ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีไม้แดง 2 ท่อน ไม้เต็ง 1450 ท่อน และไม้สมอ 3 ท่อน รวม 1455 ท่อน ปริมาตร 58.20 ลูกบาศก์เมตร อันเป็นไม้หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2505 ไว้ในความครอบครอง ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73, 74 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 17 ประกาศกระทรวงเกษตรเรื่องกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2499 ข้อ 1 พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2504 มาตรา 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ลงวันที่ 10 เมษายน 2515 ข้อ 4 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า บทกฎหมายที่โจทก์อ้างขอให้ลงโทษจำเลยท้ายฟ้อง เป็นบทลงโทษผู้มีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่คดีได้ความตามฟ้องและคำให้การเพียงว่า จำเลยมีไม้ท่อนไว้ในความครอบครองเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าไม้ของกลางเป็นไม้ที่แปรรูปแล้ว ลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์ ไม้ของกลางคืนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์อ้างบทมาตราขอให้ลงโทษเฉพาะเรื่องมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครอง พออนุมานได้ว่าเป็นเรื่องอ้างบทกฎหมายผิด ศาลลงโทษตามบทกฎหมายที่ถูกต้องได้นั้น เห็นว่า ความผิดฐานมีไม้แปรรูป และความผิดฐานมีไม้ท่อนหวงห้ามไว้ในครอบครอง มีองค์ประกอบความผิดต่างกันมาก ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ประกอบกับบทมาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลย เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างมาท้ายฟ้อง หากแต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ยังไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง หาใช่เป็นเรื่องโจทก์อ้างบทกฎหมายผิดดังโจทก์ฎีกาไม่ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ไม้ของกลางไม่ริบ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








