่กี่เดือนไปจนถึงจำคุกหลายปี ผู้เสียหายควรตรวจร่างกาย เก็บหลักฐาน และแจ้งความเพื่อดำเนินคดี นอกจากนี้ยังสามารถเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่ง และยื่นขอค่าตอบแทนจากรัฐได้
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ







