คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1531/2525
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1367, 1368, 1382 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 145
โจทก์ครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่บิดามารดาโจทก์กำลังเป็นความกับจำเลยอยู่ในศาล และอยู่ในระหว่างบังคับคดีตามคำพิพากษาแม้จะเกิน 10 ปี โจทก์ก็อ้างว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ยันจำเลยผู้เป็นเจ้าของไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่ใช่บุคคลภายนอกแต่เป็นบุตรและบริวารของบิดามารดาเมื่อบิดามารดาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยตกลงยอมยกที่พิพาทให้เป็นของจำเลยและศาลได้พิพากษาคดีไปตามยอมแล้วคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลย่อมผูกพันโจทก์ด้วย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจกท์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ต้องกันว่า โจทก์เป็นบุตรนายโอ นางตุ๊กตา บุนนาค ที่ดินพิพาทคดีนี้เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เมื่อ พ.ศ. 2507 จำเลยได้ฟ้องนายโอและนางตุ๊กตา บุนนาค เจ้าของที่ดินโฉนดที่ 120 ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินโฉนดที่ 123 ของจำเลยทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ โดยจำเลยอ้างว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดของจำเลย แต่นายโอและนางตุ๊กตากลับอ้างว่าเป็นที่นอกโฉนดของนายโอ นางตุ๊กตา นายโอ นางตุ๊กตาครอบครองได้กรรมสิทธ์ทางครอบครองปรปักษ์ ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งดำที่ 245/2507 คดีแดงที่ 214/2509 ผลที่สุดโจทก์จำเลยในคดีดังกล่าวได้ประนีประนอมยอมความกัน โดยนายโอนางตุ๊กตายอมให้ที่พิพาทเป็นของจำเลยและไม่เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป ศาลจังหวัดสมุทรปราการได้พิพากษาไปตามยอม ปรากฏตามสัญญาประนีประนิมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเอกสารหมาย ล.4 ล.5 คดีถึงที่สุดแล้ว หลังจากนั้นต่อมา โจทก์ (จำเลยคดีนี้) ได้ขอให้ศาลบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยให้พนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ผลที่สุดเจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ (จำเลยคดีนี้) แต่เพิ่งเสร็จเรียบร้อยในปี พ.ศ. 2522 โดยนายโอนางตุ๊กตายอมยกที่ดินในโฉนดที่ 120 ให้โจทก์ (จำเลยคดีนี้) อีก 1 ไร่ครึ่งด้วย ที่ดินที่จำเลยและนายโอนางตุ๊กตาพิพาทกันคือที่ดินที่โจทก์จำเลยพิพาทกันในคดีนี้
คดีมีปัญหาตามข้อฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเกินสิบปี ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยทางอายุความตามที่อ้างหรือไม่ ได้พิเคราะห์แล้ว โจทก์ได้อ้างตัวเองเบิกความว่า โจทก์ได้เข้าทำนาในที่พิพาทในเดือน 8 ปี พ.ศ. 2509 นั้นเอง ในฐานะเป็นเจ้าของได้ทำนาอยู่ 6 ปี จึงเปลี่ยนเป็นขุดบ่อเลี้ยงปลาโดยได้ขุดดินที่พิพาททางด้านทิศใต้และด้านทิศตะวันตก และตั้งแต่เกิดโจทก์อาศัยอยู่กับบิดามารดาตลอดมาจนอายุ 24 ปี จึงแยกครอบครัวไปอยู่ต่างหาก ศาลฎีกาเห็นว่าในขณะที่โจทก์เข้าทำนาพิพาทในปี พ.ศ. 2509 นั้น ที่นาพิพาทจำเลยกับบิดามารดาโจทก์กำลังเป็นความกันอยู่ในศาลเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ต่อมาเมื่อบิดาโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ที่พิพาทเป็นของจำเลยแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เข้าเกี่ยวข้องหรือคัดค้านอย่างไร การที่โจทก์เข้าทำนาในที่พิพาทจึงเชื่อว่า โจทก์ช่วยบิดามารดาทำมากกว่าทำเป็นของตัวเอง เพราะปรากฏต่อมาว่าหลังจากที่บิดามารดาโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล ยอมให้ที่พิพาทเป็นของจำเลยแล้ว บิดามารดาโจทก์ได้พยายามขัดขวางไม่ยอมแบ่งแยกที่ดินให้แก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความจนจำเลยต้องร้องต่อศาลอีกหลายครั้งหลายหน ผลที่สุดศาลจังหวัดสมุทรปราการได้สั่งให้ศาลร่วมไปกับพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินพิพาทให้โจทก์เสร็จเรียบร้อยในวันที่ 11 มิถุนายน 2522 เห็นว่าการที่โจทก์ครอบครองที่ดินในระหว่างที่บิดามารดาโจทก์กำลังเป็นความกับจำเลยอยู่ในศาลและอยู่ในระหว่างที่โจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาแม้จะเกินสิบปี โจทก์จะอ้างว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ยันต่อจำเลยผู้เป็นเจ้าของหาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่ใช่บุคคลภายนอก แต่เป็นบุตรและบริวารของนายโอ นางตุ๊กตา เมื่อนายโอ นางตุ๊กตาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยตกลงยอมยกที่พิพาทให้เป็นของจำเลยและศาลได้พิพากษาคดีไปตามยอมแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลย่อมผูกพันโจทก์ด้วย"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นายเล็ก บุนนาค จำเลย - นายก้อน ขุนทองแก้ว
ชื่อองค์คณะ สำเนียง ด้วงมหาสอน สนิท อังศุสิงห์ ประมุข สวัสดิ์มงคล
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan