ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินพิพาทตามข้อตกลงซื้อขายกันโดยจำเลยได้ส่งมอบให้โจทก์ครอบครองมาตั้งแต่ซื้อขายกันกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่เคยขายให้โจทก์ เป็นแต่โจทก์เช่าจากจำเลยเพื่อทำนา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เช่าที่ดินพิพาทของจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์ทำนาพิพาทมาทุกปี ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2513 ตลอดมาจำเลยบุกรุกเข้าไปทำนาพิพาทโดยพลการ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ขอให้สั่งห้ามจำเลยมิให้เข้ารบกวนการครอบครองของโจทก์ไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีถึงที่สุด
จำเลยแถลงค้านว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยให้โจทก์เช่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ในปี 2513 จำเลยไม่ประสงค์ให้โจทก์เช่าจึงเข้าทำนาเอง โจทก์ไม่เสียหาย
ศาลอุทธรณ์สั่งว่า กรณีตามคำร้องเป็นกรณีโต้เถียงกันว่าใครควรจะเป็นผู้เข้าทำนาพิพาท ชอบที่โจทก์จะร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้กำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ระหว่างความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ให้ยกคำร้อง
โจทก์ฎีกาคำสั่ง
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำร้องของโจทก์เป็นเรื่องขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งไปได้ เพราะเป็นคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่บัดนี้ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์แล้วการที่ศาลฎีกาจะย้อนไปให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งใหม่ดังที่โจทก์ฎีกา ก็หาเป็นประโยชน์แก่โจทก์ในชั้นนี้ไม่
จึงให้ยกฎีกาโจทก์
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








