ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่

25 ธันวาคม 2557 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลปกครองกลาง แต่ศาลปกครองกลางและศาลชั้นต้นมีความเห็นพ้องกันว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้น

ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งให้โอนคดีมายังศาลชั้นต้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล

พ.ศ.2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง (2) และวรรคสาม

ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล

ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย

พ.ศ.2544 ข้อ 19

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน

298,508.19

บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

ของต้นเงิน 287,292 บาท

นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน

287,292 บาท

พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ 25

ธันวาคม 2557) ต้องไม่เกิน 11,216.19

บาท ตามขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์

โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000

บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า

1.

โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

โจทก์มีคำสั่งบรรจุและแต่งตั้งจำเลยให้เข้ารับราชการครั้งแรกในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง 3 กลุ่มงานคดีปกครอง สำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค 9 (ยะลา) ตั้งแต่วันที่ 23

เมษายน 2544 แต่ขณะนั้นสำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค

9 (ยะลา) ยังไม่เปิดทำการ โจทก์จึงให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานศาลปกครองในส่วนกลางที่สำนักส่งเสริมงานคดีปกครอง

สำนักงานศาลปกครองกลาง ที่กรุงเทพมหานครไปพลางก่อน

ต่อมาโจทก์มีคำสั่งย้ายให้จำเลยไปปฏิบัติหน้าที่สำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค 5

(นครศรีธรรมราช) ตำแหน่งพนักงานคดีปกครอง 3 กลุ่มงานคดีปกครอง แต่ขณะนั้นสำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค 5 (นครศรีธรรมราช)

ยังไม่เปิดทำการจำเลยจึงยังคงปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานศาลปกครองในส่วนกลาง

ที่สำนักส่งเสริมงานคดีปกครองต่อไป ในระหว่างที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานศาลปกครองในส่วนกลาง

จำเลยไม่ได้ยื่นขอเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการแต่อย่างใด

2.

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2545 ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง

พ.ศ.2545 ใช้บังคับ จำเลยขอเบิกค่าเช่าบ้านตามระเบียบดังกล่าวนับแต่นั้น โจทก์อนุมัติให้จำเลยเบิกค่าเช่าบ้านดังกล่าว ต่อมาปี 2552

โจทก์มีคำสั่งระงับการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านของจำเลย

และตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตามข้อทักท้วงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครองเห็นว่า

ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง

ว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ.2545 ถูกต้องแล้ว และได้มีการออกระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง

ว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายปกครอง (ฉบับที่

4) พ.ศ.2553 แก้ไขบทนิยามคำว่า ท้องที่ที่เริ่มรับราชการครั้งแรกเสียใหม่

และโจทก์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งระงับสิทธิการเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง และแจ้งให้ข้าราชการฝ่ายศาลปกครองรวมทั้งจำเลยทราบว่า

ข้าราชการฝ่ายศาลปกครองสามารถใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ต่อไป จำเลยจึงได้ยื่นขอเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการต่อมา

3.

ปี 2556 โจทก์ได้มีคำสั่งชะลอการเบิกค่าเช่าบ้านของข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง

รวมทั้งจำเลยที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง

ว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ.2545

และตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงการเบิกค่าเช่าบ้านของข้าราชการฝ่ายศาลปกครองเหล่านั้น

ในที่สุดวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 ผู้อำนวยการสำนักบริหารการเงินและต้นทุนของโจทก์ได้มีหนังสือเพิกถอนสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านของจำเลยและเรียกเงินที่จำเลยเบิกจากโจทก์ตั้งแต่เดือนกันยายน

2545 ถึงเดือนมกราคม 2557 รวม 122 เดือน รวมเงินทั้งสิ้น 287,292 บาท คืน

จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว และเลขาธิการโจทก์ได้มีคำสั่งยกอุทธรณ์ของจำเลย

หลังจากนั้นจำเลยได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานบริหารการเงินและต้นทุนที่เพิกถอนสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านของจำเลยและเรียกเงินค่าเช่าบ้านคืน

ศาลปกครองกลางได้วินิจฉัยยกคำขอของจำเลย โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้

มีปัญหาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยว่า

จำเลยมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านตามระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง

ว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ.2545 หรือไม่ เห็นว่า ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง

ว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ.2545 ข้อ 3 ได้กำหนดว่า “ท้องที่” หมายความว่า

กรุงเทพมหานคร… “ท้องที่ที่เริ่มรับราชการครั้งแรก” หมายความว่า

ท้องที่ที่มีคำสั่งบรรจุเข้ารับราชการเป็นครั้งแรก และข้อ 7 ได้กำหนดว่า

ภายใต้บังคับข้อ

16 และข้อ 17

ข้าราชการผู้ใดได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานในต่างท้องที่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านเท่าที่จ่ายจริงตามสมควรแก่สภาพแห่งบ้าน

แต่อย่างสูงไม่เกินจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้สำหรับข้าราชการพลเรือน เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้… (3)

ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานใหม่ในท้องที่ที่เริ่มรับราชการครั้งแรก…

แสดงว่า ข้าราชการที่จะมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ จะต้องเป็นกรณีที่ผู้นั้นได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานในต่างท้องที่นอกเหนือกรุงเทพมหานคร

แม้โจทก์จะมีคำสั่งให้จำเลยได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้รับราชการครั้งแรกตำแหน่งเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง

3 กลุ่มงานคดีปกครอง สำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค 9 (ยะลา) ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน

2544 ก็ตาม แต่สำนักงานดังกล่าวยังไม่ได้เปิดทำการ

โจทก์จึงมีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติราชการที่สำนักงานศาลปกครองในส่วนกลางที่สำนักส่งเสริมงานคดีปกครอง

สำนักงานศาลปกครองกลางที่กรุงเทพมหานครไปพลางก่อน ต่อมาโจทก์มีคำสั่งย้ายให้จำเลยไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค

5 (นครศรีธรรมราช) ตำแหน่งพนักงานคดีปกครอง 3 กลุ่มงานคดีปกครอง แต่ขณะนั้นสำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค

5 (นครศรีธรรมราช) ยังไม่เปิดทำการ

จำเลยจึงยังคงปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานศาลปกครองในส่วนกลาง ที่สำนักงานส่งเสริมงานคดีปกครองตลอดมา

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยไม่เคยได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปฏิบัติราชการประจำสำนักงานในท้องที่นอกเหนือกรุงเทพมหานครอย่างแท้จริงแต่อย่างใด

จำเลยจึงย่อมไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามระเบียบดังกล่าว แม้จำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้รับคำสั่งให้บรรจุและแต่งตั้งให้รับราชการครั้งแรกที่สำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค

9 (ยะลา) ก็ตาม

แต่เพียงการที่จำเลยได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้เริ่มรับราชการครั้งแรกในจังหวัดอื่นนอกเหนือจากกรุงเทพมหานครนั้น

ก็ยังไม่ก่อให้จำเลยมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ เพราะสิทธิการเบิกค่าเช่าบ้านจะต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่สำคัญที่ว่าข้าราชการผู้นั้นจะต้องได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานนอกเหนือกรุงเทพมหานครด้วย เมื่อจำเลยมิได้รับคำสั่งในลักษณะดังกล่าว

จำเลยจึงย่อมไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการจากโจทก์ได้

ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการตามระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง

ว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ.2545 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า

ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า แม้ในชั้นแรกโจทก์จะอนุมัติให้จำเลยเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการจากโจทก์ก็ตาม

แต่ในเวลาต่อมาโจทก์ตรวจสอบแล้วเห็นว่า จำเลยไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการตามระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง

ว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ.2545

โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจที่จะเพิกถอนสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านของจำเลยได้

เมื่อโจทก์เพิกถอนสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านของจำเลยแล้ว ก็ถือว่าเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยได้รับไปจากโจทก์

เป็นเงินที่จำเลยไม่มีสิทธิที่จะได้รับตามกฎหมายและระเบียบใด ๆ ของทางราชการ โจทก์ในฐานะเจ้าของเงินจึงมีอำนาจที่จะเรียกเงินเหล่านั้นที่จำเลยได้รับไปคืนจากจำเลยได้

โดยถือว่าโจทก์ในฐานะเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งเงินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336

การใช้สิทธิของโจทก์ตามมาตรานี้ไม่มีกำหนดอายุความ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่จำเลยฎีกาว่า

การที่โจทก์อนุมัติให้จำเลยเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการจากโจทก์ได้ ถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5

แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 เมื่อโจทก์เพิกถอนสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการของจำเลยและเรียกให้จำเลยคืนเงินทั้งหมดที่รับไปแก่โจทก์

ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์เพิกถอนคำสั่งทางปกครองให้มีผลย้อนหลังตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 51 วรรคสี่ คือ การที่จำเลยจะคืนเงิน

ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ที่จำเลยได้รับไปจากโจทก์ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม

เมื่อชั้นแรกโจทก์อนุมัติให้จำเลยมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้

และการเบิกเงินเหล่านั้นก็เป็นการเบิกเงินโดยสุจริต

หากจำเลยต้องคืนเงินค่าเช่าบ้านเหล่านั้น

จำเลยต้องคืนในลักษณะลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีเหลืออยู่ในขณะที่เรียกคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 412 และโจทก์จะฟ้องคดีนี้ได้จะต้องไม่เกินอายุความ

1 ปี นับแต่รู้ว่ามีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 419 โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ เห็นว่า ไม่ว่าการที่โจทก์อนุมัติให้จำเลยมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านจากโจทก์ได้

จะเป็นคำสั่งทางปกครองหรือไม่

และการดำเนินการของโจทก์จะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 51 วรรคสี่

แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 หรือไม่ก็ตาม แต่การเบิกเงินค่าเช่าบ้านของจำเลยก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง

ว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ.2545

ที่ได้ออกมาใช้บังคับเป็นการเฉพาะในเรื่องนี้ระหว่างโจทก์และจำเลยรวมทั้งข้าราชการในสังกัด

จำเลยและข้าราชการของโจทก์จะอ้างกฎหมายอื่นมาตัดรอนอำนาจของโจทก์ที่จะบังคับตามระเบียบดังกล่าวและอำนาจของโจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1336 หาได้ไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ

ของจำเลยนั้นก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น

ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.206/2562

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th