ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในกรณีที่จำเลยขับรถยนต์ชนรถจักรยานยนตร์ของโจทก์
ปรากฎว่าก่อนคดีนี้อัยยการได้เปนโจทก์ฟ้องโจทก์จำเลยในคดีนี้หาว่าขับรถจักรยานยนตร์และรถยนตร์โดยประมาทเปนเหตุให้รถโดนกันศาลซึ่งพิจารณาคดีอาญาดังกล่าวได้วินิจฉัยว่าจำเลยคดีนี้ขับรถผิดทางจริงแต่หาใช่เปนเหตุให้เกิดชนกันไม่ พิพากษาให้ปรับจำเลยตามพ.ร.บ.จราจร ๔ บาท ส่วนโจทก์ให้ยกฟ้องปล่อยไป คดีถึงที่สุด
ศาลอุทธรณ์จึงเห็นว่าเหตุที่รถชนกันครั้งนี้มิใช่ความประมาทของจำเลยซึ่งตามประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม.๔๖,๔๗ คดีแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์คดีนี้เสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่าตามที่ปรากฎในคดีอาญานั้นการที่รถยนตร์ของจำเลยชนรถจักรยานยนตร์ของโจทก์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อของจำเลยโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายตาม ก.ม.ส่วนแพ่งได้ ที่โจทก์เถียงว่าคู่ความในคดีอาญาไม่ใช่คู่ความในคดีแพ่งจะใช้ข้อเท็จจริงมาปรับแก่คดีแพ่งมิได้นั้นเห็นว่าโจทก์จำเลยเปนจำเลยในคดีอาญาทั้งสองคน ย่อมเปนคู่ความตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.๑ ข้อ ๑๑ ส่วนคำพิพากษาที่ ๑๔๐๕/๑๔๑๘/๖๒ ที่โจทก์อ้างนั้นได้ตัดสินก่อนประมวลวิธีพิจารณาอาญา นำมาปรับแก่คดีนี้มิได้ศาลอุทธรณ์ตัดสินชอบแล้ว ยืนตาม
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








