ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลย ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมโดยจำเลยยอมใช้เงิน 5,287 บาท และชำระดอกเบี้ยในเงินต้น 2,915 บาท อัตราชั่งละ 1 บาทต่อเดือนจำเลยไม่ชำระหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2715ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ ต่อมาโจทก์และผู้ร้องได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมเป็นใจความว่า ข้อ 1. ผู้ร้องขอให้โจทก์ขายทอดตลาดเฉพาะเรือนตามประกาศยึดทรัพย์อันดับ 2 ไปก่อนหากขายเรือนดังกล่าวได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาผู้ร้องจะยอมชำระเงินให้โจทก์แทนจำเลยจนครบ ฯลฯ โดยขอให้โจทก์ถอนการยึดที่ดินตามประกาศยึดทรัพย์อันดับ 1 เสีย ฯลฯ ข้อ 2. โจทก์ยอมตกลงตามข้อ 1 แต่จะขอถอนการยึดให้ก็ต่อเมื่อโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาครบแล้วตามข้อ 1. ต่อมาขายทอดตลาดเรือนเป็นราคา 10,550 บาท โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามส่วนเฉลี่ย 3,485.71 บาท คงขาดไป 2,824.57 บาท โจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้และยังขาดจำนวนอยู่ดังกล่าวขอให้ออกคำบังคับให้ผู้ร้องนำเงินตามจำนวนที่ยังขาดมาชำระให้โจทก์ภายใน 10 วันศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแก่ผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องต้องชำระหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมเมื่อไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้บังคับผู้ร้องชำระหนี้แทนจำเลยจนครบตามที่ผูกพันตนเข้ามา พิพากษายืน.
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









