คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2518
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 162, 167
การที่จะเป็นความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น มิใช่ว่าเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วก็เกิดเป็นความผิดเสมอไปกรณีจะต้องปรากฏด้วยว่าเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้น จำเลยได้ออกด้วยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คด้วยเจตนาดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คหรือวันออกเช็คจำเลยเป็นเจ้าหนี้ธนาคารอยู่เป็นจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายซึ่งถือไม่ได้ว่าจำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น เช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด(อ้างฎีกาที่ 259/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 215, 572
ข้อสัญญาว่าผู้เช่าซื้อต้องรับผิดแม้ในเหตุสุดวิสัยหมายความรวมถึงรถยนต์ที่เช่าซื้อถูกลักไปด้วยศาลกำหนดให้ผู้เช่าซื้อใช้ราคารถตามที่กำหนดในสัญญาหักด้วยเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1884/2518
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 46
นายทะเบียนการค้าวินิจฉัยว่าเครื่องหมาย "LEVIE" ของโจทก์คล้าย "LEVI'S" ของจำเลย โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าและจำเลยไม่ฟ้องศาล คำวินิจฉัยของคณะกรรมการว่าเครื่องหมายของโจทก์คล้ายของจำเลยฯจึงเป็นที่สุด โจทก์ฟ้องคดีอีกไม่ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีอาญาว่าเครื่องหมาย LEVIE ของโจทก์ไม่เลียนเครื่องหมาย LEVI'S ของจำเลยก็ตาม ไม่ทำให้สิทธิขอจดทะเบียนการค้ากระทบกระเทือน เพราะเป็นการวินิจฉัยคนละทางกัน ข้อเท็จจริงในคดีอาญาว่าโจทก์ไม่ได้เลียนเครื่องหมายการค้าเป็นคนละเรื่องกับโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าหรือไม่ คณะกรรมการวินิจฉัยเครื่องหมายเฉพาะตัวหนังสือถือว่าคณะกรรมการมีเจตนาไม่สุจริตไม่ได้วิธีการวินิจฉัยมีอย่างไรเป็นสิทธิของคณะกรรมการโดยเฉพาะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1863/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1304, 1367
ที่ชายตลิ่งน้ำทะเลท่วมถึง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จะมีใครใช้ร่วมด้วยหรือไม่ ไม่ทำให้ผู้ใช้มีสิทธิครอบครองเปลี่ยนสภาพที่ดินไป ที่ดินเหนือขึ้นไปเป็นป่าโกงกางทหารญี่ปุ่นถมเป็นตอนขึ้น ผู้ที่เข้าครอบครองโดยพลการฝ่าฝืนกฎหมายที่ดินก่อน ประมวลกฎหมายที่ดิน การแจ้งครอบครองไม่ทำให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่ ไม่เป็นการครอบครองโดยชอบ จังหวัดผู้มีหน้าที่ดูแลที่พิพาทฟ้องขับไล่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1862/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 172, 655, 856
ธนาคารเจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ยทบต้นจากลูกหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคสองนั้นจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ว่าเป็นการคิดกันตามประเพณีการค้าขายในเมื่อมีบัญชีเดินสะพัดต่อกันเท่านั้น และกิจการในสัญญาบัญชีเดินสะพัดเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ เมื่อลูกหนี้ตาย สัญญาบัญชีเดินสะพัดย่อมต้องระงับสิ้นสุดลงหลังจากลูกหนี้ตายแล้ว เจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปหาได้ไม่ ถึงแม้ต่อมาผู้จัดการมรดกของลูกหนี้ผู้ตายได้ทำหนังสือรับต่อธนาคารเจ้าหนี้ว่า ลูกหนี้เป็นหนี้ธนาคารจริง ยอมให้คิดดอกเบี้ยกันตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเดิมของลูกหนี้ก็ตาม ก็หามีผลทำให้ธนาคารเจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ไม่ เพราะขัดกับมาตรา 655 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1882/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 4, 164, 226 ประมวลรัษฎากร
คำสั่งตามมติคณะรัฐมนตรีในสมัยปฏิวัติ ไม่ใช่คำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติ จึงไม่ใช่กฎหมายที่จะลบล้างประมวลรัษฎากรที่ให้ตรวจสอบภาษีค้างจ่ายได้
เจ้าพนักงานประเมินเรียกไต่สวนได้ตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 23 และแจ้งจำนวนภาษีค้างได้ภายใน 10 ปี ตาม มาตรา 24 เมื่อมีอุทธรณ์ต่อไปโดยชำระภาษีแล้ว และโจทก์ฟ้องคดีนี้คัดค้านการประเมินไม่เกิน 10 ปี ตั้งแต่วันเรียกให้โจทก์ชำระภาษี สิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรไม่ขาดอายุความ
ขายที่ดินและทรัพย์อื่นที่ได้รับมรดกมา นำเงินไปซื้อที่ดินมาจัดสรร ไม่ใช่ช่วงทรัพย์ตาม มาตรา 226 วรรค 2
ขายที่ดินจัดสรรเป็นการค้าไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ แม้จะขายที่ดิน โดยมิใช่การค้าก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดไว้โดยอนุมัติรัฐมนตรี มิฉะนั้นไม่ได้รับยกเว้นตาม มาตรา 42(9)
ผู้มีเงินได้ยื่นประเมินแล้วเจ้าพนักงานเรียกไต่สวนได้ภายใน 5 ปีนับแต่วันยื่นรายการตาม มาตรา 19 กรณีที่ไม่ได้ยื่นประเมินเจ้าพนักงานเรียกมาไต่สวนได้ตาม มาตรา 23,24 ไม่อยู่ในบังคับ 5 ปีนั้น
ค่าใช้จ่ายหักได้ในการขายสิ่งอุปโภค ฯลฯ และสิ่งอื่นนอกจากที่ระบุไว้ร้อยละ 95 ตามพระราชกฤษฎีกา พ.ศ.2496 มาตรา 3(32)นั้น "สิ่ง" หมายความถึงสังหาริมทรัพย์ตามพจนานุกรม ไม่หมายถึงที่ดิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 224
คดีฟ้องขับไล่จากที่ดินและอาคารที่เช่าเดือนละ 300 บาทเรียกค่าเสียหาย 1,180 บาท และต่อไปเดือนละ 1,000 บาท จำเลยต่อสู้ว่าสามีโจทก์ตกลงให้เช่า 20 ปีและชำระค่าก่อสร้าง จำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ฉบับที่ 5 พ.ศ.2499 มาตรา 15 ที่ใช้อยู่ในเวลายื่นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 538
ทำสัญญาเช่าตึกแถววันเดียวกัน 2 ฉบับ ฉบับละ 3 ปีสัญญาเช่าฉบับหลังลงวันหลังจากฉบับแรก 3 ปี โดยผู้ให้เช่ารับเงินกินเปล่า 90,000 บาท แต่ไม่จดทะเบียน ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งไปกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เมื่อครบ 3 ปีตามสัญญาฉบับแรก ผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าแล้ว ผู้เช่าไม่มีสิทธิอยู่ในห้องเช่าต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1879/2518
ประมวลรัษฎากร ม. 12 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 287, 290
บทบัญญัติมาตรา 12 ประมวลรัษฎากร เป็นกฎหมายพิเศษให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานที่จะเรียกเก็บภาษีอากรค้างได้โดยสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินได้เอง โดยไม่จำต้องนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาล จึงถือได้ว่าเป็นสิทธิอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย ซึ่งบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่กระทบกระทั่งถึง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 287 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อกฎหมายให้อำนาจไว้ถึงขนาดนี้แล้ว แม้ผู้ร้อง (เจ้าพนักงานซึ่งเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีอากรค้าง) จะมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ก็มีสิทธิที่จะขอเข้าเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1864/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1356, 1357, 1630, 1634, 1639, 1754 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 172
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของอ.เจ้ามรดกตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้อง โดยเมื่อ อ.วายชนม์ที่พิพาทตกได้แก่ย.บุตรของ อ.ยวายชนม์มรดกส่วนของย.ตกได้แก่ค.ยายของโจทก์ค.วายชนม์ ตกได้แก่ช.และตกได้แก่โจทก์เมื่อช.มารดาโจทก์วายชนม์ โจทก์ครอบครองที่พิพาทตลอดมาเช่นเดียวกันกับจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ อ.สาย ล.บุตรของ อ.อีกคนหนึ่ง เพียงสองคนเท่านั้น ไม่มีทายาทอื่นเกี่ยวข้อง จึงฟ้องขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่ง ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกโดยอาศัยสิทธิรับมรดกสืบทอดมาจาก ย.ทวดของโจทก์ซึ่งมีการรับมรดกของอ.เป็นทอดๆ กันมาตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
แม้ย.จะวายชนม์ก่อนอ.ก็ตามเมื่อย.บุตรอ.เจ้ามรดกมีผู้สืบสันดานคือ ค. ค.จึงเป็นผู้รับมรดกอ.แทนที่ย.บิดา และมีการรับมรดกสืบต่อมาจนถึงโจทก์บุตรของ ช.ซึ่งเป็นบุตรของค. โจทก์จึงเป็นทายาทมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากกองมรดกของ อ.เจ้ามรดก และมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ อ.ร่วมกับจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ อ. เจ้ามรดกตลอดมา แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความ มาตรา 1754 ก็ดี โจทก์ก็มีสิทธิขอแบ่งที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ อ.ได้
โจทก์ครอบครองทรัพย์มรดกของ อ. เจ้ามรดกร่วมกับจำเลย โดยทายาทอื่นๆ ของ อ.ที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวและโต้แย้ง ถือได้ว่าโจทก์จำเลยครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของรวมกัน โจทก์จึงมีสิทธิขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่งได้ในฐานะกรรมสิทธิ์รวม
ทายาทอื่นๆ ของ อ.ต่างเป็นพยานเบิกความว่าได้ออกจากที่พิพาทไป 40 ปีแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ไม่ขอรับส่วนแบ่งในที่พิพาท ส่วนทายาทอื่น ๆ ที่อยู่ในที่พิพาทก็เป็นบุตรจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลย บ้างอยู่โดยอาศัยสิทธิของ ช.มารดาโจทก์ ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวด้วย ดังนี้จึงถือได้ว่าทายาทอื่นๆ ของ อ.ต่างไม่มีสิทธิในที่พิพาทคือโจทก์จำเลยสองคนเท่านั้น โจทก์จึงย่อมมีสิทธิแบ่งครึ่งได้ หาได้เกินสิทธิที่โจทก์ควรจะได้รับไม่