อาวุธปืน-กระสุน: ครอบครอง พกพา ยิงขึ้นฟ้า ผิดอะไรบ้าง ?
ในประเทศไทยสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่ทหาร ตำรวจ หน่วยราชการที่มีหน้าที่รักษาทรัพย์สินอันสำคัญของรัฐหรือรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน อาวุธปืนและกระสุน ตามกฎหมายไทย ไม่ใช่สิ่งที่สามารถครอบครองได้อย่างเสรี จะต้องมีการขอใบอนุญาตครอบครอง และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้ไฟ และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 (พรบ.อาวุธปืนฯ)
อาวุธปืนและกระสุน ตามที่กฎหมายกำหนดหมายถึงอะไร
“อาวุธปืน” ตามกฎหมาย คืออะไร ?
มาตรา 4(1) พรบ.อาวุธปืนฯ บัญญัติว่า “ “อาวุธปืน” หมายความรวมตลอดถึงอาวุธทุกชนิดซึ่งใช้ส่งเครื่องกระสุนปืนโดยวิธีระเบิดหรือกำลังดันของแก๊สหรืออัดลมหรือเครื่องกลไกอย่างใด ซึ่งต้องอาศัยอำนาจของพลังงานและส่วนหนึ่งของอาวุธนั้น ๆ ซึ่งรัฐมนตรีเห็นว่าสำคัญและได้ระบุไว้ในกฎกระทรวง ”
อาวุธปืนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน หมายถึง อาวุธทุกชนิดที่สามารถส่งกระสุนโดยวิธีระเบิด กำลังดันของแก๊ส การอัดลม หรือกลไกอะไรก็ตาม ซึ่งต้องใช้พลังงานและส่วนประกอบของตัวอาวุธในการส่งกระสุนออกไป เช่น ปืนพก ปืนไรเฟิล ปืนยิงลูกดอก(กำลังยิงสูง) ปืนอัดลมสำหรับนักกีฬา ปืนหน้าไม้ โดยการตีความของศาลว่าสิ่งใดจะเป็นอาวุธปืนหรือไม่ ศาลมักจะพิจารณาจากศักยภาพในการทำอันตรายแก่ชีวิต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2802/2567
แม้โจทก์ฟ้องว่า ปืนแบลงก์กันของกลางเป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงทำอันตรายแก่ร่างกายได้ และจำเลยให้การรับสารภาพ … เมื่อปืนแบลงค์กันของกลางไม่มีการดัดแปลงลำกล้อง สภาพภายในลำกล้องมีเหล็กแกนขวางไม่อาจส่งกระสุนออกมาจากลำกล้องได้ ไม่สามารถใช้ร่วมกับกระสุนปืนจริงได้ เมื่อยิงกับกระสุนปืนแบลงค์กันมีผลเพียงเกิดเสียง เปลวไฟ แรงระเบิด แรงดัน จากการเผาไหม้ดินดอกไม้เพลิงพุ่งออกมาจากปลายลำกล้องเท่านั้น ไม่มีหัวกระสุนปืนออกจากปากลำกล้อง แสดงให้เห็นจุดประสงค์ในการทำหรือประกอบปืนแบลงค์กันขึ้นโดยมิได้ให้เป็นอาวุธปืนที่ใช้ส่งเครื่องกระสุนปืน โดยประสงค์ใช้ยิงให้เกิดเสียงดังและมีเปลวไฟจากการยิงเท่านั้น หากไม่ได้ยิงในระยะประชิดหรือเป็นรัศมีแรงระเบิดหรือกำลังดันของดินดอกไม้เพลิง ก็ไม่มีอานุภาพรุนแรงที่สามารถทำอันตรายแก่กาย ชีวิต หรือวัตถุได้ ดังเช่นอาวุธปืนทั่วไป จึงไม่เข้าตามบทนิยามคำว่า "อาวุธปืน" ตามมาตรา 4 (1) แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ การมีรูปร่างลักษณะอันน่าจะทำให้คนทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นอาวุธปืนโดยสภาพ จึงเป็นเพียงสิ่งเทียมอาวุธปืนตามมาตรา 4 (5) แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร และฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน
เรื่องของฎีกานี้คือ จำเลยโดนจับพร้อมปืนแบลงก์กัน และโดนอัยการฟ้องฐานครอบครองอาวุธปืน พกพาอาวุธปืน และยิงปืน โดยศาลตัดสินว่าแบลงก์กันไม่ถือเป็นอาวุธปืนตามพรบ.อาวุธปืนฯ เพราะ แบลงค์กันไม่สามารถใช้งานกับกระสุนปืนจริงได้
ส่วนกระสุนของแบลงก์กัน ยิงแล้วมีผลเพียงเกิดเสียง เปลวไฟ แรงระเบิด แรงดัน จากการเผาไหม้ดินดอกไม้เพลิงพุ่งออกมา ไม่มีหัวกระสุนปืนออกจากปากลำกล้อง ถ้าไม่ยิงระยะประชิดจริง ๆ ก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่ชีวิตได้ และก็ไม่พบหลักฐานว่ามีการพยายามใช้แบลงค์กันไปยิงในระยะประชิด ศาลจึงไม่ตัดสินว่ามีความผิดฐานครอบครองอาวุธปืน พกพาอาวุธปืน และยิงปืน
จากคำพิพากษานี้ จะเห็นว่าอาวุธปืนต้องมีความสามารถในการทำอันตรายแก่ชีวิตได้ สิ่งที่มีลักษณะเหมือนอาวุธปืนแต่ไม่ได้มีความสามารถในการทำอันตรายแก่ชีวิต เป็นได้แค่สิ่งเทียมอาวุธปืน แนวคำพิพากษานี้ แม้รูปร่างอาจไม่เหมือนอาวุธปืน อย่างหน้าไม้ แต่ถ้ามีความสามรถในการทำอันตรายแก่ชีวิต ก็ถือเป็นอาวุธปืนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ได้
“กระสุน” ตามกฎหมาย คืออะไร ?
ตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 4(2) บัญญัติว่า “เครื่องกระสุนปืน” หมายความรวมตลอดถึงกระสุนโดด กระสุนปราย กระสุนแตก ลูกระเบิด ตอร์ปิโด ทุ่นระเบิดและจรวด ทั้งชนิดที่มีหรือไม่มีกรดแก๊ส เชื้อเพลิง เชื้อโรค ไอพิษ หมอกหรือควัน หรือกระสุน ลูกระเบิด ตอร์ปิโด ทุ่นระเบิดและจรวด ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน หรือ เครื่องหรือสิ่งสําหรับอัดหรือทํา หรือใช้ประกอบเครื่องกระสุนปืน” แปลว่า เครื่องกระสุนปืน คือกระสุนปืน ซึ่งมีทั้งกระสุนโดด กระสุนปราย กระสุนแตก ลูกระเบิดตอร์ปิโด ทุ่นระเบิดและจรวดที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน รวมถึงเครื่องมือหรือสิ่งที่เอาไว้อัด ทำ หรือประกอบกระสุนด้วย
ครอบครองอาวุธปืนและกระสุน แบบไหนถึงผิด ?
1. การครอบครองอาวุธปืนหรือกระสุนที่ไม่มีใบอนุญาตหรือไม่ได้จดทะเบียน
ตามมาตรา 7 พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทำ ซื้อ มี ใช้ สั่ง หรือน้ำเข้า ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่”
การครอบครองอาวุธปืนโดยที่จะไม่ผิดกฎหมาย เราจะต้องไปทำเรื่องขอครอบครองปืนจากนายทะเบียนท้องที่ ซึ่งก็จะมีการกำหนดชนิดของปืนที่ครอบครองได้(พวกปืนสงครามครอบครองไม่ได้) เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้วเราต้องครอบครองให้ถูกต้องตามใบอนุญาตที่เราได้มา
โดยการครอบครองอาวุธปืน จะต้องครอบครองของตนเองเท่านั้น หากครอบครองของผู้อื่น เช่น เพื่อนฝากปืนซึ่งเพื่อนมีใบอนุญาตครอบครองถูกต้อง เราก็ผิด เพราะใบอนุญาตครอบครองนั้นไม่ใช่ชื่อของเรา
2. การครอบครองกระสุนปืนซึ่งไม่ได้มีไว้ใช้กับปืนที่เราได้รับอนุญาตให้มี
ตามมาตรา 8 พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดมีเครื่องกระสุนปืนซึ่งมิใช่สำหรับใช้กับอาวุธปืนที่ตนได้รับอนุญาตให้มีและใช้”
การครอบครองกระสุนปืนโดยไม่ผิดกฎหมาย นอกจากจะต้องขออนุญาตครอบครองปืนตามมาตรา 7 ตามข้อ 1 แล้ว ซึ่งก็มีการกำหนดไว้ว่าเป็นการครอบครองปืนเพื่อเก็บหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นแบบเพื่อเก็บ คุณจะครอบครองกระสุนปืนไมได้ เราก็จะต้องครอบครองกระสุนปืนให้ตรงรุ่นกับปืนที่เรามีด้วย ตามมาตรา 8
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15274/2553
... ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปมีว่า การที่จำเลยมีเครื่องกระสุนปืนขนาด .38 ไว้ในครอบครองเป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดมีเครื่องกระสุนปืนซึ่งมิใช่สำหรับใช้กับอาวุธปืนที่ตนได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้” แปลความได้ว่า หากผู้ใดมีเครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้กับอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ ก็ไม่จำต้องขออนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ อันเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และไม่เป็นความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า อาวุธปืนที่จำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้เป็นอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .357 และกระสุนปืนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นเครื่องกระสุนปืนขนาด .38 แม้จะใช้กับอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .357 ได้ดังที่จำเลยฎีกา แต่เครื่องกระสุนปืนดังกล่าวก็มิใช่เครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้กับอาวุธปืนที่จำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีและให้ใช้ จำเลยจึงมีความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนซึ่งมิใช่สำหรับใช้กับอาวุธปืนที่ตนได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน…
เรื่องของฎีกานี้คือ จำเลยมีใบอนุญาตให้มีและให้ใช่อาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .357 และมีกระสุนปืนขนาด .38 ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกับปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .357 ได้ จำเลยจึงต้องสู้ว่าตนไม่มีความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนซึ่งมิใช่สำหรับใช้กับอาวุธปืนที่ตนได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ แต่ศาลตัดสินว่าจำเลยผิด เพราะแม้จะใช้ร่วมกันได้ แต่ไม่ตรงรุ่น จำเลยไม่สามารถครอบครองกระสุนปืนที่ไม่ใช่รุ่นของปืนที่จำเลยมีได้
จากคำพิพากษาศาลฎีกานี้ จะเห็นได้ว่า เราไม่สามารถครอบครองกระสุนปืนของปืนรุ่นที่เราไม่ได้รับอนุญาตให้ครอบครอง แม้มันจะใช้ร่วมกับปืนรุ่นที่เรามีใบอนุญาตก็ตาม
พกพา แบบไหนถึงผิด ?
สำหรับอาวุธปืนและกระสุน ถ้าไม่ใช่บุคคลตามมาตรา 8 ทวิ วรรคสาม ซึ่งได้แก่ ทหาร ตำรวจ เจ้าพนักงานที่รักษาความสงบเรียบร้อย และคนที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่รักษาความสงบ หรือความปลอดภัย หรือเป็นคนที่ได้รับมอบหมายจากราชการทหาร หรือตำรวจแล้ว นอกจากเราจะต้องได้รับอนุญาตถึงจะครอบครองได้แล้ว การจะพกพาอาวุธปืนและกระสุนไปไหน ก็มีหลักเกณฑ์เหมือนกัน ได้แก่
1. การพกพาอาวุธปืนและกระสุนติดตัว ซึ่งก็คือพกปืนแบบพร้อมใช้งาน
เช่นเหน็บไว้ที่เอว ใส่ไว้ในกระเป๋าที่สะพายอยู่ หรือวางไว้ใกล้ตัวในระยะที่เราหยิบมาใช้ได้ทันที ซึ่งปืนอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้ทันที เราต้องได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว หากเราสามารถขอใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวได้ เราก็สามารถพกอาวุธปืนและกระสุนได้ตามมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง
แต่เราห้ามพกแบบเปิดเผย หรือพกไปในสถานที่ที่มีคนจัดให้มีการนมัสการ งานรื่นเริง งานมหรสพหรืองานอื่น ๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ตามมาตรา 8 ทวิ วรรคสอง
2. การพกพาอาวุธปืนและกระสุนติดตัว ถ้าเราไม่ได้มีใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว
มีหลักเกณฑ์ที่จะพกพาได้ตามมาตรา 8 ทวิ พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว เว้นแต่เป็นกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์”
หมายความว่า หากไม่มีใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จะต้องมีทั้งเหตุจำเป็นและเหตุเร่งด่วนพร้อมกันจึงจะพกได้ โดยเหตุจำเป็นคือ เหตุที่เราอาจไม่ปลอดภัย เช่น พกเงินสดจำนวนมากไปทำธุระในบริเวณที่ที่อาจมีอันตราย หรือไปทำธุระสำคัญในบริเวณที่ที่อาจมีอันตราย อย่างการไปหาลูกหนี้ที่มีประวัติอันตราย หากไม่พกปืนไปอาจเกิดผลเสียหรือเกิดอันตรายได้ ส่วนเหตุเร่งด่วนคือ สาเหตุหรือสถานการณ์ที่ต้องพกพาอาวุธปืนออกไปในตอนนั้น หลีกเลี่ยงไปทำในช่วงเวลาอื่นไม่ได้ เช่น การไปทำธุรกรรมที่พกเงินสด ต้องไปทำกลางคืน เวลานั้นเท่านั้น เลื่อนเวลาไม่ได้ ก็จะเป็นเหตุเร่งด่วน ถ้าเลื่อนเวลาออกไปได้ ขณะนั้นก็จะไม่เป็นเหตุเร่งด่วน
3.การพกพาอาวุธปืนและกระสุน แต่ไม่ติดตัว
คือพกพาอาวุธปืนให้อยู่ในลักษณะที่ไม่พร้อมจะใช้งานได้ในทันที แต่จะต้องเก็บไว้ในสถานที่หรือลักษณะที่ไม่สามารถหยิบฉวยมาใช้ได้ในทันที อย่างเก็บไว้กล่องเก็บของท้ายรถพร้อมกับแยกกันเก็บกับกระสุนปืนพร้อมใส่กล่องเก็บปืนไว้ การพกพาแบบนี้สามารถทำได้ถ้ามีเหตุสมควร ตามหลักเกณฑ์ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณโดย เปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร หรือพาไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มี ขึ้นเพื่อนมัสการ การรื่นเริงหรือการอื่นใด ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน หนึ่งร้อยบาท และให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบอาวุธนั้น”
หมายความว่า เราสามารถพกพาอาวุธปืนและกระสุนแบบไม่ติดตัวได้ ถ้ามีเหตุสมควร ซึ่งคำว่าเหตุสมควรนี้จะกว้างกว่าคำว่าเหตุจำเป็น เพราะเหตุจำเป็นจะถือว่าเป็นเหตุสมควรด้วย โดยเหตุสมควรนี้ หมายความว่า เหตุผลที่เหมาะสมในการพกพาอาวุธปืนไป แต่เหตุผลนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นถึงเหตุจำเป็นก็ได้ เช่น การพกพาอาวุธปืนไปสนามยิงปืนเพื่อซ้อมยิง แบบนี้ไม่ใช่เหตุจำเป็น เพราะถึงไม่ได้ซ้อมยิงปืน ก็ไม่เกิดผลเสียหรืออันตรายแต่อย่างใด แต่ถือว่าเป็นเหตุสมควรได้
ยิงปืนขึ้นฟ้า ผิดหรือไม่ ?
เราจะเห็นในข่าวหลายครั้ง เกี่ยวกับการยิงปืนขึ้นฟ้า ซึ่งการยิงขึ้นมีในหลายกรณี ทั้งที่ผิดและไม่ผิด ดังนี้
1.ยิงปืนขึ้นฟ้าในสถานที่ที่อนุญาตให้ยิง
เช่นสนามซ้อมยิงปืน การยิงในสนามยิงปืนที่ได้รับอนุญาต/มีมาตรการความปลอดภัยครบถ้วน เพื่อฝึกซ้อมหรือแข่งขัน และปฏิบัติตามกฎของสนาม ไม่ถือเป็นการยิงขึ้นฟ้าแบบเสี่ยงต่อสาธารณะ ถ้าทำภายในสนามตามกฎและมีใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง
2.ยิงปืนขึ้นฟ้าในชุมชน
โดยทั่วไปถือเป็นความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบวัน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” แปลว่า การยิงปืน ซึ่งใช้ดินระเบิด ในเมือง หมู่บ้าน ชุมชน ที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็น เป็นความผิดอาญา ถ้ายิงปืนที่ไม่ใช้ดินระเบิดขึ้นฟ้า ก็ไม่ผิดตามาตรานี้ แต่ก็อาจผิดฐานทำให้เกิดเสียงโดยไม่มีเหตุสมควร จนทำให้ประชาชนเดือดร้อนตามมาตรา 371
และการยิงปืนขึ้นฟ้านี้ ถ้าเกิดความเสียหาย เช่นกระสุนตกลงมาทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ก็จะมีความผิดฐานประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสตามมาตรา 300 ประมวลกฎหมายอาญา หรือความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ตามมาตรา 291 ประมวลกฎหมายอาญา แต่ถ้าทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ก็อาจโดนฟ้องฐานละเมิดจากผู้เสียหายได้ (ไม่มีความผิดทางอาญาจากการประมาททำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์)
แต่ถ้ายิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อป้องกันตัวจากภยันตรายที่ใกล้ถึงตัว เช่น กำลังจะโดนทำร้าย แม้จะยิงในชุมชน ก็ไม่มีความผิดฐานยิงปืนขึ้นฟ้าในที่สาธารณะ ประมวลกฎหมาย ตามมาตรา 68
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2553
ผู้ตายถือ “ปืนลูกซองสั้น” บุกขึ้นบ้านจำเลย ท้าดวลปืน มีการต่อสู้ยื้อกันบนบ้าน จำเลยยิง 2 นัด ถูก 1 นัด ศาลฟังว่าภยันตรายใกล้ถึงตัว ยิงเพื่อยับยั้งอันตราย และเมื่อผู้ตายถูกยิงแล้วจำเลยไม่ยิงซ้ำ ถือว่าพอสมควรแก่เหตุ ตามป.อ. 68
จากฎีกานี้ คือผู้ตายเอาปืนบุกบ้านจำเลยเพื่อท้ายิง จำเลยจึงหยิบปืนยิงสวน พอยิงโดนแล้วผู้ตายไม่สู้จำเลยก็หยุดยิง ศาลก็ตัดสินว่าจำเลยไม่ผิด ถือว่าป้องกันตัว
เมื่อเอาฎีกานี้มาตีความ การที่เรายิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่ ถือว่าเป็นการป้องกันตัวตามกฎหมายได้ ไม่เกินแก่เหตุ หากเอามาขู่ในกรณีที่อาจเกิดอันตรายร้ายแรง เช่น มีคนมาท้าดวลปืน หรือโจรขึ้นบ้านพร้อมอาวุธ
ในท้ายนี้
อาวุธปืน เป็นสิ่งที่มีอานุภาพร้ายแรงและอันตราย การที่เราจะครอบครอง พกพา หรือใช้งาน เราต้องศึกษากฎหมายในเรื่องนี้ให้ดีก่อน เพื่อไม่ให้เราเผลอทำผิดกฎหมาย
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ







