เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-28

"ละเมิด" vs "ผิดสัญญา" ต่างกันยังไง เลือกฟ้องแบบไหนดี?

ละเมิดกับผิดสัญญา

ในยุคปัจจุบัน การที่คนเราจะทำนิติกรรมประเภทสัญญาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นง่ายมาก เพราะการสื่อสารทำได้ง่ายและกว้างไกลมาก อย่างการซื้อของออนไลน์ก็เป็นการทำสัญญาเหมือนกัน และเมื่อมีปัญหา ละเมิด กับ ผิดสัญญา เป็นคำที่โผล่ขึ้นมาได้บ่อย และมักเป็นคำที่มักทำให้สับสนและใช้ผิดพลาดบ่อย เพราะมีความคล้ายกัน และหลายครั้งก็เกิดพร้อมกันได้

“ละเมิด” คืออะไร

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้อธิบายความหมายของคำว่า “ละเมิด” ไว้ในมาตรา 420 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” 

ซึ่งหมายความว่า การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แล้วการกระทำนั้นทำให้ผู้อื่นเสียหายจริง ๆ โดยผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะต่อร่างกาย สุขภาพอนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอะไรอย่างหนึ่งก็ได้ 

เช่น การขับรถชนผู้อื่นจนรถเขาพัง ถ้าตอนขับมีสติ ตั้งใจชน ก็คือจงใจ หรือขับเร็วเกินแล้วเบรคไม่ทัน ก็คือประมาท หรือต่อให้ไม่มีสติอย่างการเมา แต่ตัวเองเป็นคนทำให้ตัวเองเมา ก็ถือว่าประมาทเช่นกัน  ซึ่งผู้เสียหายสามารถเรียกค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดนี้ได้

“ผิดสัญญา” คืออะไร

การทำสัญญาที่จะเกิดการผิดสัญญาได้ คือการทำสัญญาอย่างน้อย 2 ฝ่าย โดยในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้มีบัญญัตินิยามของคำว่า “ผิดสัญญา” ไว้โดยเฉพาะ แต่คำนี้เป็นคำที่พบได้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยจะสื่อความหมายถึง การไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา 

เพราะในสัญญาจะมีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญา ว่าใครมีสิทธิอะไร หน้าที่อะไร เมื่อไม่ทำตามหน้าที่ก็จะผิดสัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย นาย ก ซื้อของจากนาย ข นัดวันกันไว้ พอถึงวันถ้านาย ก ไม่นำเงินมาจ่าย ถ้าไม่ได้ตกลงว่าผิดนัดแล้วเลิกสัญญาได้เลย นาย ข ก็มีสิทธิบอกให้นาย ก นำเงินมาชำระภายในเวลาที่กำหนด หากถึงเวลาแล้วยังไม่จ่ายก็ถือว่านาย ก ผิดสัญญา นาย ข บอกเลิกสัญญาได้ และอาจเรียกค่าเสียหายได้ด้วยหากพิสูจน์ได้ว่าการผิดสัญญาของนาย ก ทำให้เสียหาย

“ละเมิด” vs “ผิดสัญญา”

การทำละเมิดกับการผิดสัญญามีความแตกต่างกันหลายข้อ ดังนี้

การทำละเมิด 

จะต้องเกิดจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการผิดสัญญาเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ใช่ทุกกรณีจะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น การไม่มาจ่ายเงินตามที่นัดกันตามสัญญาซื้อขาย แม้จะผิดสัญญาแต่ก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่หากเป็นการเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าโดยเขาไม่ยินยอม และกำหนดไว้ว่าเก็บเป็นความลับ แบบนี้นอกจากผิดสัญญาที่ตกลงกัน แล้วยังผิดกฎหมายด้วย

การผิดสัญญา 

ทั้งสองฝ่ายต้องเป็นคู่สัญญากันก่อน และมีการตกลงข้อตกลงต่าง ๆ จึงจะสามารถเกิดการไม่ทำตามข้อตกลงในสัญญาจนเป็นการผิดสัญญา ส่วนการละเมิด ผู้ทำละเมิดกับผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องมีความผูกพันกันมาก่อนก็ได้ หรือจะมีก็ได้อย่างที่เคยยกตัวอย่างไปว่า การผิดสัญญาก็อาจเป็นการละเมิดได้ด้วย

ในเรื่องอายุความ 

อายุความฟ้องร้องละเมิด มีอายุ 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการทำละเมิดและผู้ที่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 

ส่วนอายุความการฟ้องผิดสัญญา ต้องดูเป็นรายกรณีไป โดยทั่วไปจะเป็น 10 ปี ตามมาตรา 193/30 แต่บางกรณีกฎหมายก็กำหนดให้สั้นกว่า เช่น ตามมาตรา 193/33(3) ค่าเช่าทรัพย์สินค้างชำระ ที่ไม่ใช่ค่าเช่าสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 193/34(6) มีอายุความ 5 ปี

วัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดเรื่องค่าเสียหาย

ในส่วนของการทำละเมิด กฎหมายกำหนดให้ชดใช้ค่าเสียหายตามความเสียหายจริง ทั้งส่วนที่คำนวณเป็นเงินได้ หรือจะส่วนที่คำนวณเป็นเงินไม่ได้ ถ้าเรื่องอยู่ที่ศาล ศาลก็จะกำหนดตามที่สมควร 

ส่วนค่าเสียหายจากการผิดสัญญา กฎหมายก็จะกำหนดให้ใช้ค่าเสียหายอุดความเสียหายที่เกิดจากการผิดสัญญาให้เสมือนว่าสัญญาได้ปฏิบัติตามปกติ ให้ใกล้เคียงที่สุด แต่ถ้ามีการกำหนดค่าเสียหายเมื่อผิดสัญญาไว้ล่วงหน้า เช่นเบี้ยปรับ หากเรื่องอยู่ที่ศาล ศาลก็อาจจะปรับลดลงหากที่กำหนดไว้สูงเกินสมควร(มาตรา 383)


เลือกฟ้องอย่างไรดี?

การจะตอบว่าฟ้องอะไรคุ้มกว่ากันได้ ต้องพิจารณาประเด็นหลายเรื่องประกอบกัน ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. เรื่องที่เป็นประเด็นในการจะฟ้อง

เราต้องพิจารณาก่อนว่า สิ่งที่เป็นประเด็นให้เราจะฟ้อง มันคือเรื่องอะไร เพราะไม่ใช่ทุกกรณีที่เรื่อง ๆ หนึ่งจะเป็นได้ทั้งละเมิดและผิดสัญญา เช่น การนำคอมพิวเตอร์ไปซ่อมกับช่าง ในกรณีที่ไม่ได้ตกลงกันว่าหากช่างทำชิ้นส่วนภายในเสียหายโดยความประมาทจะถือว่าผิดสัญญา กรณีที่ช่างประมาททำชิ้นส่วนภายในเสียหาย สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการทำละเมิดได้ แต่จะฟ้องประเด็นผิดสัญญาไม่ได้ แม้อาจจะดูเหมือนว่าผิดสัญญา 

ซึ่งหากทำผิดพลาดในลักษณะนี้ แม้จะยังไม่เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ชัดเจนว่า หากมีกรณีที่เข้าใจสิทธิของตนผิดว่ามี 2 สิทธิทางละเมิดและผิดสัญญา แต่เลือกมาฟ้องแค่เจริง ๆ แค่สิทธิเดียวโดยไม่มีสิทธิ จะถือว่าเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 เพราะเคยให้ศาลพิจารณาเรื่องเดิมอีกรอบหรือไม่ก็ตาม 

แต่เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยไว้ในแนวทางว่า การเคยฟ้องโดยอ้างว่าผิดสัญญาไปแล้ว แล้วมาฟ้องอีกรอบโดยอ้างเรื่องละเมิด ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้มาจากสัญญาจ้างทำของฉบับเดียวกัน ศาลจะถือว่าฟ้องรอบหลังเป็นฟ้องซ้ำ ซึ่งการเป็นฟ้องซ้ำ ทำให้ไม่สามารถนำเรื่องที่เคยฟ้องแล้ว มาฟ้องจำเลยคนเดิมได้อีกรอบ ตามคำพิพากษาศาลฎีกานี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5096/2550

โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้เรื่องจ้างทำของโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างและเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้โจทก์พิมพ์งาน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ 

คำโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้โดยบรรยายฟ้องในเรื่องมูลหนี้ที่เกิดจากการพิมพ์งานของโจทก์เช่นเดียวกับในคดีเดิม โดยบรรยายอีกว่าเป็นการว่าจ้างจากจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องเป็นเรื่องละเมิดก็เพียงเพื่อให้ความรับผิดของจำเลยทั้งสองอยู่ในรูปแบบของนายจ้างลูกจ้างเท่านั้น การกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 กรอกรายการในใบเสร็จรับเงินให้เป็นของบริษัท ด. เป็นการประทุษร้ายต่อสิทธิในการรับเงินค่าจ้างของโจทก์ก็มีผลเท่ากับโจทก์ยังคงกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างให้โจทก์พิมพ์งานเช่นในคดีเดิมจึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

2. พยานหลักฐานที่มี

ต่อจากประเด็นเรื่องเหตุที่จะใช้ในการฟ้อง ก็คือพยานหลักฐานที่มี เพราะในการฟ้องคดีแพ่ง ผู้ฟ้องมักเป็นผู้ที่ต้องพิสูจน์นำ ซึ่งเสมือนการโจมตีก่อน การเลือกว่าจะฟ้องฐานละเมิด หรือผิดสัญญา จึงต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่มีด้วย เพราะ ทั้งสองเรื่องนี้ พิสูจน์ไม่เหมือนกัน 

  • ในส่วนละเมิด พยานหลักฐานต้องเน้นไปถึงการกระทำที่เป็นละเมิด ทั้งตัวการกระทำ และเรื่องเจตนา ทั้งจงใจหรือประมาท และต้องพิสูจน์ว่าการกระทำนั้นเกี่ยวข้องกับความเสียหายโดยตรง 
  • ส่วนเรื่องผิดสัญญา พิสูจน์แค่ว่าเขาไม่ทำตามสัญญา

ดังนั้น หากมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน และเขาทำผิดจากที่ตกลงไว้ การฟ้องผิดสัญญาจะพิสูจน์ได้ง่ายกว่ามาก ๆ เพราะการฟ้องเรื่องละเมิด ในส่วนเรื่องการพิสูจน์ว่าเขาจงใจหรือประมาท เป็นเรื่องที่อยู่แค่ในใจผู้กระทำ การหาหลักฐานเพื่อชี้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจย่อมทำยากกว่ามาก

3. ค่าเสียหายที่ต้องการเรียก

ต่อจากเรื่องพยานหลักฐาน คือเรื่องค่าเสียหายที่ต้องการเรียก หากต้องการเรียกค่าเสียหายทางใจ หรือชื่อเสียงต้องฟ้องผ่านละเมิด เพราะผิดสัญญา เรียกได้แค่พวกค่าเสียหายทางทรัพย์ที่มาจากการผิดสัญญา และในทางเดียวกัน ถ้าจะเรียกค่าเสียหายทางทรัพย์ ฟ้องเรื่องผิดสัญญาจะเรียกได้ง่ายกว่าละเมิด เพราะมีตัวสัญญาเป็นฐานอยู่แล้ว

ซึ่งจากที่กล่าวมา การฟ้องให้ตรงจุด จะง่ายต่อการชนะคดีและได้ค่าเสียหายตามที่ต้องการ ดังนั้น การจะฟ้องละเมิด ผิดสัญญา หรือรวมกัน เราต้องพิจารณาจากสิ่งที่เราต้องการเรียก

  • หากจะเรียกแค่ค่าเสียหายทางทรัพย์ ถ้าฟ้องเรื่องผิดสัญญาได้ ฟ้องผิดสัญญาจะง่ายกว่า ฟ้องละเมิด 
  • หากจะเรียกค่าเสียหายทางใจ หรือเสียชื่อเสียง ต้องฟ้องละเมิด เพราะฟ้องผิดสัญญาเรียกค่าเสียหาย พวกนี้ไม่ได้ 

แต่หากต้องการเรียกทั้งสองเรื่อง ฟ้องรวมทั้งสองเรื่องก็ได้ แต่หากไม่สามารถฟ้องผิดสัญญาได้ ฟ้องแค่ละเมิดก็อาจเรียกค่าเสียหายได้ทั้ง 2 ฐานเหมือนฟ้องรวม

4. อายุความ

ส่วนสุดท้าย เป็นส่วนที่ต้องระวังที่สุด แม้การฟ้องคดีที่หมดอายุความ กฎหมายไม่ห้ามฟ้อง สามารถฟ้องและบังคับได้ แต่ผู้ถูกฟ้องหากพิสูจน์ได้ว่าผู้ฟ้อง เอาเรื่องที่หมดอายุความมาฟ้อง ศาลก็จะตัดสินให้ผู้ฟ้องแพ้เลย ดังนั้น ผู้ฟ้อง ต้องตรวจสอบให้ดีว่าเรื่องที่จะฟ้อง มีเรื่องไหนหมดอายุความไปแล้วหรือไม่ เพราะหากพลาดฟ้องผิด จะไม่ได้อะไรเลย

ในท้ายนี้

การเลือกฟ้องว่าแบบไหนคุ้มกว่า ต้องเลือกจากความพร้อมด้านพยานหลักฐาน และสภาพของเรื่องราวว่าเอื้อให้ฟ้องไปทางไหน ฟ้องให้ตรงฐานเป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งตรง ยิ่งเร็วและคุ้ม ประหยัดเวลาและได้ใช้สิทธิ การศึกษาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเป็นสิ่งที่ควรทำ และหากไม่มั่นใจ การเลือกจะปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีครับ

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “