ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสำนวนแรกอาศัยผู้มีชื่อทำประโยชน์ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ทางด้านใต้ จำเลยสำนวนหลังอาศัยผู้มีชื่อทำประโยชน์ในที่ดินแปลงเดียวกันทางด้านเหนือ ปรากฏตามแผนที่ท้ายฟ้อง บัดนี้โจทก์ประสงค์จะใช้ทำประโยชน์เอง บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองสำนวนออกไปจำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ศาลบังคับให้ออก กับให้ใช้ค่าเสียหายด้วย

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นนา ซึ่งจำเลยเช่าจากเจ้าของเดิมเพาะปลูกพืชไร่มีกำหนด 6 ปี โจทก์ซื้อนาดังกล่าวไปในระหว่างอายุสัญญาเช่า โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง เจ้าของเดิมขายนาพิพาทให้โจทก์โดยมิได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2517 จำเลยทั้งสองบอกกล่าวให้โจทก์ขายนาพิพาทให้จำเลยในราคาส่วนละ35,000 บาท โดยวิธีชำระเงินสดตามวิธีการและราคาที่โจทก์ซื้อจากเจ้าของเดิมแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ขอให้ศาลยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ขายที่นาพิพาทแก่จำเลยทั้งสองคนละกึ่งในราคาส่วนละ 35,000 บาท หาไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นที่สวนไม่ใช่ที่นา ก่อนขายที่ดินนี้ เจ้าของเดิมได้แจ้งจำเลยทั้งสองทราบแล้ว แต่จำเลยไม่ซื้อ ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่นาซึ่งจำเลยทั้งสองเช่าปลูกพืชไร่จากนางปอฮงเจ้าของเดิม ก่อนขายที่พิพาททั้งแปลงให้โจทก์ นางปอฮงมิได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2517 จำเลยทั้งสองมีสิทธิที่จะซื้อที่พิพาทคนละครึ่งจากโจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ขายที่พิพาทแก่จำเลยทั้งสองคนละครึ่ง ในราคาส่วนละ35,000 บาท ถ้าโจทก์ไม่จัดการโอน ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาทั้งสองสำนวน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517มาตรา 4 กำหนดว่า "นา" หมายความว่า ที่ดินซึ่งโดยสภาพใช้เป็นที่เพาะปลูกข้าวหรือพืชไร่ ส่วนคำว่า "พืชไร่" นั้นเห็นด้วยกับฎีกาของโจทก์ว่า หมายถึง พืชซึ่งต้องการน้ำน้อยและมีอายุสั้นอย่างหนึ่ง กับพืชซึ่งต้องการน้ำน้อยและสามารถเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ภายในสิบสองเดือนอีกอย่างหนึ่ง

คดีคงมีปัญหาแต่เพียงว่าพืชที่จำเลยปลูกเป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อยหรือน้ำมากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทตามฟ้องจำเลยไม่ได้ใช้ปลูกข้าว แต่ได้ปลูกพริก หอมกะเทียม ผักกาด คะน้า มันเทศ มีคันดินโดยรอบทั้งสี่ด้านแล้วปลูกมะม่วง และกล้วยไว้บนคันดินนั้น ส่วนภายในของคันดินยกเป็นร่องสวนมีน้ำอยู่ข้างร่องทุกร่อง บนร่องปลูกมะละกอไว้ทุกร่องมีเครื่องสูบน้ำออกเพื่อไม่ให้น้ำท่วมหลังร่องที่ยก ตอนน้ำท่วมหรือใกล้จะท่วมไม่ปลูกพืชแสดงว่าพืชที่ปลูกกลัวน้ำ น้ำท่วมตาย เป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อยเป็นพืชไร่ที่พิพาททั้งสองสำนวนจึงเป็น "นา" ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 4 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th