คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1150/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 340, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ม. ,
ข้อความของบทบัญญัติมาตรา 340 ตรีแห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเพิ่มเติมโดยข้อ 15 ของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 นั้นแสดงความมุ่งหมายที่จะลงโทษให้หนักขึ้นเฉพาะตัวผู้ซึ่งต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษนี้เท่านั้น มิใช่ว่าผู้ที่ร่วมกระทำการชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์รายเดียวกันจะต้องระวางโทษหนักขึ้นเช่นนี้ทุกคนเสมอไปจำเลยที่ 1 ที่ 3 กับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ ขณะทำการปล้น จำเลยที่ 3 ได้ใช้อาวุธปืนยิงขู่ด้วย จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดตามมาตรา 340 ตรี ต้องระวางโทษหนักกว่าโทษตามมาตรา 340 วรรคสี่อีกกึ่งหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นไม่ปรากฏว่าเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนด้วยจึงมีความผิดตามมาตรา 340วรรคสี่เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 259, 314 (1)
ศาลชั้นต้นสั่งอายัดเงินค่าโอนสิทธิการเช่าซึ่งผู้ร้องจะต้องชำระแก่จำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านต่อมาผู้ร้องแถลงต่อศาลว่าเงินค่าโอนสิทธิการเช่าตามที่โจทก์ขออายัดนั้นผู้ร้องและจำเลยตกลงเลิกการเช่าต่อกันจำเลยไม่ติดใจเรียกร้องเงินดังกล่าวจากผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่อยู่ในฐานะลูกหนี้จำเลยที่จะต้องปฏิบัติตามหมายอายัดต่อไปดังนี้ ตามคำแถลงของผู้ร้องเป็นเรื่องที่จำเลยกับผู้ร้องได้กระทำกันภายหลังจากที่ศาลได้สั่งอายัดเงินโอนสิทธิการเช่าแล้ว หาอาจใช้ยันโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 259 ประกอบด้วยมาตรา 314(1) เมื่อผู้ร้องรับว่าจะนำเงินมาวางศาลภายใน 1 เดือน แต่ไม่นำมาวางภายในกำหนด โจทก์ก็ย่อมขอให้ผู้ร้องนำเงินดังกล่าวมาชำระตามคำสั่งอายัดของศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 2, 7, 16, 67, 302
การบังคับคดีแก่ทรัพย์ซึ่งอยู่นอกเขตสาลนั้น ศาลชั้นต้นที่ชี้ขาดตัดสินจะทำการบังคับคดีเอากับทรัพย์นั้น ๆ ไม่ได้ จักต้องตั้งศาลชั้นต้นที่ทรัพย์นั้นอยู่ในเขตศาลให้ดำเนินการบังคับดคีแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 16 ประกอบกับมาตรา 302 วรรคท้าย เมือ่ได้ตั้งศาลชั้นต้นใดให้ดำเนินการบังคับคดีแทนแล้ว ศาลชั้นต้นที่ตั้งศาลอื่นก็ยังมีอำนาจหน้าที่เกี่ยบวกับการบังคับคดีต่อไปจนเสร็จสิ้น โดนจะให้ศาลชั้นต้นที่ทำการบังคับคดีแทนทำการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดแล้วส่งเงินที่ได้จากการขายทรัพย์นั้นไป หรือเพียงแต่มอบให้ยึดทรัพย์ไว้โดยจะทำการขายทอดตลาดเสียเองก็ย่อมทำได้
การที่จำเลยยื่นฎีกาโดยใช้แบบพิมพ์คำร้อง เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกาขึ้นมา โดยมิได้สั่งให้ทำใหม่เสียให้ถูกต้อง ก็อนุโลมให้ถือว่าเป็นฎีกาที่สั่งรับไว้แล้วโดยชอบ ไม่จำเป็นต้องสั่งย้อนให้จำเลยทำใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085 - 1088/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (4), 28 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 918, 989 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3
จำเลยออกเช็ค 4 ฉบับ สั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือนำมาแลกเงินสดไปจากโจทก์โจทก์ได้รับแล้วเอาเช็คเหล่านั้นชำระหนี้ให้แก่ อ. และ ล.เมื่อถึงกำหนดสั่งจ่ายบุคคลทั้งสองเอาเช็คเข้าบัญชีของตน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจึงเอาเช็คมาคืนให้โจทก์และโจทก์ได้ชำระเงินให้บุคคลทั้งสองไป ดังนี้ เช็คทั้ง 4 ฉบับเป็นเช็คที่ออกให้แก่ผู้ถือย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน อ. และ ส. ได้รับเช็คทั้ง 4 ฉบับไว้จากโจทก์เป็นการชำระหนี้ อ. และ ล. จึงเป็นผู้ถือนับว่าเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯเกิดเป็นความผิดขึ้นในวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งในวันนั้น อ. และ ล. จึงเป็นผู้เสียหายไม่ใช่โจทก์แม้เช็คทั้ง 4 ฉบับได้กลับมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ภายหลังที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ก็เป็นผู้ถือหรือเป็นผู้ทรงภายหลังความผิดได้เกิดขึ้นแล้วการที่โจทก์จ่ายเงินชำระหนี้ให้ อ. และ ล. ไปจะถือเป็นการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 4 ฉบับหาได้ไม่ จึงถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯไม่ได้(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2518
พระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 ม. 8 (2), 17,
จำเลยทราบประกาศคณะกรรมการกลางป้องกันการค้ากำไรเกินควร ให้ผู้ขายปลีกสุกรชำแหละติดป้ายแสดงราคาไว้โดยเปิดเผย ณ สถานที่ขาย และกำหนดราคาขายปลีกห้ามมิให้ขายเกินกว่าราคาสูงสุดที่กำหนดไว้ คือ ห้ามขายเนื้อแดงเกินกิโลกรัมละ 24 บาทเนื้อสามชั้นกิโลกรัมละ 15 บาท มันแข็งและมันเปลวเกินกิโลกรัมละ 14 บาท จำเลยได้ปิดป้ายไว้โดยเปิดเผยในสถานที่ขายแสดงราคาขายเนื้อแดงกิโลกรัมละ 20 บาท เนื้อสามชั้นกิโลกรัมละ 13 บาทมันแข็งมันเปลวกิโลกรัมละ 12 บาท อันเป็นป้ายแสดงราคาเก่าซึ่งใช้มา 1 ปีเศษแล้ว ตั้งแต่ครั้งที่ทางราชการกำหนดราคาสูงสุดไว้ตามนั้นไม่เปลี่ยนแปลงป้ายตามราคาสูงสุดที่ทางราชการกำหนดใหม่ ดังนี้ ป้ายแสดงราคาขายนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นป้ายแสดงราคาสูงสุดที่ทางการกำหนดไว้ให้ขายได้ เพียงแต่เป็นป้ายแสดงราคาที่จะต้องขายตามราคาที่ปรากฏอยู่ในป้ายที่ปิดแสดงไว้เท่านั้น ก็ถือได้ว่าได้ปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวแล้ว ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 มาตรา 8(2),17
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 537, 538
ป. และจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับพวกรวม 8 คน เข้าหุ้นส่วนทำการขายอาหารในภัตตาคารน.โดยเช่าภัตตาคาร น. มาจากบริษัท น.ต่อมาผู้เป็นหุ้นส่วนดังกล่าวได้ก่อตั้งบริษัทโจทก์ขึ้นโดย ป. กับจำเลยที่2 ที่ 3เป็นผู้เริ่มก่อการในการประชุมตั้งบริษัทโจทก์ครั้งแรกที่ประชุมได้มีมติให้ถือเอาสัญญาเช่าที่ ป. และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้เริ่มก่อการทำไว้กับบริษัท น. เป็นสัญญาเช่าที่ผูกพันบริษัทโจทก์และต่อมาเมื่อจำเลยที่ 1กับพวกเข้าแย่งดำเนินกิจการภัตตาคาร น. บริษัท น. ก็ได้แจ้งให้บริษัทโจทก์ทราบว่าการบุกรุกและยึดกิจการภัตตาคาร น. เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เท่านั้นไม่เกี่ยวกับบริษัท น. ให้บริษัทโจทก์เข้าดำเนินกิจการภัตตาคารต่อไปดุจเดิม ข้อเท็จจริงเป็นดังนี้ จึงน่าเชื่อว่าบริษัทโจทก์เข้าครอบครองภัตตาคาร น. โดยสวมสิทธิการเช่าจากห้างหุ้นส่วนผู้เช่าเดิมบริษัทโจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองและเรียกค่าเสียหายได้ แม้โจทก์จะไม่มีหนังสือสัญญาเช่ากับบริษัท น. ต่อกันไว้ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลย เพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาเช่าภัตตาคาร น. แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 138, 148
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงรับว่าโจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 24 หมู่ที่ 12 ตำบลเมือง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย มาครั้งหนึ่งตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 74/2515 ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี และมาฟ้องคดีนี้เพื่อให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือ น.ส.3 เลขที่ 224 หมู่ที่ 12 ตำบลเมืองอำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย แล้วคู่ความต่างแถลงไม่สืบพยานโดยท้ากันขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ ดังนี้ คำแถลงรับของคู่ความดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริงอย่างใดที่จะให้ฟังว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คดีของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ย่อมชนะคดีตามคำท้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 164, 165, 172, 587
