คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509
ฟ้องบรรยายว่าจำเลยมีบุหรี่ซิกาแรตไว้ในครอบครองมีผลเท่ากับระบุว่าจำเลยมียาสูบตาม พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509 มาตรา 4 แล้วและมิต้องบรรยายถึงข้อยกเว้นว่าเป็นของผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งอาจได้รับการยกเว้นฟ้องดังนี้ไม่ขาดองค์ประกอบความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2518
ประมวลรัษฎากร ม. 118 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 680 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 86
แม้โจทก์จะเป็นกรมในรัฐบาล ก็ไม่มีกฎหมายให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ในหนังสือสัญญาค้ำประกัน หนังสือสัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างไม่ติดอากรแสตมป์ ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 โจทก์จึงบังคับจำเลยให้ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 216/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 150 พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 ม. 37, 41, 44
โจทก์ยื่นเรื่องราวขอรับเงินบำนาญพิเศษของบิดาโจทก์ผู้ตายในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบของกองทัพบกจำเลยซึ่งเป็นเจ้าสังกัด ยังไม่ได้ส่งไปยังกระทรวงการคลัง ทางการเจ้าหน้าที่ของกองทัพบกจำเลยสั่งว่า โจทก์มิใช่ทายาทของบิดาโจทก์ ไม่มีสิทธิรับบำนาญพิเศษถือได้ว่าทางการกองทัพบกจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องกองทัพบกจำเลยได้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษารับรองสิทธิของโจทก์ว่าเป็นทายาท มีสิทธิรับเงินบำเหน็จพิเศษของบิดาโจทก์ผู้ตายโดยมิได้เรียกร้องเป็นจำนวนเงินเท่าใด เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ใช่คดีที่มีทุนทรัพย์
บุตรนอกกฎหมายที่บิดาผู้ตายได้รับรองแล้ว และศาลได้พิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายไม่มีสิทธิรับบำนาญพิเศษตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 653
จำเลยทำหนังสือกู้เงินและค้ำประกันให้โจทก์เพื่อเป็นประกันการที่จำเลยให้โจทก์ค้ำประกันการที่จำเลยกู้เงิน น. ดังนี้เป็นสัญญาที่ไม่สมบูรณ์ไม่มีมูลหนี้ต่อกันโจทก์ฟ้องบังคับคดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1304, 1377 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495 ม. 40
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทโดยโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 นำป้ายไปปักในที่ดินของโจทก์ และอ้างว่าเป็นที่สาธารณะตะกาดวังหินของจำเลยที่ 1 ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยการครอบครอง ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง ดังนี้ จึงเห็นได้ว่าโจทก์เป็นผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาท แต่เมื่อถูกจำเลยรบกวนสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ยึดถือครอบครองอยู่ และจำเลยก็ได้แย้งสิทธิในทรัพย์พิพาทว่าเป็นที่สาธารณะ ถือว่าโจทก์จำเลยมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นในทรัพย์นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทได้ หาใช่เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท โดยโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องไม่
แม้โจทก์ไม่ได้แจ้งการครอบครองที่พิพาทภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดซึ่งตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ.2497 มาตรา 5 บัญญัติให้ถือว่าโจทก์มีเจตนาสละสิทธิครอบครองก็ดี ก็เป็นเรื่องของรัฐที่จะว่ากล่าวกับผู้ยึดถือครอบครองที่ดินนั้นเอง แต่คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะเทศบาลตำบลชะอำ และจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวที่เข้ามารบกวนสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ยึดถือครอบครองอยู่ โจทก์หาได้พิพาทกับรัฐโดยตรงไม่และเมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ถ้าไม่เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินจำเลยก็ไม่มีสิทธิเข้าไปเกี่ยวข้องหรือถ้าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันก็อาจอยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอ เป็นผู้ดูแลจัดการคุ้มครองป้องกันก็ได้ หาใช่อำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเทศบาลตำบลไม่ ดังนั้น ศาลจะพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 157, 161, 162, 310 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 107, 108, 114 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญา ฟ้องผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นจำเลยโดยกล่าวหาว่าจำเลยแกล้งหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ โดยข่มขืนใจให้ ส. แก้ราคาหลักทรัพย์ของ ย. ผู้ขอประกันตัวโจทก์จากราคา 120,000 บาทให้เหลือเพียง 60,000 บาทจนไม่พอประกันกับแกล้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตไม่ยอมตีราคาหลักทรัพย์ของผู้ขอประกันเมื่อ 9 นาฬิกา จนเมื่อเวลาศาลจะปิดทำการแล้วจึงแจ้งแก่โจทก์ว่าหลักทรัพย์ไม่พอ ทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสไปหาหลักทรัพย์มาเพิ่มได้ทันทำให้โจทก์ถูกขังต่อมา แต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยผู้ทำหน้าที่ศาลได้ตรวจดูหลักประกันตามบัญชีทรัพย์ที่ผู้ขอประกันยื่นมานั้นว่าจะเชื่อถือได้เพียงใดหรือไม่แล้วเห็นว่าตีราคาสูงกว่าราคาที่แท้จริงมากนักซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลเห็นว่าผู้ประกันไม่ควรตีราคาหลักประกันให้สูงผิดความจริงไปมากอันจะทำให้ศาลสิ้นความเชื่อถือจึงได้แก้ไขเสียให้ใกล้เคียงกับราคาจริงหากจะต้องเสียเวลาไปบ้าง ก็เป็นการกระทำที่อยู่ในการใช้ดุลพินิจภายในขอบอำนาจของผู้พิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเมื่อข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องก็ไม่มีข้อที่จะแสดงว่าจำเลยกระทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นแต่อย่างใด ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยแกล้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง การกระทำของจำเลยดังที่โจทก์ฟ้องจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 310 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษที่ศาลยกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องจึงชอบแล้ว
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนใจให้ ส. แก้ราคาหลักทรัพย์ในบัญชีทรัพย์ที่ ย. ยื่นขอประกันจำเลย บัญชีทรัพย์นี้จึงเป็นเอกสารซึ่งผู้ขอประกันทำยื่นต่อศาลหาใช่เอกสารซึ่งจำเลยมีหน้าที่ทำไม่และจำเลยมิได้รับรองเป็นหลักฐานหรือละเว้นไม่จดข้อความอันใดลงในเอกสารนั้นจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามมาตรา 161 และ 162
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 24, 28, 55, 84, 142 (5) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1712
โจทก์ฟ้องว่า ผ. เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์กำลังจัดการมรดกอยู่เมื่อ ผ. ยังมีชีวิตอยู่นั้นจำเลยได้ฉ้อฉล ผ. ให้ ผ. ยกที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมยกให้นั้นจำเลยให้การปฏิเสธพินัยกรรมท้ายฟ้องและว่าถ้า ผ. ได้ทำพินัยกรรมนั้นจริงก็ถูกเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลังแล้วโจทก์มิได้เป็นทายาทและผู้จัดการมรดก ผ.ยกทรัพย์ดังกล่าวให้จำเลยโดยชอบด้วยใจสมัคร และโจทก์ขอให้ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดกตามคดีดำที่ 6368/2516 ซึ่งยังพิพาทกันอยู่ยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1712 เจ้ามรดกมีสิทธิที่ตั้งผู้จัดการมรดกได้แต่เรื่องนี้ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ว่า พินัยกรรมที่โจทก์อ้างจะเป็นพินัยกรรมที่ถูกต้องแท้จริงหรือไม่เจ้ามรดกได้ระบุไว้ในพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกจริงหรือไม่โจทก์มีข้อเสื่อมเสียประการใดและมีพินัยกรรมฉบับหลังเพิกถอนการตั้งผู้จัดการมรดกที่โจทก์อ้างหรือไม่ เหล่านี้เป็นข้อที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงกันต่อไปเพื่อที่จะได้ทราบชัดว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ แม้ว่าศาลจะมีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้เองแต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีศาลก็ควรจะได้ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ถ่องแท้เสียก่อนจึงจะวินิจฉัยได้ แม้คดีหมายเลขดำที่ 6268/2516 นั้นคณะผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาเป็นคณะเดียวกับคดีนี้ แต่ก็เป็นคนละคดีกันและมิได้รวมพิจารณาจะนำข้อเท็จจริงในคดีหนึ่งมาใช้กับอีกคดีหนึ่งหาได้ไม่เมื่อโจทก์มิได้แถลงรับในข้อนี้ก็จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 360
จำเลยล้อมรั้วที่ดินตาม น.ส.3 ของจำเลยรุกล้ำลำห้วยสาธารณะกั้นเอาบ่อน้ำสาธารณะมาเป็นของตน ทำให้ประชาชนเข้าไปใช้น้ำในบ่อไม่ได้ โดยมีเจตนาจะเอาบ่อน้ำนั้นไว้ใช้เป็นส่วนตัว มิได้มุ่งหมายหรือมีเจตนาโดยตรงที่จะทำให้บ่อน้ำนั้นเสียหายหรือไร้ประโยชน์ และบ่อน้ำคงมีสภาพเป็นบ่อน้ำอยู่ตามเดิม ไม่ได้ถูกทำให้ไร้ประโยชน์ไปอย่างใด ดังนี้ การล้อมรั้วกั้นเอาบ่อน้ำไว้จึงเป็นการห่างไกลเกินความประสงค์ของจำเลยในเรื่องทำให้บ่อน้ำนั้นเสียหายหรือไร้ประโยชน์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 360
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 535/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 453 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 172
ฟ้องให้จำเลยชำระเงินค่าซื้อสินค้า บรรยายแต่วันเดือนปีและจำนวนเงินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ซื้อสินค้าของโจทก์ไปมิได้ระบุว่าสินค้าต่างๆ ที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อจากโจทก์นั้นเป็นสินค้าอะไรบ้างกล่าวแต่เพียงว่า สินค้าต่างๆ โจทก์จะได้เสนอหลักฐานในชั้นพิจารณาทั้งมิได้แนบรายการสินค้ามาท้ายฟ้อง ตามหนังสือทวงถามก็มิได้แนบรายการสินค้าให้เช่นเดียวกัน โจทก์เป็นบริษัทจำกัด ก็มิได้กล่าวไว้ว่ามีวัตถุประสงค์ทำการค้าสินค้าอะไร ซึ่งถ้ามีกล่าวไว้ ก็พอจะให้จำเลยเข้าใจได้ว่าสินค้าต่างๆ ที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อจากโจทก์หมายถึงสินค้าต่างๆ ที่บริษัทโจทก์ทำการค้า ดังนี้ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มิได้แสดงรายการละเอียดว่าเป็นสินค้าอะไรบ้าง อย่างไหน จำนวนและราคาเท่าใดอันเป็นสารสำคัญซึ่งพอจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มิได้แสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และขาดข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1727
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกผู้ร้องคัดค้านฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ไม่มีความประสงค์จะเป็นผู้จัดการมรดกคดีนี้ต่อไปเพราะได้ตกลงกับผู้ร้องคัดค้านเรียบร้อยแล้ว ขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก และขอถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ร้องคัดค้านไม่คัดค้านคำร้องนี้ ศาลฎีกาสั่งคำร้องนี้ว่า ไม่มีคำฟ้องชั้นฎีกาที่จะถอนเพราะผู้ร้องไม่ได้ฎีกาและจะขอถอนคำร้องขอจัดการมรดกนั้นก็ไม่ได้เพราะศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาไปแล้ว เมื่อคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวนี้ผู้ร้องยังได้ร้องขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้อีกด้วย อันแสดงว่าผู้ร้องไม่ประสงค์จะทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกต่อไปและขอถอนตนจากตำแหน่งผู้จัดการมรดกศาลฎีกาย่อมมีอำนาจสั่งคำขอนี้ได้ด้วย เมื่อรับฟังได้ตามที่อ้างในคำร้อง กรณีก็มีเหตุอันสมควรศาลฎีกาย่อมอนุญาตให้ผู้ร้องลาออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 วรรคสอง และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกาของผู้ร้องคัดค้านที่ฎีกามาว่า ผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกนั้นอีกศาลฎีกาย่อมมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสีย