ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 29537 ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ให้แก่โจทก์ที่ 1 กึ่งหนึ่ง และให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ดร่วมกับจำเลยในที่ดินส่วนที่เหลือในฐานะเป็นเจ้าของรวม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 29537 ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา กึ่งหนึ่งให้แก่โจทก์ที่ 1 และส่วนที่เหลือให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ดร่วมกับจำเลยในฐานะเจ้าของรวม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โดยกำหนดค่าทนายความให้ 30,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังคำเบิกความโจทก์ที่ 1 ขัดแย้งกับพยานเอกสาร เพื่อหักล้างพยานเอกสารดังกล่าว ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสิบเอ็ดที่นำสืบไม่ปรากฏว่ามีพยานคนใดที่เบิกความเกี่ยวกับเอกสารแต่อย่างใด มีเพียงจำเลยที่ตอบทนายโจทก์ทั้งสิบเอ็ดซึ่งนำเอกสารดังกล่าวมาถามค้านจำเลยว่า เอกสารดังกล่าวเป็นการขอโอนมรดกที่ดินของนางฮั่ว และบัญชีเครือญาติตามเอกสารเท่านั้น เมื่อที่ดินตามคำขอโอนมรดกที่ดินตามเอกสารดังกล่าวตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 4 ตำบลและอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา แต่ที่ดินพิพาทซึ่งเดิมเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 201 ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีเนื้อที่และที่ดินข้างเคียงแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยพยานโจทก์ทั้งสิบเอ็ดมิได้เบิกความยืนยันว่าที่ดินตามคำขอโอนมรดกที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาท อันจะทำให้เห็นว่าคำเบิกความพยานโจทก์ทั้งสิบเอ็ดขัดแย้งกับเอกสาร ดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป

ส่วนฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงของจำเลยนั้น ล้วนเป็นการคัดลอกข้อความในอุทธรณ์ของจำเลยมาทั้งสิ้น โดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงให้เห็นว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ถูกต้อง คลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร และที่ถูกแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 9 ควรวินิจฉัยอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.1763/2559

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th