ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จในคดีอาญาที่นายใจ๋นายทา นายตั๋น ต้องหาว่าฆ่านายคือตาย โดยจำเลยให้การเป็นพยานชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2504 มีใจความว่าจำเลยกับนายสิงห์คำขี่รถจักรยานไปซื้อหอม เกือบถึงป่าช้าบ้านท่าตุ้มก็ได้ยินเสียงปืนดังอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่ได้สนใจ สักครู่เห็นนายตั๋นถือปืนสั้นกับนายทานายใจ๋โผล่ออกมาจากข้างถนน นายตั๋นพูดห้ามจำเลยไม่ให้ไป ว่าเขายิงกันข้างหน้า ให้กลับบ้านเสีย ในตอนท้ายจำเลยว่าจำเลยเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่นายตั๋นกับพวกใช้ปืนยิงและมาขู่จำเลยด้วยต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม 2505 จำเลยได้ให้การเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวนมีใจความว่า นายคือผู้ตายขี่รถจักรยานหนี นายตั๋นกับพวกนายทานายใจ๋วิ่งไล่ติดตามไปสัก 10 วา นายคือล้มลง เมื่อนายทานายใจ๋วิ่งตรงไปที่นายคือ พอดีนายตั๋นเหลียวหน้ามาทางจำเลย นายตั๋นร้องบอกนายทานายใจ๋ว่าคนมา ๆ จำเลยก็เห็นนายทานายใจ๋วิ่งหนีไป ถ้อยคำนี้เป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงจำเลยมิได้รู้เห็นอะไรเลย ดังที่จำเลยได้ให้การต่อศาล (ในคดีที่อัยการศาลทหารฟ้องนายใจ๋นายทาว่าร่วมกับนายตั๋นฆ่านายคือ) ว่าจำเลยมิได้รู้เห็นอะไรเลย ทำให้พนักงานสอบสวน นายใจ๋ นายทา และนายตั๋น เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172 ให้ลงโทษตามมาตรา 172 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ติดใจโต้เถียงข้อที่ศาลชั้นต้นเชื่อถ้อยคำที่จำเลยให้การไว้เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2505 ว่าเป็นความจริง ในชั้นฎีกาคงมีประเด็นว่า ที่จำเลยให้การในวันที่ 9 พฤษภาคม 2505 ดังที่กล่าวไว้ในฟ้องนั้นเป็นถ้อยคำหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จะพิสูจน์ถ้อยคำของบุคคลที่กล่าวอ้างว่าได้เห็นเหตุการณ์ใด ๆ ว่าเป็นเท็จนั้น หาจำต้องมีประจักษ์พยานมายืนยันโดยตรงว่าบุคคลนั้นมิได้เห็นเหตุการณ์นั้นเสมอไปไม่ ในบางกรณีรายละเอียดแห่งถ้อยคำของผู้นั้นโดยลำพังหรือประกอบด้วยพฤติการณ์ของผู้นั้นเองย่อมพิสูจน์ได้ในตัวว่า ผู้นั้นกล่าวคำเท็จก็เป็นได้ เรื่องนี้จำเลยให้การในชั้นสอบสวน2 ครั้งไม่ตรงกันยิ่งเบิกความในชั้นศาลกลับตรงกันข้าม คำของจำเลยจะต้องเป็นเท็จไม่ครั้งใดก็ครั้งหนึ่งเป็นอย่างน้อย
แล้วศาลฎีกาฟังว่า ที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยเห็นนายทานายใจ๋วิ่งไล่นายคือ เป็นความเท็จ ความจริงจำเลยไม่ได้เห็น ความเท็จข้อนี้ทำให้นายทานายใจ๋รวมทั้งพนักงานสอบสวนเสียหายแล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172
พิพากษากลับ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172จำคุก 1 ปี
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









