คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1184/2564
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 ม. 10 พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 ม. 3 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 ม. 11 พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 ม. 10, 11, 13 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ม. 16 วรรคสาม
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560 ภายหลังเมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเปิดทำการแล้ว ซึ่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 10 ได้บัญญัติว่า "เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเปิดทำการแล้ว ห้ามมิให้ศาลชั้นต้นอื่นรับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไว้พิจารณาพิพากษา" จากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วว่า เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเปิดทำการแล้ว ศาลชั้นต้นอื่นจะรับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไว้พิจารณาและพิพากษามิได้ การที่ศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาจึงเป็นการไม่ชอบตามบทกฎหมายดังกล่าว และกรณีไม่ต้องด้วย มาตรา 16 วรรคสาม แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมอันศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) จะใช้ดุลพินิจรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาได้ และศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) ซึ่งเป็นศาลที่ไม่มีเขตอำนาจคดีนี้ ไม่อาจโอนคดีไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับในเรื่องของการโอนคดีไว้ ทั้งการที่ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 11 ว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่อาจนำ พ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10, 11, 13 มาปรับใช้แก่คดีได้ เนื่องจากตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้บัญญัติไว้ว่า ในพระราชบัญญัตินี้ "ศาล" หมายความว่า ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหารหรือศาลอื่น เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกับศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) ต่างเป็นศาลยุติธรรม กรณีจึงมิใช่เรื่องระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันจะนำมาปรับใช้กับคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และขอให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสั่งหักเงินค่าปรับที่ได้รับชำระตามคำพิพากษาของศาลในอัตราร้อยละ 60 และนำส่งเงินที่หักนั้นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อมาก่อนสืบพยานจำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 8,175,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 4,087,500 บาท จำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายหักเงินค่าปรับอัตราร้อยละ 60 ให้แก่กรมสอบสวนคดีพิเศษ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษาให้ยกอุทธรณ์จำเลยที่ 2 ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นกับเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560) เป็นต้นไป และให้คืนคำฟ้องให้โจทก์ไปดำเนินการตามที่บทกฎหมายบัญญัติไว้
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง เพราะศาลอาญารับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาจนกระทั่งมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องถือได้ว่าศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสาม หากศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลอาญารับคดีไว้พิจารณาพิพากษาเป็นการไม่ชอบ ศาลอาญาชอบที่จะมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยเทียบเคียงปรับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10, 11 และ 13 นั้น เห็นว่า มีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พ.ศ.2559 โดยให้เปิดทำการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2559 เป็นต้นไป คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560 ภายหลังเมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเปิดทำการแล้ว ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 10 ได้บัญญัติว่า "เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเปิดทำการแล้ว ห้ามมิให้ศาลชั้นต้นอื่นรับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไว้พิจารณาพิพากษา" ดังนั้น จากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วว่า เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเปิดทำการแล้ว ศาลชั้นต้นอื่นจะรับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไว้พิจารณาและพิพากษามิได้ การที่ศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาจึงเป็นการไม่ชอบตามบทกฎหมายดังกล่าว และกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 16 วรรคสาม แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมอันศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) จะใช้ดุลพินิจรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาได้ และศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) ซึ่งเป็นศาลที่ไม่มีเขตอำนาจคดีนี้ ไม่อาจโอนคดีไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับในเรื่องของการโอนคดีไว้ ทั้งต่อมาเมื่อผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีปัญหาว่าคดีนี้จะอยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบหรือไม่ ก็ได้ส่งปัญหาดังกล่าวให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 11 ประธานศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ให้เทียบเคียงปรับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10, 11, 13 นั้น เห็นว่า ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้บัญญัติไว้ว่า ในพระราชบัญญัตินี้ "ศาล" หมายความว่า ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหารหรือศาลอื่น เช่นนี้ เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกับศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) ต่างเป็นศาลยุติธรรม กรณีจึงมิใช่เรื่องระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันจะนำมาปรับใช้กับคดีนี้ดังที่โจทก์อ้างได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยที่ 2 ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นกับเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนับแต่วันฟ้องและให้คืนฟ้องโจทก์ไปดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อท.13/2563
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด จำเลย - ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. กับพวก
ชื่อองค์คณะ อดิศักดิ์ ปัตรวลี ชาติชาย โฆษิตวัฒนฤกษ์ เทพ อิงคสิทธิ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลอาญา - นายพิริษฐ์ ปิยะนราธร ศาลอุทธรณ์ - นายปิยะวรรณ สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา