ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 31, 61, 70, 75, 76 และ 78 ให้ของกลางจำนวน 5,500 ชิ้น ที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์และสั่งจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง คืนของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นอุทธรณ์รับฟังว่า บริษัทแฮสโบร อิงค์. จำกัด ผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์งานศิลปประยุกต์ โดยการนำเอางานจิตรกรรมมาดัดแปลงเป็นงาน 2 มิติ และ 3 มิติ ใช้ประยุกต์กับวัสดุเครื่องใช้และนำมาใช้ประโยชน์ทางการค้าเป็นรูปภาพการ์ตูนชุดทรานฟอร์มเมอร์ส ซึ่งประกอบด้วยตัวการ์ตูนใช้ชื่อว่า ดีเซ็ปติคอนส์ บัมเบิลบี ออฟติมัส ไพรม ทรานฟอร์มเมอร์ส เจ้าพนักงานตำรวจนำหมายค้นของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 25/103 หมู่ที่ 6 ตำบลกระทุ่มล้ม อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ของจำเลยและยึดได้สินค้าจำนวน 4 รายการ รวมเป็นของกลางจำนวน 5,500 ชิ้น จำเลยเป็นกรรมการบริษัทและผู้จัดการทั่วไปในบริษัทวีอาร์ทอย จำกัด ของกลางเป็นสินค้าที่ผลิตที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีการสั่งเข้ามาเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบพยานหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ครบองค์ประกอบของความผิดฐานดังกล่าวและให้มีน้ำหนักและเหตุผลรับฟังได้โดยปราศจากเหตุอันควรสงสัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดที่โจทก์ฟ้องจริง จึงจะลงโทษจำเลยสำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานศิลปประยุกต์รูปการ์ตูนหุ่นยนต์ดีเซ็ปติคอนส์ รูปหุ่นยนต์บัมเบิลบี รูปหุ่นยนต์ออฟติมัส ไพรม และรูปหุ่นยนต์ทรานฟอร์มเมอร์สของผู้เสียหาย โดยจำเลยนำเอากล่องบรรจุสินค้าของเล่นหุ่นยนต์ที่มีรูปหุ่นยนต์ดีเซ็ปติคอนส์จำนวน 24 ชิ้น กล่องบรรจุสินค้าของเล่นหุ่นยนต์ที่มีรูปหุ่นยนต์บัมเบิลบีจำนวน 132 ชิ้น กล่องบรรจุสินค้าของเล่นหุ่นยนต์และของเล่นหุ่นยนต์ที่มีรูปหุ่นยนต์ออฟติมัส ไพรมจำนวน 14 ชิ้น และกล่องบรรจุสินค้าของเล่นหุ่นยนต์ที่มีรูปหุ่นยนต์ทรานฟอร์มเมอร์สจำนวน 5,330 ชิ้น ของกลางซึ่งมีผู้ทำซ้ำและดัดแปลงขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายออกขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นกระทำเพื่อแสวงหากำไรในทางการค้า โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าสินค้าที่มีรูปการ์ตูนหุ่นยนต์เป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) ดังนี้ โจทก์จึงต้องนำสืบพยานหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) ให้มีน้ำหนักและเหตุผลรับฟังได้โดยปราศจากเหตุอันควรสงสัยรวม 5 ประการ ได้แก่ ประการที่ 1 ข้อเท็จจริงที่ว่ากล่องบรรจุสินค้าของเล่นหุ่นยนต์ของกลางจำนวน 24 ชิ้น มีรูปหุ่นยนต์ดีเซ็ปติคอนส์ จำนวน 132 ชิ้น มีรูปหุ่นยนต์บัมเบิลบี จำนวน 14 ชิ้น มีรูปหุ่นยนต์ออฟติมัส ไพรม และจำนวน 5,330 ชิ้น มีรูปหุ่นยนต์ทรานฟอร์มเมอร์สซึ่งมีผู้ทำซ้ำและดัดแปลงขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย ประการที่ 2 ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าสินค้าที่มีรูปหุ่นยนต์เป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย ประการที่ 3 ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้ขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขายแก่บุคคลทั่วไปซึ่งสินค้าของเล่นหุ่นยนต์ที่บรรจุอยู่ในกล่องของกลางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย ประการที่ 4 ข้อเท็จจริงที่ว่าการกระทำของจำเลยในประการที่ 3 เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อหากำไรและประการที่ 5 ข้อเท็จจริงที่ว่าการกระทำของจำเลยในประการที่ 3 และที่ 4 เป็นการกระทำโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อการค้า… โจทก์มีนางสาวมะลิวรรณมาเบิกความเป็นพยานโจทก์เพียงปากเดียวเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในรูปการ์ตูนของผู้เสียหาย โดยนางสาวมะลิวรรณ ผู้รับมอบอำนาจช่วงผู้เสียหายเบิกความลอย ๆ เพียงว่า พยานพบว่ามีสินค้าที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์รายการที่ 1 มีรูปหุ่นยนต์ดีเซ็ปติคอนส์ที่กระดาษบรรจุภัณฑ์จำนวน 4 ตำแหน่ง รายการที่ 2 มีรูปการ์ตูนบัมเบิลบี รูปการ์ตูน "Skids & Mudflap" และรูปการ์ตูนออฟติมัส ไพรม อยู่บนแผงกระดาษติดสินค้า จำนวน 132 ชิ้น หรือ 132 แผง รายการที่ 3 มีรูปการ์ตูนออฟติมัส ไพรม ติดอยู่ที่แผง จำนวน 14 ชิ้น หรือ 14 แผง และรายการที่ 4 มีรูปการ์ตูนออฟติมัส ไพรม บัมเบิลบี และเมกะทรอนบนบรรจุภัณฑ์ จำนวน 5,330 ชิ้น พยานจึงแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจที่ร่วมตรวจค้นว่า วัตถุพยานมีงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวจำเลยมาดำเนินคดีพร้อมยึดวัตถุพยานเป็นของกลาง โดยไม่ปรากฏจากคำเบิกความของนางสาวมะลิวรรณว่า รูปการ์ตูนหุ่นยนต์ที่ปรากฏอยู่บนกล่องสินค้าของกลางเป็นงานที่ทำซ้ำและดัดแปลงขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายเพราะเหตุใด รูปการ์ตูนแตกต่างจากรูปการ์ตูนอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายอย่างไร นางสาวมะลิวรรณเคยเห็นรูปการ์ตูนอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายหรือไม่ก็ไม่ปรากฏ ทั้งไม่ปรากฏว่านางสาวมะลิวรรณได้นำวัตถุพยานของกลางไปตรวจสอบกับรูปการ์ตูนซึ่งเป็นงานศิลปกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายว่า รูปการ์ตูนได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในรูปการ์ตูนของผู้เสียหายด้วยการทำซ้ำหรือดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายอย่างไร นอกจากนี้นางสาวมะลิวรรณพยานโจทก์เป็นเพียงพนักงานบริษัทเวอริเซ็ค จำกัด ซึ่งประกอบกิจการดูแลการละเมิดลิขสิทธิ์ให้แก่ผู้เสียหาย ทั้งโจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าวัตถุพยานของกลางมีงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานศิลปกรรมรูปการ์ตูนของผู้เสียหาย พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักและเหตุผลให้รับฟังได้โดยปราศจากเหตุอันควรสงสัยว่า วัตถุพยาน มีรูปการ์ตูนที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานศิลปกรรมรูปการ์ตูนของผู้เสียหาย อันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) ที่โจทก์ฟ้อง ส่วนที่พยานโจทก์ไม่ว่าจะเป็นนางสาวมะลิวรรณ พันตำรวจโทยุทธนาและพันตำรวจตรีมนตรีเบิกความว่า เมื่อมีการจับกุมจำเลย จำเลยให้การรับว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายเฉพาะของกลางรายการที่ 1 ถึงที่ 3 แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของกลางรายการที่ 4 ตามบันทึกการตรวจค้นจับกุม นั้น เห็นว่า ถ้อยคำของจำเลยผู้ถูกจับในส่วนที่เกี่ยวกับของกลางรายการที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นถ้อยคำรับสารภาพของผู้ถูกจับว่าตนได้กระทำความผิด จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานและไม่อาจนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) ดังที่โจทก์ฟ้อง ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบมาตรา 26 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคท้าย ประกอบกับในชั้นสอบสวนจำเลยปฏิเสธว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งหมดไม่มีน้ำหนักและเหตุผลพอให้รับฟังว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ทก.(อ)115/2557
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