เมื่อ พ.ศ.2495 ย. สามีของจำเลยทำหนังสือจ้างโจทก์ให้ยกร่องสวนในที่ดินของ ย. ให้เสร็จภายใน 3 ปี และปลูกมะพร้าวกับคอยดูแล 5 ปี แล้วจะยกที่ดินตอนเหนือให้โจทก์ 3 ไร่ทำสัญญากันแล้วโจทก์ปลูกกระต๊อบอยู่ในที่ดินที่ตกลงกันไว้นี้ตลอดมา โจทก์ได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาแล้วเมื่อ พ.ศ.2499 ย. ได้ขอออกโฉนดที่ดินแปลงนี้ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2507 ย. ได้ขอแบ่งแยกที่ดินด้านเหนือออกเป็นอีกโฉนดหนึ่งต่างหากมีเนื้อที่ 3 ไร่ เป็นการแสดงเจตนาว่าจะแบ่งแยกให้โจทก์ตามสัญญา การที่โจทก์อยู่ในที่ดินแปลงที่ตกลงกันนี้ตลอดมาโดย ย. ไม่ทักท้วงและไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนนี้นับแต่ครบกำหนดตามสัญญาทั้งยังได้ขอแบ่งแยกที่ดินเป็นอีกโฉนดหนึ่งต่างหากมีเนื้อที่ 3 ไร่ ตรงตามสัญญาเป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตลอดมา อันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 จนเมื่อก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ราว 5 เดือน ย. ถึงแก่ความตายและจำเลยผู้เป็นทายาทปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นจึงสิ้นสุดลง อายุความเริ่มนับใหม่ตั้งแต่นั้น ไม่ว่าจะเป็นอายุความ 10 ปี หรือ 2 ปี คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความในการฟ้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 49 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 4 (2)
โจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยา มีภูมิลำเนาอยู่อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร แต่ไปติดต่อค้าขายซื้อสินค้าจาก ผ. ที่จังหวัดแพร่ ในการไปซื้อสินค้านี้โจทก์พักอยู่ที่บ้าน ผ. บางครั้งจำเลยที่ 1ไปพักด้วย ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีชู้และแยกกันอยู่ โดยจำเลยที่ 1 กลับไปอยู่ที่บ้านเดิมที่อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร แต่คงไปมาเกี่ยวกับการค้าที่จังหวัดแพร่ โดยพักค้างที่จังหวัดแพร่ โดยพักค้างที่บ้านญาติของโจทก์บ้าง ที่บ้าน ว. บ้าง ดังนี้แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 หาได้มีเจตนาที่จะถือเอาบ้านที่พักอยู่ที่จังหวัดแพร่เป็นถิ่นที่อยู่ไม่
โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลที่พิจารณาคดีโดยมิได้ขออนุญาตฟ้องต่อศาลนั้นไม่ได้
โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยโดยระบุตามคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลที่พิจารณาคดี เมื่อจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาล โดยอ้างว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตศาล ดังนี้ การที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนเสร็จสำนวน โดยมีคำสั่งคำร้องขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นว่าจะได้ชี้ขาดในปัญหาดังกล่าวในคำพิพากษาจึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีแต่ประการใดหากแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่แห่งใดซึ่งจะต้องฟังพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นกระแสความก่อนมีคำสั่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 428, 432
จำเลยทั้งสามกับ จ.จ้างเหมาให้ ฮ.สร้างตึกแถวให้คนละห้อง โดยต่างคนต่างจ้างและแยกกันทำสัญญาคนละฉบับ ฮ.ตอกเสาเข็มเพื่อก่อสร้างตึกแถวดังกล่าว ทำให้ตึกของโจทก์ซึ่งอยู่ในที่ข้างเคียงสั่นสะเทือนและแตกร้าวเมื่อจำเลยเป็นผู้เลือกหาผู้รับจ้าง และการก่อสร้างก็ต้องเป็นไปตามการงานที่จำเลยสั่งให้ทำตามข้อบังคับในสัญญาจ้าง จำเลยจึงต้องรับผิดเพื่อความเสียหายนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้อง จ. ด้วย ศาลย่อมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดเพียง 3 ใน 4 ของจำนวนค่าเสียหาย