ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ซึ่งขณะนี้กำลังป่วยด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก ไม่สามารถพูด มองเห็นหรือขยับเขยื้อนร่างกายได้ ทั้งไม่สามารถลงลายมือชื่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีหนังสือแจ้งผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ถึงโจทก์ ให้โจทก์ชำระภาษีอากรและเงินเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันรับหนังสือเป็นต้นไป เนื่องจากโจทก์ไม่อาจทราบผลของคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ และวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่โจทก์จะใช้สิทธิทางศาลเพื่ออุทธรณ์ตามกฎหมาย ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้เพื่อขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ต่อไปอีก 60 วัน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดียังไม่ขึ้นมาสู่ศาลผู้ร้องไม่ใช่คู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องและระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ใช่ระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือตามที่ศาลกำหนดหรือระยะเวลาเกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งอันกำหนดไว้ตามกฎหมายอื่น กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 ไม่รับคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องของผู้ร้องคงสรุปใจความได้ว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีหนังสือแจ้งให้นายสวัสดิ์สามีผู้ร้องซึ่งป่วยเป็นอัมพาตด้วยเส้นโลหิตในสมองแตกไม่รู้สึกตัวชำระภาษีอากรและเงินเพิ่มตามกฎหมาย นายสวัสดิ์ไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่ออุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ ผู้ร้องซึ่งเป็นภรรยาจึงมายื่นคำร้องต่อศาลขอขยายเวลาไปอีก 60 วัน เห็นว่า การเสนอคดีต่อศาลจะต้องมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 กรณีของผู้ร้องถือไม่ได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิตามประมวลรัษฎากร เพราะผู้ร้องไม่ใช่ผู้ต้องเสียภาษีอากร และการที่ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ผู้ร้องทำได้

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา