ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นกรรมการโจทก์ตำแหน่งประธานสวัสดิการของโจทก์ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้รับผิดชอบการเบิกจ่ายเงินแผนกสวัสดิการตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2523 ถึงเดือนธันวาคม 2525 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2523 เวลากลางวันตลอดมาจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม2525 เวลากลางวันจำเลยได้ปลอมหรือใช้ผู้อื่นปลอมเอกสารแล้วจำเลยได้ใช้เอกสารสิทธิที่ปลอมขึ้นนั้นไปเบิกจ่ายเงินจากแผนกสวัสดิการของโจทก์ กับได้เบิกจ่ายเงินของโจทก์โดยไม่มีใบเสร็จรับเงินบ้าง เบิกเงินเกินกว่าจำนวนที่ปรากฏในใบเสร็จรับเงินบ้าง แล้วเบียดบังยักยอกเงินโจทก์ไปเป็นประโยชน์ของจำเลยหรือบุคคลที่สามโดยเจตนาทุจริต ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268, 352, 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว วินิจฉัยว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 201/2526 หมายเลขแดงที่2550/2526 แล้วโจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดี คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอมและยักยอกเงินของโจทก์ไปในระหว่างที่จำเลยทำหน้าที่ประธานสวัสดิการของโจทก์และโจทก์มอบหมายให้ครอบครองดูแลจัดการทรัพย์สินของโจทก์อันเป็นการกระทำกรรมเดียวและขั้นเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีดังกล่าวต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่าฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 หรือไม่พิเคราะห์ฟ้องคดีนี้เทียบกับฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 201/2526 หมายเลขแดงที่ 2550/2526 ของศาลชั้นต้นที่โจทก์ถอนฟ้องแล้ว เห็นว่าในคดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยยืมเงินทดรองไปจากโจทก์หลายครั้งรวม 149,964 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเป็นของจำเลย และจำเลยปฏิบัติหน้าที่ประธานสวัสดิการก่อให้เกิดหนี้ผูกพันโจทก์อีกเป็นเงิน 377,791.20 บาท เป็นการกระทำผิดหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินโดยทุจริต แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมเอกสารสิทธิ 15 ฉบับ และใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้นเบิกจ่ายเงินจากโจทก์เป็นเงิน 165,959.75 บาท แล้วเบียดบังยักยอกเป็นของจำเลยและได้นำเอกสารอันมิใช่ใบเสร็จรับเงินมาเบิกเงิน เบิกเงินซ้ำ เบิกเงินเกินจำนวนในใบเสร็จรับเงิน ส่งเงินขาดจำนวน และทำบัญชีรับเงินสดน้อยกว่าที่รับจริง แล้วเบียดบังยักยอกเงินของโจทก์ไปอีกจำนวนหนึ่งเป็นเงิน 119,572.75 บาทซึ่งเป็นการยักยอกเงินคนละคราวและคนละรายกับที่ฟ้องคดีก่อน แม้เป็นการกระทำในขณะปฏิบัติหน้าที่ประธานสวัสดิการอันเป็นมูลกรณีเดียวกับคดีก่อนแต่เป็นการกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระกับที่จำเลยถูกฟ้องในคดีก่อน โจทก์จึงฟ้องได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 ทั้งเมื่อได้ความตามพยานหลักฐานชั้นไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าวข้างต้นคดีโจทก์จึงมีมูล ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th