คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6427/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195 วรรคสอง, 225 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ม. 27 ทวิ, 104 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 ม. 246 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 104 เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจลงโทษผู้กระทำผิดให้ใช้เบี้ยปรับนอกจากโทษจำคุกในทางอาญาอีกก็ได้ แต่คดีนี้เป็นการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษค่าปรับในทางอาญาตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการกำหนดเบี้ยปรับ ทั้งตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ภายหลังก็มีระวางโทษไม่ได้เป็นคุณแก่จำเลย เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องแล้ว ศาลจึงไม่อาจกำหนดโทษปรับให้ต่ำกว่าบทบัญญัติในมาตรา 27 ทวิ หรือเทียบเคียงกับเกณฑ์การเปรียบเทียบและงดการฟ้องร้องได้
คำว่า "อากร" ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ หมายถึง ค่าอากรในทางศุลกากรเท่านั้น หาหมายรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นภาษีอากรฝ่ายสรรพากร ภาษีสรรพสามิต และภาษีเพื่อมหาดไทยด้วยไม่ เมื่อคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์ รถยนต์ 2 คัน ของกลางมีราคา 94,842.89 บาท 237,503.06 บาท และมีค่าอากรขาเข้า 75,874.31 บาท 190,002.45 บาท ตามลำดับ รวมราคาของกับค่าอากรเข้าด้วยกันเป็นเงินเพียง 598,222.71 บาท เท่านั้น มิใช่จำนวนตามที่โจทก์อ้าง เมื่อลงโทษปรับสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรแล้วเป็นเงิน 2,392,890.84 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษปรับในความผิดฐานนี้มานั้นไม่ถูกต้อง ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6391/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 150 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 292, 293 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 ม. 14 พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 22, 24, 145
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือกระทำการที่จำเป็นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นไปตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 (1) และลูกหนี้ต้องห้ามมิให้กระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษทรัพย์ ผู้จัดการทรัพย์ หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 24 จำเลยทำสัญญาขายอาคารสำนักงานและอาคารโรงงานซึ่งผู้คัดค้านยึดไว้ในคดีล้มละลาย โดยมิใช่การกระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้จัดการทรัพย์ หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ ย่อมเป็นนิติกรรมอันมีวัตถุที่ประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เป็นหน้าที่ของผู้คัดค้านที่ต้องติดตามเอาทรัพย์สินนั้นคืนเพื่อบังคับคดีล้มละลายต่อไป มิใช่สั่งถอนการยึดอันจะทำให้อำนาจในการจัดการทรัพย์สินนั้นหลุดไปจากผู้คัดค้าน ทั้งไม่ใช่กรณีที่จะถอนการยึดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 292 และมาตรา 293 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 ผู้คัดค้านสั่งถอนการยึดอาคารสำนักงานและอาคารโรงงาน โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมเจ้าหนี้จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 145 (1) คำสั่งถอนการยึดดังกล่าวไม่มีผล อาคารสำนักงานและอาคารโรงงานยังคงเป็นทรัพย์ที่ผู้คัดค้านยึดไว้ในคดีล้มละลาย ผู้คัดค้านมีหน้าที่เรียกร้องให้คืนหรือใช้ราคารวมทั้งค่าเสียหายอันเป็นการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายซึ่งอาจได้รับการชดใช้ราคาพร้อมค่าเสียหายหรือได้ทรัพย์สินอื่นแทนในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกัน
การที่ผู้ร้องขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านถอนการยึดสิ่งปลูกสร้างที่ถูกรื้อถอน โดยยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขาย บ่งชี้ถึงเจตนาของผู้ร้องประสงค์ให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขาย เมื่อคดีไม่ปรากฏว่าผู้ร้องกระทำการใดอันเป็นเหตุให้การขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านยึดไว้ไม่อาจกระทำได้ การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายครึ่งหนึ่งของค่าธรรมเนียมที่คำนวณได้จากอัตราร้อยละ 2 ของราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างที่ยึด ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6190/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 288, 289 (4) (5) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195 วรรคสอง, 225
การกระทำของจำเลยมีการคิดตระเตรียมการไว้ล่วงหน้าหรือไม่ย่อมต้องอาศัยมูลเหตุจูงใจในการกระทำความผิดของจำเลยโดยพิเคราะห์จากพฤติการณ์แห่งคดีและพยานแวดล้อมทั้งก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุประกอบกัน ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยพกพาอาวุธมีดมายังที่เกิดเหตุด้วยยังไม่อาจรับฟังอย่างแน่ชัดว่าจำเลยมีการคิดหรือตระเตรียมการวางแผนที่จะฆ่าผู้ตายมาก่อน นอกจากนี้โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานอย่างอื่นที่แสดงให้เห็นว่าระหว่างจำเลยและผู้ตายมีข้อขัดแย้งอื่น ๆ ที่มีความรุนแรงถึงขนาดที่จะทำให้จำเลยต้องคิดวางแผนฆ่าผู้ตาย การที่จำเลยใช้อาวุธมีดพกติดตัวอยู่เป็นประจำแทงทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยกะทันหันโดยไม่ได้มีการคิดไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 298 (4)
การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายผู้ตายเป็นการกระทำโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย อันจะเป็นความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 289 (5) หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
การกระทำโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย ป.อ. มิได้บัญญัติหรือให้นิยามถึงการกระทำดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ การวินิจฉัยถึงการกระทำดังกล่าวจึงต้องวินิจฉัยตามมาตรฐานความรู้สึกของวิญญูชนทั่วไป ซึ่งการฆ่าโดยทรมานหมายถึงการฆ่าโดยกระทำที่มิได้ทำให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายในทันที แต่ทำให้ได้รับความลำบากจนตายลงในที่สุด ส่วนการฆ่าโดยกระทำทารุณโหดร้ายหมายถึงการฆ่าโดยวิธีที่ดุร้ายยิ่งกว่าการกระทำให้ตายโดยทั่ว ๆ ไป ผู้ถูกฆ่าอาจตายในทันทีโดยไม่ได้รับความลำบากเลยก็ได้ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดเดือยไก่ ซึ่งมีลักษณะปลายแหลมเรียวโค้ง ความยาวประมาณ 1 คืบ กว้างประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ ส่วนด้ามความยาว 3 นิ้ว ซึ่งถือเป็นอาวุธมีดที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แทงไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างผู้ตาย เป็นการฆ่าโดยใช้อาวุธตามปกติธรรมดา ไม่ถือเป็นการฆ่าโดยวิธีที่ดุร้ายยิ่งกว่าการกระทำให้ตายโดยทั่ว ๆ ไป และขณะจำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายย่อมต้องปัดป้องต่อสู้ จำเลยจึงแทงผู้ตายหลายครั้งเพื่อให้การกระทำบรรลุผล ไม่ใช่เจตนาให้ผู้ตายได้รับความเจ็บปวดและทรมานจากบาดแผล การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6187/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 92, 93 (13) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (6)
โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนที่ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไว้ชัดเจนแล้วว่า ก่อนคดีนี้ จำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แล้วกลับมากระทำความผิดในคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดที่ได้จำแนกไว้ในอนุมาตราเดียวกันตาม ป.อ. มาตรา 93 (13) ซ้ำอีกภายในเวลาสามปีนับแต่วันพ้นโทษ และมีคำขอท้ายฟ้องขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดในคดีนี้ด้วย ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอเพิ่มโทษ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้อง ศาลต้องเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 93 (13) ตามฟ้อง แม้โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องระบุ ป.อ. มาตรา 92 มาก็เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นเพียงการระบุเลขมาตราคลาดเคลื่อนเท่านั้น ประการสำคัญที่สุด บทบัญญัติในเรื่องเพิ่มโทษผู้กระทำผิด ไม่ใช่เป็นมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำอย่างใดเป็นความผิด จึงไม่อยู่ในบังคับ ป.วิ.อ. มาตรา 158 (6) ที่จำต้องบรรยายมาในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6064/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 32 วรรคสอง, 34, 1463
ป.พ.พ. มาตรา 34 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้…ฯลฯ …" จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถนั้น มีความสามารถที่จะทำนิติกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในมาตรา 34 วรรคหนึ่ง ได้เอง โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ เพราะเป็นเพียงผู้หย่อนความสามารถเฉพาะการทำนิติกรรมต่าง ๆ ซึ่งระบุว่าต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนเท่านั้น จึงจะมีความสามารถทำได้ เมื่อศาลสั่งให้ ส. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ความพิทักษ์ของจำเลย แม้ผู้พิทักษ์จะมิใช่เป็นผู้แทนของคนเสมือนไร้ความสามารถ ดังเช่นในกรณีของคนไร้ความสามารถที่ต้องให้ผู้อนุบาลกระทำการแทนก็ตาม แต่การที่ ส. เป็นผู้ป่วยติดเตียงย่อมไม่สามารถไปจัดการเงินในบัญชีเงินฝากดังกล่าวได้ด้วยตนเอง ย่อมเป็นหน้าที่ของจำเลยในฐานะเป็นผู้พิทักษ์ตามคำสั่งศาลต้องดำเนินการ การเปลี่ยนเงื่อนไขการเบิกเงินในบัญชีของ ส. เป็นการจัดการทรัพย์สินทั่วไปเพื่อนำเงินมาใช้ในการดูแลรักษาพยาบาล ส.
แม้โจทก์เป็นบุตรมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบิดาก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้พิทักษ์ตามคำสั่งศาลจึงไม่มีอำนาจจัดการการทำนิติกรรมของ ส. หาก ส. อยู่ในการดูแลของโจทก์ที่จังหวัดระยอง อาจเกิดความไม่สะดวกหรือมีข้อขัดข้องที่จำเลยจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ตามหน้าที่ของผู้พิทักษ์ ประกอบกับโจทก์และสามีโจทก์ต่างมีภาระหน้าที่จากการประกอบอาชีพและเลี้ยงดูบุตร โจทก์จึงมิได้ดูแล ส. บิดาโจทก์ด้วยตนเอง แต่นำเงินที่ถอนจากบัญชีเงินฝากของ ส. ไปว่าจ้างบุคคลอื่นให้มาดูแล ต่างกับจำเลยที่เป็นภริยาอยู่ดูแลกันมาตลอดนานร่วม 20 ปี และไม่ได้ประกอบอาชีพที่ต้องทำเป็นประจำ ย่อมมีเวลาดูแล ส. ได้อย่างใกล้ชิด อันจะเป็นประโยชน์กับ ส. ยิ่งกว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ส่งมอบตัว ส. ให้อยู่ในความพิทักษ์ของจำเลย จึงมิได้เป็นการขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5954/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 95/1 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 7
โจทก์เบิกความยืนยันว่า ภริยาโจทก์นำสัญญาเงินกู้ พร้อมต้นฉบับโฉนดที่ดิน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยมามอบให้ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องในการกู้ยืมเงิน แม้โจทก์ไม่นำ น. พยานในสัญญาเงินกู้มาเบิกความ เนื่องจาก น. เป็นลูกหนี้เงินกู้ยืมและยังไม่ได้ชำระหนี้คืนโจทก์เช่นเดียวกันจึงไม่ถือเป็นข้อพิรุธของโจทก์ ที่จำเลยอ้างว่าโฉนดที่ดินของจำเลยสูญหายโดยไม่ทราบสาเหตุเป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ โดยปราศจากเหตุผล และเป็นเรื่องง่ายที่จำเลยจะกล่าวอ้างเช่นนั้น และที่จำเลยไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า โฉนดที่ดินสูญหายก็เป็นช่วงเวลาหลังจากที่จำเลยทราบแล้วว่าโฉนดที่ดินอยู่กับโจทก์ ทั้งโจทก์ยังได้ทวงถามเงินกู้ยืมจากจำเลยด้วย ซึ่งจำเลยก็เบิกความยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าว ส่วนที่จำเลยอ้างข้อความในแอปพลิเคชันไลน์ ที่เป็นการพูดคุยระหว่าง ท. กับ น. ทำนองว่าเอกสารเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอม เมื่อจำเลยไม่ได้นำ ท. และ น. มาเป็นพยาน ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า โดยหลักแล้วต้องห้ามไม่ให้รับฟังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 95/1 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ทั้งไม่เข้าข้อยกเว้นให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าสัญญาเงินกู้มิใช่เอกสารปลอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5732/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 700
พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 มีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบวิสาหกิจเป็นสำคัญ และมาตรา 3 ให้ความหมายของคำว่า "ผู้ประกอบวิสาหกิจ" หมายความว่า ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และคำว่า "วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม" หมายความว่าวิสาหกิจที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกินห้าร้อยล้านบาทและไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด นอกจากนี้ ในหมวด 2 การชะลอการชำระหนี้ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้สถาบันการเงินชะลอการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ประกอบวิสาหกิจที่มีวงเงินสินเชื่อแต่ละแห่งไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทหรือลูกหนี้อื่นได้ และวรรคสองบัญญัติว่า การชะลอการชำระหนี้มิให้ถือว่าเจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้ชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลธรรมดาที่เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้น ไม่ปรากฏอยู่ในฐานะเป็นผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามความหมายดังกล่าว แม้คำว่า"ลูกหนี้อื่น" ตามมาตรา 15 วรรคแรกตอนท้าย ไม่ระบุว่าเป็นลูกหนี้ประเภทใด แต่มิอาจแปลได้ว่าหมายความรวมถึงลูกหนี้เช่าซื้อซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาทั่วไป กรณีจึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่ง พ.ร.ก. ฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 1 ได้ เมื่อโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ยอมขยายระยะเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 อันเป็นการผ่อนเวลาชำระหนี้นี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 700 วรรคหนึ่ง โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันตกลงด้วยในการผ่อนเวลา จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นจากความรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 218 วรรคหนึ่ง, 221
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) (3) (5) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 เป็นจำคุก 1 ปี 12 เดือน และลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 93 (13) เป็นจำคุก 1 ปี 5 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 13 เดือน 15 วัน และให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษตาม ป.อ. มาตรา 41 (8) การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ในเรื่องการเพิ่มโทษจำเลย จากเดิมที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 เป็นเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 93 (13) โดยมิได้แก้บทมาตราแห่งความผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นการแก้เฉพาะเรื่องโทษ แม้จะให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ตาม ป.อ. มาตรา 41 (8) แต่การกักกันไม่ใช่โทษตาม ป.อ. มาตรา 18 จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดเดิมไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยขอให้ลงโทษจำเลยสถานเบาเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว เว้นแต่ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือ ลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือรับรองในฎีกาว่า มีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอาญาทั่วไปมิได้มีบทบัญญัติให้การฎีกาจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา การฎีกาจึงอยู่ในบังคับตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 216 และมาตรา 221 ที่กำหนดให้จำเลยต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือ ทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีนี้ปรากฏว่าจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยมิได้ยื่นเป็นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลล่างทั้งสองดังกล่าวอนุญาตให้ฎีกา คำร้องขออนุญาตฎีกาของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 221 แห่งกฎหมายข้างต้น จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1336 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี พ.ศ. 2561
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี พ.ศ. 2561 ข้อ 11 เป็นเพียงเครื่องมือที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีวางไว้เพื่อใช้บริหารราชการเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันให้สามารถยุติได้โดยไม่จำต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล มิใช่เป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือการจำกัดสิทธิในการฟ้องคดีของหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากไม่มีข้อใดของระเบียบที่กำหนดห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐฟ้องร้องกันเองไว้ ระเบียบข้อ 11 และข้อ 12 ถือเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการที่วางไว้เพื่อเป็นช่องทางเลือกให้หน่วยงานของรัฐสามารถที่จะแจ้งข้อเรียกร้องไปยังหน่วยงานของรัฐด้วยกันเพื่อให้รับผิดในทางปกครองหรือทางแพ่งแทนการฟ้องคดี หากอีกฝ่ายยอมรับผิดและชำระค่าเสียหายตามที่เรียกร้องก็จะทำให้ข้อพิพาทนั้นยุติได้โดยไม่ต้องมีการฟ้องคดีเท่านั้น มิใช่เป็นบทบังคับเด็ดขาดที่ให้หน่วยงานของรัฐต้องกระทำในทุกกรณี การละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวจึงหาเป็นเหตุทำให้หน่วยงานของรัฐนั้นหมดสิทธิฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐด้วยกันในทางแพ่งไม่ เพราะเมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้เสมอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 เมื่อตามคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินพิพาทและจำเลยโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินในกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน จึงชอบที่โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเพื่อใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 และ ป.วิ.พ. มาตรา 55
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5668/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 วรรคหนึ่ง, 240 (2)
อุทธรณ์ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งถึงข้อโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ด้วยเหตุผลใด และที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นประเด็นในการวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นการคัดลอกคำให้การของจำเลยทั้งสามมาเกือบทั้งสิ้น มิได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไว้โดยชัดแจ้งดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอันจะพึงรับไว้พิจารณา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ทั้งการที่ศาลอุทธรณ์จะดำเนินกระบวนพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 240 (2) นั้น อุทธรณ์ดังกล่าวต้องเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายเสียก่อน


