
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 91, 358, 360
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ประกอบมาตรา 83, 84 วรรคหนึ่ง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 2 ปี และปรับ 50,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 เดือนต่อครั้งภายในระยะเวลารอการลงโทษดังกล่าว ให้จำเลยทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้เถียงกันรับฟังยุติว่า บริษัท ว. ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้จัดสรรที่ดิน และปลูกสร้างทาวน์เฮาส์บนที่ดินโฉนดเลขที่ 41560 ชื่อหมู่บ้าน ช. โดยได้สร้างรั้วกำแพงคอนกรีตรอบโครงการ เฉพาะด้านทิศเหนือที่เกิดเหตุที่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 41561 ยาวตลอดแนว เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2550 จำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 89677 พร้อมทาวน์เฮาส์เลขที่ 6 จากบริษัท ว. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโครงการและด้านทิศเหนือของที่ดินที่จำเลยซื้อมีรั้วกำแพงคอนกรีตหมู่บ้านด้านที่ติดกับโฉนดเลขที่ 41561 ที่กล่าวข้างต้น โจทก์เป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 เพื่อรับโอนที่ดินสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะหมู่บ้าน ช. จากบริษัท ว. ไปจัดการดูแล บำรุงรักษา และได้รับมอบทรัพย์สินมาดูแลเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2550 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกรวม 5 คน ได้ร่วมกันทุบทำลายรั้วกำแพงคอนกรีตด้านหลังทาวน์เฮาส์เลขที่ 6 ที่จำเลยพักอาศัย มีขนาดความยาว 11 เมตร สูง 2 เมตร
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า รั้วกำแพงคอนกรีตที่เกิดเหตุเป็นส่วนหนึ่งของรั้วกำแพงหมู่บ้าน ช. ที่บริษัท ว. ผู้จัดสรรที่ดิน สร้างขึ้นพร้อมการจัดสรรและปลูกสร้างทาวน์เฮาส์ขาย เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ซื้อที่ดินและทาวน์เฮาส์ในโครงการจัดสรร อันเป็นการจัดให้มีสาธารณูปโภคตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 43 ทำให้รั้วกำแพงคอนกรีตซึ่งเป็นสาธารณูปโภคดังกล่าวตกอยู่ในภาระจำยอมตามกฎหมายเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินที่จัดสรรทั้งหมด รั้วกำแพงคอนกรีตที่บริษัท ว. ก่อสร้างขึ้นนี้ เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ว. และไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินที่รั้วตั้งอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 มิฉะนั้น บทบัญญัติของกฎหมายซึ่งควบคุมดูแลการจัดสรรที่ดินโดยเฉพาะก็จะไม่มีผลบังคับใช้ หากแต่ถือเป็นทรัพย์สินที่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ร่วม บุคคลจะกระทำการใดอันเป็นเหตุให้กำแพงเสียหาย ให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกจากที่ได้รับอนุญาตแล้วไม่ได้ รวมทั้งผู้ซื้อที่ดินจัดสรรรายหนึ่งรายใดก็ไม่อาจกระทำได้เช่นกัน ต่อมาเมื่อโจทก์จัดตั้งเป็นนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรแล้วได้รับโอนสาธารณูปโภคจากบริษัท ว. เจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมมาดำเนินการ รั้วกำแพงคอนกรีตที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ด้วย แม้หนังสือส่งมอบทรัพย์สินและจำนวนเงินค่าบริการสาธารณะจะมิได้ระบุว่าส่งมอบรั้วกำแพงคอนกรีตหมู่บ้านด้วย แต่ก็ได้ระบุไว้ว่าส่งมอบทรัพย์สินที่เป็นสาธารณูปโภคให้โจทก์ และภายหลังส่งมอบแล้วก็ไม่ปรากฏว่าบริษัท ว. ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับรั้วกำแพงคอนกรีตรอบหมู่บ้านอีก ก็เป็นการแสดงออกชัดเจนแล้วว่าเพราะได้ส่งมอบให้แก่โจทก์แล้ว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยกับพวกร่วมกันทุบทำลายรั้วกำแพงคอนกรีตด้านหลังทาวน์เฮาส์เลขที่ 6 ที่จำเลยพักอาศัย มีขนาดความยาว 11 เมตร สูง 2 เมตร ที่จำเลยอ้างว่ากำแพงคอนกรีตเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามกฎหมายเรื่องส่วนควบก็เป็นเพียงเป็นความเข้าใจของจำเลยเอง โดยข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายธนวิชญ์ ผู้จัดการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรหมู่บ้าน ช. พยานโจทก์ว่า หมู่บ้านจัดสรรที่เกิดเหตุมีสมาชิก 1,440 หลังคาเรือน แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีสมาชิกคนใดทุบรั้วกำแพงคอนกรีตของหมู่บ้านโดยเห็นว่าเป็นของตนเองเช่นจำเลย จำเลยจะอ้างเป็นเหตุพ้นความรับผิดอาญาไม่ได้ การที่จำเลยกับพวกร่วมกันทุบรั้วกำแพงคอนกรีตของหมู่บ้านเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของจำเลย เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านไปห้ามปรามจำเลยกับพวกกลับไม่สนใจการห้ามปราม แสดงว่า จำเลยกับพวกกระทำโดยมีเจตนากระทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 แต่อย่างไรก็ดี ตามที่ได้วินิจฉัยตอนต้นแล้วว่า รั้วกำแพงคอนกรีตที่เกิดเหตุเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ มีไว้เพื่อประโยชน์เฉพาะแก่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรโครงการหมู่บ้าน ช. เท่านั้น มิใช่เพื่อประโยชน์ของประชาชนคนทั่วไป รั้วกำแพงคอนกรีตที่เกิดเหตุจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ การกระทำความผิดของจำเลยจึงไม่เป็นการทำให้เสียทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ตามมาตรา 360 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.188/2568
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








