จะฟ้องละเมิดมาตรา 420 ต้องอ่าน!.png
เผยแพร่เมื่อ: 2025-09-29

รู้จักองค์ประกอบ ภาระการพิสูจน์ ข้อยกเว้น แบบเข้าใจง่าย

รู้จักองค์ประกอบ ภาระการพิสูจน์ ข้อยกเว้น แบบเข้าใจง่าย.png

ความขัดแย้งและการก่อให้เกิดความเสียหายในสังคมถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจราจรบนท้องถนน ข้อพิพาทระหว่างเพื่อนบ้าน การทำลายทรัพย์สิน หรือการสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของบุคคลอื่น เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น คำถามสำคัญที่ตามมาคือ ใครจะต้องรับผิดชอบ และจะเรียกร้องความเป็นธรรมได้อย่างไร

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 จึงมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นรากฐานทางกฎหมายที่ “กำหนดหลักเกณฑ์ความรับผิดสำหรับผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น” ไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยเจตนาหรือด้วยความประมาทเลินเล่อ บทความนี้จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรานี้อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่องค์ประกอบทางกฎหมาย การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง ไปจนถึงแนวทางการดำเนินคดี

มาตรา 420 – บทบัญญัติพื้นฐานแห่งความรับผิดทางละเมิด

มาตรา 420 บัญญัติว่า ผู้ใด “จงใจ” หรือ “ประมาทเลินเล่อ” ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย “ให้เขาเสียหาย” ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"

บทบัญญัติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงหลักการสำคัญในกฎหมายแพ่งที่ว่า ผู้ใดก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นโดยการกระทำที่ผิดกฎหมาย ย่อมต้องรับผิดชอบในการชดใช้ความเสียหายนั้น

องค์ประกอบของการกระทำละเมิด

องค์ประกอบของการกระทำละเมิด.png

องค์ประกอบของมาตรา 420: (1) ผู้ใด (2) กระทำการ (3) จงใจหรือประมาทเลินเล่อ (4) กระทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย (5) ก่อให้เกิดความเสียหาย หากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดและผู้ถูกกล่าวหาจะไม่ต้องรับผิดในฐานนั้น

1. "ผู้ใด" – การระบุตัวผู้กระทำละเมิด

"ผู้ใด" หมายถึงบุคคลที่เป็นต้นเหตุของการละเมิด ซึ่งในคดีแพ่งจะเป็นจำเลยที่โจทก์ฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน การระบุ "ผู้ใด" ให้ถูกต้องมีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากหากฟ้องผิดคน ก็ไม่อาจได้รับการชดใช้ค่าเสียหายได้

ในทางปฏิบัติ การกำหนด "ผู้ใด" อาจมีความซับซ้อน โดยเฉพาะในกรณีที่มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย เช่น กรณีอุบัติเหตุ หรือกรณีที่มีการกระทำร่วมกันของหลายบุคคล ซึ่งอาจต้องพิจารณาถึงความรับผิดร่วมกันตามมาตรา 432 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย

2. "การกระทำ" – รวมถึงการงดเว้นหน้าที่

การกระทำตามมาตรา 420 ไม่ได้หมายถึง การกระทำการใดๆเพียงเท่านั้น แต่รวมถึงการงดเว้นหน้าที่เมื่อผู้นั้นมีหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันผลร้ายที่จะเกิดขึ้น

หน้าที่ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้จากหลายแหล่งที่มา ได้แก่ หน้าที่ตามบทบัญญัติของกฎหมาย หน้าที่ตามสัญญา หน้าที่ที่เกิดจากการกระทำครั้งก่อนของตน หน้าที่ที่เกิดจากความสัมพันธ์พิเศษ หรือหน้าที่ตามระเบียบและข้อบังคับต่างๆ 

ตัวอย่างการงดเว้นหน้าที่ เช่น ยามรักษาความปลอดภัยที่หลับขณะปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ขโมยเข้ามาขโมยทรัพย์สิน หรือ พนักงานที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในสถานที่ที่มีวัตถุไวไฟ แต่ปล่อยให้บุคคลอื่นสูบบุหรี่ในบริเวณดังกล่าว จนเกิดอัคคีภัยขึ้น เป็นต้น

3. "จงใจหรือประมาทเลินเล่อ" – องค์ประกอบภายใน

องค์ประกอบข้อนี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า "องค์ประกอบภายใน" ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจตนาของผู้กระทำในขณะที่กระทำการละเมิด โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การกระทำโดยจงใจ และการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ

3.1 การกระทำโดยจงใจ 

หมายถึงการกระทำที่ผู้กระทำ “มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดผล” ที่เป็นการละเมิด ตัวอย่างเช่น การทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยตั้งใจ การหมิ่นประมาทโดยการเผยแพร่ข้อความเท็จ หรือการทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นด้วยความโกรธแค้น

3.2 การกระทำโดยประมาทเลินเล่อ

มีความหมายที่ซับซ้อนกว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรค 4 กำหนดว่า “กระทำโดยประมาท ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

  • "วิสัย" หมายถึงความสามารถและสถานภาพของผู้กระทำ เช่น ถ้าเป็นคนขับรถ ก็ต้องมีความรู้และทักษะในการขับรถอย่างปลอดภัย 
  • "พฤติการณ์" หมายถึงสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น เช่น สภาพอากาศ ความเร็วที่เหมาะสม สภาพถนน ความหนาแน่นของการจราจร

สิ่งสำคัญคือ ผู้กระทำต้องมีความสามารถที่จะใช้ความระมัดระวังได้ แต่ไม่ได้ใช้ หรือใช้แต่ไม่เพียงพอ เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับบุคคลอื่นถือว่าเป็นการกระทำละมิดโดยประมาท

ตัวอย่างเช่น คนขับรถที่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ ทำให้ขาดสมาธิและเกิดอุบัติเหตุ ยามรักษาความปลอดภัยที่หลับขณะปฏิบัติหน้าที่ หรือ พนักงานที่ทำงานในโรงงานที่มีวัตถุไวไฟแต่ไปสูบบุหรี่ในบริเวณที่ห้ามสูบบุหรี่

อย่างไรก็ดี หากผู้กระทำไม่สามารถใช้ความระมัดระวังได้เลย ก็ไม่ถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ

อ่านเพิ่มเติม

เข้าใจคำว่า "ประมาท" และความผิดทางกฎหมาย — บทความอธิบายความหมายของความประมาทตามกฎหมาย พร้อมตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา

ทุกเรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับความประมาท  — บทความอธิบายวิสัยและพฤติการในการพิจารณาความประมาท

4. "การทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย"

องค์ประกอบนี้เป็นการกำหนดว่า การกระทำนั้นจะต้องเป็น “การกระทำที่ผิดกฎหมาย” หมายความว่า ผู้กระทำไม่มีสิทธิที่จะกระทำในสิ่งนั้น กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ เช่น การทำร้ายร่างกายผู้ที่เดินสวนกัน หรือ การโพสต์ใส่ความคู่อริ

อย่างไรก็ดี หากการกระทำนั้นอยู่ในอำนาจ ได้รับความยินยอม หรือมีเหตุยกเว้นตามกฎหมาย แม้อาจมีความเสียหายเกิดขึ้นบ้าง ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำละเมิด 

5. "ก่อให้เกิดความเสียหาย"

มาตรา 420 ระบุความเสียหายที่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ไว้ 6 ประเภท ดังนี้

1. ความเสียหายแก่ชีวิต 

เป็นความเสียหายที่ร้ายแรงที่สุด การทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ไม่ว่าจะโดยการจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ถือเป็นการละเมิดที่ต้องรับผิดชอบสูงสุด  เช่น อุบัติเหตุรถชนที่ทำให้เสียชีวิต การฆาตกรรม หรือการให้ยาพิษ

ครอบครัวผู้เสียชีวิตสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ทั้งในส่วนของการสูญเสียผู้เลี้ยงดู ค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ และความเสียหายทางจิตใจ

2. ความเสียหายแก่ร่างกาย

หมายถึงการทำให้ร่างกายของผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ เช่น การทำร้ายร่างกาย การตีตบ การใช้อาวุธทำร้าย หรืออุบัติเหตุจราจร เป็นต้น

3. ความเสียหายต่ออนามัย

เป็นความเสียหายที่อาจไม่เห็นผลทันที แต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมหรือส่งผลกระทบในระยะยาว เช่น การทำให้สัมผัสกับสารพิษ การสร้างมลพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพ หรือการทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ

4. ความเสียหายต่อเสรีภาพ

ครอบคลุมการจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง การแสดงความคิดเห็น หรือการดำเนินชีวิตตามปกติ การหน่วงเหนี่ยวกักขัง การขัดขวางการทำงาน หรือการบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ ล้วนเป็นการละเมิดเสรีภาพ

5. ความเสียหายต่อทรัพย์สิน

หมายถึงการทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย สูญหาย หรือถูกทำลาย เช่น การทุบตีรถยนต์ การเผาบ้าน ยืมของไปใช้แต่ทำหาย หรือการทำให้ทรัพย์สินเสื่อมค่าลงไป

6. ความเสียหายต่อสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด 

เป็นองค์ประกอบที่มีขอบเขตกว้างที่สุด ครอบคลุมสิทธิทุกประเภทที่กฎหมายให้การคุ้มครอง เช่น สิทธิในชื่อเสียง สิทธิส่วนบุคคล สิทธิทางปัญญา สิทธิในการประกอบอาชีพ หรือสิทธิในความเป็นส่วนตัว เป็นต้น

👉 หากคุณถูกกระทำละเมิดและยังไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร สามารถปรึกษาทนายความได้ฟรีที่ Legardy Q&A เพื่อรับคำแนะนำเบื้องต้นก่อนตัดสินใจจ้างทนาย

กรณีศึกษา

ในคดีที่มีการโยนวัตถุจากอาคารสูงลงมา ทำให้ยามรักษาความปลอดภัยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและต้องได้รับการเย็บแผล กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้องค์ประกอบของมาตรา 420

ผู้กระทำ ("ผู้ใด") คือบุคคลที่โยนวัตถุลงมาจากตึก การกระทำคือการโยนวัตถุ ซึ่งถือเป็นการกระทำในเชิงบวก ไม่ใช่การงดเว้นหน้าที่ องค์ประกอบภายในคือการประมาทเลินเล่อ เนื่องจากการโยนของจากที่สูงลงมาอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นได้ และผู้กระทำสามารถคาดเห็นผลที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอ

การกระทำดังกล่าวเป็นการผิดกฎหมาย เนื่องจากไม่มีสิทธิที่จะโยนของไปตกในที่อันไม่สมควร และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายของผู้อื่น ดังนั้น จึงครบองค์ประกอบของการละเมิดตามมาตรา 420 ทุกข้อ

อ่านเพิ่มเติม

โยนของลงมาจากตึกโดยไม่ทันคิดโดนหัวยามเจ็บมีแผลเย็บมีโอกาสโดนฟ้องไหมคับ — กระทู้กฎหมายเกี่ยวกับกรณีการกระทำโดยประมาทที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น

ข้อยกเว้น ที่ไม่สามารถเอาผิดฐานละเมิดได้

ข้อยกเว้น ที่ไม่สามารถเอาผิดฐานละเมิดได้.png

จากที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ในบางกรณีแม้ว่าการกระทำจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่หากเป็นการใช้สิทธิหรืออำนาจที่กฎหมายให้ไว้ ก็ไม่ถือเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 เช่น

  • กรณีตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัย 

เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้อำนาจตามกฎหมาย แม้ว่าการจับกุมจะทำให้ผู้ถูกจับกุมสูญเสียเสรีภาพ แต่ตำรวจมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการจับกุมผู้ต้องสงสัย เมื่อมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิด 

อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจของตำรวจจะต้องอยู่ในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด หากตำรวจใช้อำนาจเกินขอบเขต เช่น จับกุมคนผิดคน ใช้กำลังเกินควร หรือดำเนินการโดยไม่มีหมายหรือเหตุอันสมควร ก็อาจถูกฟ้องร้องในข้อหาละเมิดได้

  • กรณีแพทย์ผ่าตัดผู้ป่วย

แสดงให้เห็นถึงหลักการยกเว้นความผิดด้วยเหตุแห่งความยินยอม การผ่าตัดย่อมเป็นการทำร้ายร่างกายในทางเทคนิค แต่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยและได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือญาติแล้วในทางปฏิบัติ โรงพยาบาลจะให้ผู้ป่วยลงนามในเอกสารยินยอมหลายฉบับ ซึ่งระบุรายละเอียดของการรักษา ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และการยินยอมให้แพทย์ดำเนินการรักษา เพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องในภายหลัง

การรักษาทางการแพทย์จะไม่เป็นการละเมิดได้ก็ต่อเมื่อ อยู่ในขอบเขตของการรักษาที่จำเป็น ดำเนินการตามมาตรฐานทางการแพทย์ และได้รับความยินยอมที่ถูกต้องแล้ว หากแพทย์กระทำการนอกเหนือจากที่ได้รับความยินยอม หรือประมาทเลินเล่อในการรักษา ก็อาจถูกฟ้องร้องได้

  • กรณีการแข่งขันกีฬา

เช่น มวยไทย มวยสากล หรือกีฬาต่อสู้อื่นๆ แม้ว่านักกีฬาจะทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน แต่เป็นการกระทำภายใต้กติกาของการแข่งขัน และทั้งสองฝ่ายให้ความยินยอมในการเข้าร่วมแข่งขัน

  • การป้องกันตัวเท่าที่จำเป็น 

หากถูกทำร้ายหรือถูกคุกคาม การใช้กำลังเพื่อป้องกันตัวในขอบเขตที่จำเป็นและสมเหตุสมผล ไม่ถือเป็นการละเมิด แต่ต้องไม่เกินกว่าที่จำเป็น และต้องเป็นการป้องกันอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือกำลังเกิดขึ้น

ภาระการพิสูจน์ ฟ้องละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ใครต้องพิสูจน์อะไร

ภาระการพิสูจน์ ฟ้องละเมิดสิทธิส่วนบุคคล  ใครต้องพิสูจน์อะไร.png

คดีละเมิดเป็นคดีแพ่งที่ “แต่ละฝ่ายต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงของตนเอง” โจทก์ต้องพิสูจน์องค์ประกอบละเมิดให้ครบ ส่วนจำเลยพิสูจน์ข้อยกเว้นหรือเหตุปัดความรับผิด

โจทก์ต้องพิสูจน์องค์ประกอบครบ 5 ข้อ

1. การระบุผู้กระทำ ("ผู้ใด") โจทก์ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า จำเลยเป็นบุคคลที่แท้จริงที่กระทำการละเมิด ในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย การระบุผู้กระทำให้ถูกต้องจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

2. การพิสูจน์การกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือการงดเว้นหน้าที่ ที่เป็นต้นเหตุของความเสียหาย

3. การพิสูจน์เจตนาหรือความประมาท นี่คือจุดที่ยากที่สุดในการพิสูจน์ เนื่องจากเป็นองค์ประกอบภายใน โจทก์ต้องแสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ โดยอาศัยพฤติการณ์ภายนอกมาอ้างอิงถึงสภาพจิตใจภายใน

4. การพิสูจน์ว่าการกระทำผิดกฎหมาย โจทก์ต้องแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิที่จะกระทำในสิ่งนั้น หรือการกระทำนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น

5. การพิสูจน์ความเสียหาย โจทก์ต้องแสดงให้เห็นว่าเกิดความเสียหายจริง และความเสียหายนั้นเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย (ความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล Causation)

หากขาดข้อใดข้อหนึ่งไป ศาลก็จะยกฟ้องในข้อหาละเมิด

👉 สนใจปรึกษาทนายเรื่องคดีละเมิด? ติดต่อทนายผู้เชี่ยวชาญได้ที่นี่

หลักการในการพิจารณาของศาล

องค์ประกอบของการกระทำละเมิด (1).png

ศาลมีอำนาจและดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามพฤติการณ์แห่งคดี โดยพิจารณาพยานหลักฐานทั้งสำนวนอย่างเสรี (free evaluation of evidence) ว่าจะเชื่อเพียงใด โดยฝ่ายที่มี ภาระการพิสูจน์ ต้องนำสืบจนเป็นที่รับฟังได้ตามพยานหลักฐานและพฤติการณ์ 

การรับฟังพยานหลักฐานของศาลจเป็นไปตามหลักเกณฑ์

  • ความน่าเชื่อถือของพยาน
  • ความสอดคล้องของเรื่องเล่า
  • การมีพยานหลักฐานสนับสนุน
  • ความเป็นไปได้ในทางเหตุผล

อ่านเพิ่มเติม

ปกติถ้ารถชนกันโดยเราเป็นฝ่ายถูกจะเรียกร้องความเสียหายได้ไหมค่ะ — กระทู้กฎหมายเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าเสียหายในคดีอุบัติเหตุ และประเภทค่าเสียหายที่สามารถเรียกได้

การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เขียนโดยทนายความผู้เชี่ยวชาญ — บทความอธิบายช่องทางการเรียกร้องค่าเสียหายและภาระการพิสูจน์ในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา

สนใจปรึกษาทนายเรื่องคดีละเมิด? ติดต่อทนายผู้เชี่ยวชาญได้ที่นี่

อุทธรณ์คดีละเมิดมาตรา 420 ทำอย่างไรเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้อง?

การอุทธรณ์คดีละเมิด มาตรา 420 ควรเจาะจง “ประเด็นอุทธรณ์” ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยอธิบายว่าศาลชั้นต้นรับฟังและให้น้ำหนักพยานคลาดเคลื่อนอย่างไรและเหตุใดพยานของเราจึงน่าเชื่อกว่า

โดยหลักศาลอุทธรณ์พิจารณาจากสำนวนเดิม แต่ มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ หากเห็นว่าจำเป็นเพื่อความยุติธรรม หรือกรณีศาลชั้นต้นปฏิเสธพยานโดยไม่ชอบ ทั้งนี้ ขอบเขตการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ยึดตาม “ประเด็นที่ยกอุทธรณ์” และสิ่งที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้ 

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “