สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2522

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2522

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 62

จำเลยเป็นข้าราชการบำนาญได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิการบดีรับเงินสมนาคุณจากงบประมาณแผ่นดินประเภทค่าทดแทนจำเลยซื้อที่ดินในนามของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในฐานะผู้รับมอบอำนาจจาก ป. ภรรยาจำเลยร่วมกัน แล้วจำเลยดำเนินการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมส่วนของ ป. อยู่ติดชายทะเลไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะจำเลยจึงดำเนินการจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ที่ดินของ ป. ใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะเช่นนี้ จำเลยอาจเข้าใจผิดคิดว่าน่าจะทำได้ เพื่อจะได้ไม่ยุ่งยากภายหลังในพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยน่าจะเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยทำได้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดอาญา ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา152

เนื้อหาฉบับเต็ม

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2502 มาตรา 8จำคุก จำเลย 1 ปี จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นข้าราชการบำนาญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยพลเอก ประภาส จารุเสถียร (ยศขณะนั้น) เป็นอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ได้รับเงินสมนาคุณจากงบประมาณแผ่นดินในประเภทเงินค่าตอบแทน เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการบริหารราชการ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2509 พลเอกประภาส จารุเสถียรได้มีคำสั่งมอบฉันทะให้จำเลยเป็นผู้ลงนามแทนในงานเกี่ยวกับการเงิน การสัญญาการทำสัญญาการติดต่อทั่วไป ดังเอกสารหมาย ป.1 ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน 2511จำเลยในนามของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนางประยงค์ศรี วานิชวัฒนา ภรรยาจำเลย ได้ซื้อที่ดินตราจองเลขที่ 884 ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน (ปราณบุรี) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน76 ตารางวา หนึ่งแปลง ส่วนที่เป็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซื้อไว้เพื่อตั้งศูนย์วิจัยสัตว์ทะเล ในวันซื้อที่ดินนั้น จำเลยในนามของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนางประยงค์ศรี วานิชวัฒนา ได้ยื่นคำขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินดังกล่าวออกตามส่วนต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยนางประยงค์ศรี วานิชวัฒนา ได้ที่ดินทางด้านทิศเหนือ ทางทิศตะวันออกติดหาดทรายชายทะเล เนื้อที่ประมาณ 400 ตารางวา ส่วนที่ดินที่เหลือเป็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จดทะเบียนภารจำยอมให้ที่ดินของนางประยงค์ศรี วานิชวัฒนา ใช้ที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้ แต่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขัดข้อง โดยให้รอแบ่งแยกที่ดินและสร้างโฉนดใหม่เสียก่อน ต่อมาเดือนมีนาคม 2512 นายกสภามหาวิทยาลัยได้มีคำสั่งแต่งตั้งนายแถบ นีละนิธิ เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แทนพลเอกประภาส จารุเสถียร ซึ่งลาออก และแต่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายบริหารปฏิบัติหน้าที่เช่นที่เคยได้รับมอบหมายไว้ ดังเอกสารหมาย ป.2 เมื่อเดือนมิถุนายน 2512 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายแถบ นีละนิธิ เป็นอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังเอกสารหมาย ป.3 และนายกสภามหาวิทยาลัยได้แต่งตั้งจำเลยเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ดังเอกสารหมาย ป.4 ในการที่จำเลยได้รับแต่งตั้งดังกล่าว นายแถบ นีละนิธิ ไม่ได้มอบหมายให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ แทนดังที่เคยได้รับมอบหมายมาแต่ก่อนต่อมาวันที่ 7 กรกฎาคม 2512 เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้จดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินตราจองเลขที่ 884 ออก เป็นของนางประยงค์ศรี วานิชวัฒนา ตามตราจอง เลขที่ 3308 เนื้อที่ 3 งาน 97ตารางวา เป็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามตราจองเลขที่ 884 เดิมเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา ต่อมาเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2513 ในสมัยที่นายแถบ นีละนิธิ เป็นอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำเลยได้ไปจัดการจดทะเบียนภารจำยอมให้ที่ดินตราจองเลขที่ 884 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตกอยู่ในบังคับภารจำยอมเป็นทางเดินผ่านเข้าออกที่ดินตราจองเลขที่ 3308ของนางประยงค์ศรี วานิชวัฒนา โดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งเอกสารหมาย ป.1และในเดือนกันยายน 2513 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเดินขบวนเรียกร้องให้ทำการสอบสวนโดยสงสัยว่าจะมีการทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์สินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในสมัยพลเอก ประภาส จารุเสถียร เป็นอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายกสภามหาวิทยาลัยได้สั่งให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร และนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งตั้งกรรมการทำการสอบสวนจำเลย ต่อมานายแถบ นีละนิธิ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมตำรวจแจ้งความดำเนินคดีอาญาจำเลย กับมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนภารจำยอม และเรื่องอยู่ในระหว่างดำเนินการของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

โจทก์นำสืบว่า การที่จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมดังกล่าว ทำให้รัฐและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับความเสียหาย

จำเลยนำสืบว่า ในวันที่จำเลยซื้อที่ดินตามตราจองเลขที่ 884 เดิมนั้นจำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนภารจำยอม เพราะพลเอกประภาสจารุเสถียร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอนุญาตให้จำเลยทำได้ ต่อมาเมื่อแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวแล้ว จำเลยไปขอจดทะเบียนภารจำยอมโดยจำเลยเข้าใจว่ามีอำนาจกระทำได้ และภารจำยอมนี้อาจสิ้นไปหรือถูกเพิกถอนได้ตามกฎหมาย

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในการซื้อที่ดินตามตราจองเลขที่ 884ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน (ปราณบุรี) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์นี้ จำเลยได้รับมอบให้ซื้อในนามของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนางประยงค์ศรี วานิชวัฒนา ร่วมกัน เมื่อจำเลยซื้อแล้วก็ได้ดำเนินการยื่นคำขอเพื่อแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินดังกล่าวออกตามส่วน โดยที่ดินส่วนของนางประยงค์ศรี วานิชวัฒนา ได้ทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกติดหาดทรายชายทะเล ส่วนที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ถัดออกมา ที่ดินส่วนของนางประยงค์ศรี วานิชวัฒนา ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ จำเลยจึงได้ยื่นขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จดทะเบียนภารจำยอมให้ที่ดินของนางประยงค์ศรี วานิชวัฒนาใช้ที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะตามที่จำเลยใช้อำนาจไปเช่นนั้น จำเลยอาจเข้าใจผิดคิดว่าน่าจะทำได้ ทั้งนี้ เพื่อนางประยงค์ศรีวานิชวัฒนา จะได้มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ ซึ่งจะไม่เป็นการยุ่งยากภายหลัง และจำเลยได้กระทำไปโดยเปิดเผย ณ สถานที่ทำงานของทางราชการ มิได้ปกปิดหรือแอบแฝงกระทำแต่อย่างไร นอกจากนี้ยังได้ความตามที่โจทก์นำสืบอีกว่า จำเลยได้นำหลักฐานต่าง ๆ มามอบให้คณะกรรมการที่ทำการสอบสวนจำเลย และจำเลยให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการด้วยดี ตามคำเบิกความของนายเกษม สุวรรณกุลพยานโจทก์ก็รับว่าการซื้อที่ดินแปลงนี้จำเลยได้ปรึกษาที่ประชุมคณบดีแล้ว และนายแถบ นีละนิธิ พยานโจทก์ ซึ่งเป็นอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็เบิกความว่า การจดทะเบียนภารจำยอมไม่มีระเบียบวางไว้ ทั้งตลอดเวลาที่พยานรับราชการร่วมกับจำเลยมา ไม่เคยปรากฏว่าจำเลยมีพฤติการณ์ทุจริตในหน้าที่ราชการเลยพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าจำเลยน่าจะเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยทำได้ ฉะนั้น ที่จำเลยกระทำไปยังไม่พอจะฟังว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดอาญาจำเลยไม่มีความผิด"

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - อัยการประจวบคีรีขันธ์ จำเลย - นายศุภชัย วานิชวัฒนา

ชื่อองค์คณะ ยงยุทธ เลอลภ ผสม จิตรชุ่ม พยนต์ ยาวะประภาษ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE