ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 5534 และ 1892 ให้แก่จำเลยเป็นเงินแปลงละ 7,500 บาท มีกำหนดไถ่คืนภายใน 2 ปีโดยมิได้รับความยินยอมจากสามีโจทก์ ต่อมาสามีโจทก์ทราบเรื่องจึงไปสอบถามจำเลย จำเลยว่าโจทก์ขายฝากที่ดินและพ้นกำหนดไถ่คืนแล้ว และตกลงยอมขายที่ดินทั้งสองแปลงคืนให้โจทก์โดยคิดดอกเบี้ยรวมทั้งเงินที่ขายฝากที่ดินไว้สองแปลงเป็นเงิน74,200 บาท ต่อมากลางเดือนสิงหาคม 2527 โจทก์จ่ายเงินให้จำเลย 74,200 บาท พร้อมค่าธรรมเนียมการโอน 1,700 บาทซึ่งจำเลยรับไปครบถ้วนแล้ว หลังจากนั้นประมาณเดือนเศษจำเลยโอนที่ดินให้โจทก์เพียงแปลงเดียว คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 5534 คิดราคาเป็นเงิน 10,000 บาทโจทก์ให้ใส่ชื่อนายอนุกูล ไชยเชิงชน บุตรโจทก์เป็นเจ้าของส่วนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1892 จำเลยยังไม่โอนให้อ้างว่าหาหลักฐานที่ดินไม่พบ โจทก์จึงรอและเตือนให้จำเลยกับสามีจัดการโอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยและสามีจำเลยว่า ถ้าหาหลักฐานพบจะโอนคืนให้โจทก์รอถึงเดือนเมษายน 2529 ก็เตือนจำเลยและสามีจำเลยอีกแต่จำเลยก็เพิกเฉย สามีโจทก์จึงฟ้องสามีจำเลยให้โอนที่ดินดังกล่าวให้ปรากฏตามสำเนาคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 455/2529 ของศาลชั้นต้นโจทก์เห็นว่า โจทก์จ่ายเงิน 74,200 บาท ให้จำเลยเพื่อซื้อที่ดินสองแปลงโจทก์จึงจ่ายเงินให้จำเลยเกินไป 64,200 บาทซึ่งจำเลยต้องคืนแก่โจทก์แต่จำเลยไม่ยอมคืน นับแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินให้จำเลยคือกลางเดือนสิงหาคม 2527 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 2 ปี 4 เดือน โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงิน 64,200 บาท เป็นดอกเบี้ย 11,234 บาทรวมเป็นเงิน 75,434 บาท โจทก์ได้รับความยินยอมจากสามีให้ดำเนินคดีแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน75,434 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน64,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ในเรื่องขายฝากที่ดินและการซื้อขายที่ดินคืนกับโจทก์ตามฟ้อง การขายฝากและการซื้อขายที่ดินตามฟ้องเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับนางลี้ คีรีมาศทอง และนายอนุกูลกัล นายลี้ คีรีมาศทองจำเลยไม่เคยรับเงินค่าซื้อขายที่ดิน 2 แปลงจำนวน 74,200 บาทจากโจทก์ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2529 สามีโจทก์ได้ยื่นฟ้องสามีจำเลยให้โอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1892 ให้ และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยสามีโจทก์ยอมซื้อที่ดินคืนจากนายลี้ คีรีมาศทอง ในราคา45,000 บาท ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 455/2529ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวมีข้ออ้างหรือข้อพิพาทเกี่ยวเนื่องใกล้ชิดเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีนี้ เมื่อคดีดังกล่าวได้ประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมแล้วข้อพิพาทในคดีนี้ย่อมระงับไปด้วยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีฐานลาภมิควรได้ ต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ 20 กันยายน 2527 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทราบว่ามีการโอนที่ดินให้เพียง 1 แปลง อันเป็นวันที่โจทก์รู้ว่ามีสิทธิเรียกเงินคืน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์นำที่ดิน 2 แปลงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 5534และ 1892 ขายฝากไว้กับนายลี้ คีรีมาศทอง สามีจำเลยมีกำหนด 2 ปีคิดราคาที่ดินแปลงละ 7,500 บาท และพ้นกำหนดไถ่คืนแล้ว ปรากฏตามสัญญาขายฝากเอกสารหมาย จ.4 และ จ.8

ปัญหาจะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า จำเลยจะต้องคืนราคาที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า โจทก์ไปหาจำเลยและนายลี้แล้วตกลงกันว่า ให้โจทก์ไถ่ที่ดินคืนโดยคิดเป็นเงิน 74,200 บาท โจทก์ตกลงและโจทก์ต้องชำระค่าธรรมเนียมการโอนอีก 1,700 บาทด้วยโจทก์มอบเงิน 74,200 บาท และเงินค่าธรรมเนียม 1,700 บาท ผ่านทางนายวันชัย กาญจนชุมเจ้าหน้าที่ที่ดินเพื่อมอบให้แก่จำเลยและนายลี้แล้ว แต่ได้รับโอนที่ดินคืนมา 1 แปลงใส่ชื่อนายอนุกูลบุตรโจทก์เป็นเจ้าของส่วนที่ดินอีก 1 แปลง โอนไม่ได้ จำเลยกับนายลี้บอกว่ายังหาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่พบ และโจทก์มีนายวันชัย กาญจนชุม เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยมาหาพยานเกี่ยวกับที่ดินที่รับซื้อฝากไว้และเรื่องที่โจทก์ยืมเงินไปให้ช่วยคิดดอกเบี้ยให้ จึงคิดให้ซึ่งรวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยแล้วเป็นเงินประมาณ 70,000 บาท ต่อมา 2 สัปดาห์นายเกินสามีโจทก์ไปหาพยานที่บ้านจึงคิดเงินให้ดูอีกครั้งแล้วให้จัดรายการดังกล่าวไป หลังจากนั้นโจทก์กับบุตรสาวและจำเลยกับนายลี้มาหาพยานที่ที่ว่าการอำเภอ เพื่อจดทะเบียนซื้อขายที่ดินกันการซื้อที่ดินนั้นเนื่องจากเดิมจดทะเบียนขายฝากไว้จึงขอซื้อคืน ในวันดังกล่าวมีการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินได้เพียง 1 แปลง และมีการจ่ายเงินราคาที่ดินด้วย มีการนับเงินที่โต๊ะของพยาน พยานช่วยนับด้วย 20,000 บาท นอกจากนั้นเป็นเงินอีกเท่าไร ไม่ทราบ และพยานว่าเคยเบิกความในสำนวนคดีดำที่ 201/2529 ของศาลชั้นต้นว่าจำเลยเป็นผู้รับเงินและในคดีดังกล่าวพยานระบุชัดว่าโจทก์จ่ายเงินแก่จำเลย 74,200 บาท นอกจากนี้นางระวิวรรณ พงษ์สุวารีกุลเจ้าหน้าที่ที่ดินอีกคนหนึ่งเป็นพยานโจทก์เบิกความว่า โจทก์ยื่นเรื่องราวต่อนายวันชัยโจทก์มอบเงินแก่จำเลยแล้วจำเลยบอกว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินหาพบเพียงแปลงเดียวส่วนของอีกแปลงหาไม่พบ เห็นว่า พยานโจทก์ 2 คนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ปรากฏว่ามีส่วนได้เสียกับโจทก์หรือจำเลยทั้งเบิกความสอดคล้องกันมั่นคงกับคำเบิกความโจทก์ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ฝ่ายจำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยและนายลี้สามีจำเลยเบิกความว่าในวันซื้อขายที่ดิน จำเลยมิได้ไปด้วย และมิใช่เป็น คนรับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ แต่นายลี้เป็นผู้รับเงินโดยไม่มีพยานคนกลางสนับสนุนไม่น่าเชื่อถือ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2527 โจทก์จ่ายเงินให้แก่จำเลยแล้ว74,200 บาท เพื่อซื้อที่ดิน 2 แปลงซึ่งขายฝากจนพ้นกำหนดไถ่แล้วแต่จำเลยจัดการโอนที่ดินให้แก่โจทก์เพียง 1 แปลงเท่านั้น คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 5534 โดยใส่ชื่อนายอนุกูลบุตรโจทก์เป็นเจ้าของ ดังปรากฏตามสารบัญจดทะเบียนท้ายหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เอกสารหมาย จ.5 ส่วนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1892 จำเลยยังไม่จัดการโอนขายแก่โจทก์ตามที่ตกลงกัน ทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้จ่ายเงินราคาที่ดินทั้งสองแปลงไปแล้วถึง 74,200 บาท จึงถือว่าจำเลยกระทำผิดสัญญาต่อโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินแปลงที่ยังมิได้โอนและเรียกเงินราคาที่ดินคืนได้และนับแต่วันที่ 20 กันยายน 2527 ซึ่งเป็นวันจดทะเบียนซื้อขายที่ดินแปลงแรก จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 2 ปีเศษแล้ว จำเลยก็มิได้จัดการโอนที่ดินที่เหลืออีก 1 แปลงให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยเพื่อเรียกเงินราคาที่ดินดังกล่าวคืนโดยไม่ขอบังคับให้จำเลยโอนที่ดินอันเป็นการแสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะบังคับตามสัญญาต่อไป จึงเท่ากับเป็นการบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินแปลงที่เหลือโดยปริยาย ทั้งจำเลยเองทราบฟ้องแล้วก็ให้การต่อสู้คดีชัดแจ้งวาไม่ยอมรับความผูกพันตามสัญญาดังกล่าว สัญญาจึงเลิกกันคู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยต้องคืนเงินราคาที่ดินส่วนที่เกินจากราคาที่ดินแปลงแรกให้แก่โจทก์ เมื่อปรากฏตามสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 ว่าราคาที่ดินแปลงแรกคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 5534 ขายกันในราคาเพียง 10,000 บาทแต่โจทก์จ่ายค่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน 74,200 บาท ส่วนที่เกินอยู่ 64,200 บาท จึงถือว่าเป็นราคาขายที่ดินแปลงหลังคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1892 ซึ่งจำเลยจะต้องคืนแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันจำเลยได้รับเงินจากโจทก์คือวันที่ 20 กันยายน 2527เป็นต้นไป

สำหรับปัญหาที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ฐานลาภมิควรได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้วว่าโจทก์ฟ้องเรียกราคาที่ดินคืน เพราะเหตุจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินและโจทก์บอกเลิกสัญญา จะนำอายุความ 1 ปี ฐานลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 มาบังคับ แต่ต้องใช้อายุความทั่วไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปี มาใช้บังคับ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ"

พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงิน 64,200 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่20 กันยายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th