สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2522

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2522

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 335, 353 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5)

ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงและการกระทำของจำเลยว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมกระทำความผิดฐานยักยอกแล้วโจทก์ยังได้บรรยายฟ้องกล่าวอ้างอีกว่า ในการกระทำอันเดียวกันนั้นเป็นการลักทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์จึงขัดแย้งกันอยู่ในตัวเองเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) จะรับไว้พิจารณาเอาโทษจำเลยมิได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่30/2494)

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกทรัพย์โดยระบุวันที่จำเลยได้รับเช็คและเงินสดไว้ แต่มิได้บรรยายว่า จำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาเงินสดไปในวัน เดือน ปี และเวลาใดจะตีความเอาว่าโจทก์หมายเอาในระหว่างวันเวลาที่จำเลยได้รับเช็คและเงินสดนั้นเป็นวันที่จำเลยกระทำผิดก็ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อความตอนใดจะให้เข้าใจได้ดังนั้นฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 117/2492)

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระกัน กล่าวคือ

ก. จำเลยได้บังอาจเป็นคนร้ายลักเอาเช็ค 5 ฉบับ คิดเป็นเงิน 218,267 บาท ของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยไปโดยทุจริต หรือมิฉะนั้นจำเลยได้บังอาจเบียดบังยักยอกเอาเช็คทั้ง 5 ฉบับดังกล่าวซึ่งอยู่ในความดูแลครอบครองของจำเลยตามหน้าที่ไปเป็นประโยชน์ของตนและพวกของจำเลยโดยทุจริต

ข. เมื่อระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2519 เวลากลางวันและกลางคืนตลอดมาถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2519 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยได้รับเงินสดและเช็คเงินสดรวม 5 ฉบับ จำนวนเงิน 951,800 บาท (รวมเช็คทั้ง 5 ฉบับดังกล่าวข้างต้น) ซึ่งลูกหนี้นำมาชำระให้แก่บริษัทร่วมเสรีจำกัด นายจ้างของจำเลย จำเลยลงบัญชีรายวันเงินสดไว้แล้วแต่ไม่นำส่งมอบเงินสดและเช็คเงินสดดังกล่าวให้สมุห์บัญชีตามหน้าที่ จำเลยกลับเบียดบังยักยอกเอาเงินสดไปเป็นประโยชน์ตนกับพวกโดยทุจริต เป็นเงิน 733,533 บาท

ค. ฯลฯ จำเลยกับพวกที่หลบหนีทำตั๋วเงินอันเป็นเอกสารสิทธิ17 ฉบับปลอมขึ้น ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 266, 268, 335(11), 353, 83 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน951,800 บาท แก่เจ้าทรัพย์และริบตั๋วเงิน (เช็ค) ทั้ง 17 ฉบับ

บริษัทร่วมเสรี จำกัด ผู้เสียหายโดยนายสมพงษ์ และนายหลิ่มแซ่อุ่ย กรรมการยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ศาลอนุญาต

จำเลยให้การปฏิเสธ และตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์ในข้อหาลักทรัพย์หรือยักยอก เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268, 353 ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 268 (ลงโทษตามมาตรา 265) จำคุก 3 ปี ลงโทษตามมาตรา 353 จำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้องให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 951,800 บาทแก่โจทก์ร่วม และริบเช็คทั้ง 17 ฉบับ

โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกให้หนักขึ้น และลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมโดยเรียงกระทงลงโทษการใช้เช็คแต่ละฉบับ กับให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ด้วย

จำเลยอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์ข้อ ก. กับข้อ ข. เคลือบคลุมพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานยักยอกและใช้เอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานยักยอกเสียด้วย และให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 951,800 บาท แก่เจ้าทรัพย์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ร่วมและโจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้มีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ข้อ ก. กับข้อ ข. เคลือบคลุมหรือไม่พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ข้อ ก. บรรยายข้อเท็จจริงและการกระทำของจำเลยว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมมีหน้าที่เก็บรักษาเงินและเช็คที่มีผู้เอามาชำระหนี้ให้โจทก์ร่วม จำเลยได้รับเช็ค 5 ฉบับ ที่ลูกหนี้ชำระหนี้ให้โจทก์ร่วม แล้วไม่นำส่งมอบให้สมุห์บัญชีตามหน้าที่กลับเบียดบังเอาเช็คทั้ง 5 ฉบับนั้นไปให้พวกของจำเลยนำเข้าบัญชีที่ธนาคารและใช้ชำระหนี้ให้ผู้อื่นอันเป็นความผิดฐานยักยอกแล้วโจทก์ยังได้บรรยายฟ้องกล่าวอ้างอีกว่า ในการกระทำอันเดียวกันนั้น คือการที่จำเลยเอาเช็ค 5 ฉบับดังกล่าวไปเป็นการลักทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์จึงขัดแย้งกันอยู่ในตัวเองเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) จะรับไว้พิจารณาเอาโทษจำเลยมิได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 30/2494 ระหว่างอัยการพระนครศรีอยุธยาโจทก์ นายพร สูงสุด กับพวก จำเลย

สำหรับคำฟ้องข้อ ข.นั้น กล่าวว่าระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2519 เวลากลางวันและกลางคืนตลอดมาถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2519 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยได้รับเช็คและเงินสดรวม 951,800 บาท ซึ่งลูกหนี้เอามาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมไว้ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาเงินสดจำนวน 733,533 บาท ไปในวันเดือนปีและเวลาใด จะตีความเอาว่าโจทก์หมายเอาในระหว่างวันเวลาที่จำเลยได้รับเช็คและเงินสดนั้นเป็นวันที่จำเลยกระทำผิดก็ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อความตอนใดจะให้เข้าใจได้ ดังนั้นฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 117/2492 ระหว่างอัยการสงขลา โจทก์ นางซิ้วเอียน ช่วยชาติ จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการกรมอัยการ โจทก์ - โจทก์ร่วม โจทก์ - บริษัทร่วมเสรี จำกัด ฯ จำเลย - นางสาวนุชนารถ หรือนุชนาฎ แซ่อุย

ชื่อองค์คณะ จรัญ สำเร็จประสงค์ พิสัณห์ ลีตเวทย์ ขจร หะวานนท์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE