ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่าได้ทำสัญญาเป็นหนังสือจ้างจำเลยทำนาของโจทก์มิได้กำหนดเวลาจ้างไว้ ต่อมาจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งข้าวให้โจทก์ โจทก์ได้บอกเลิกสัญญา แต่จำเลยยังไม่ยอมออกไปจากนาของโจทก์ จึงขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าได้เช่านาของโจทก์โดยตกลงด้วยวาจาโจทก์บังคับและหลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาจ้างทำนา จึงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่าสัญญาจ้างทำนาทำกันไว้ในลักษณะนิติกรรมอำพรางโจทก์จำเลยคงปฏิบัติต่อกันในลักษณะเป็นสัญญาเช่านา สัญญาจ้างทำนาจึงไม่มีผลบังคับ จำเลยไม่ผิดสัญญาเช่านา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า สัญญาจ้างทำนาเป็นนิติกรรมอำพรางการเช่านาแต่การเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัย 2 ข้อ คือ 1. สัญญาเช่านาที่ถูกอำพรางโดยสัญญาจ้างทำนาจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่ และ 2. จะถือเอาหลักฐานสัญญาจ้างทำนาเป็นหลักฐานการเช่านาได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า 1. สัญญาเช่านาที่ถูกอำพรางโดยสัญญาจ้างทำนา ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มิฉะนั้นไม่มีผลบังคับ 2. จะถือเอาหลักฐานสัญญาจ้างทำนาเป็นหลักฐานการเช่านาไม่ได้ ฉะนั้น การเช่านาพิพาทจึงจะบังคับคดีกันมิได้ เมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองทราบแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิอยู่ในนาของโจทก์ต่อไป การอยู่ต่อมาของจำเลยจึงเป็นละเมิด
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ขับไล่จำเลยและให้ใช้ค่าเสียหาย
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา







